[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 163 เป็นมิตรกับสาวๆ
“นายท่าน ดื่มเหล้าๆ ไม่ต้องไปฟังที่พี่เม่ยเอ๋อร์พูดเพ้อเจ้อหรอก เรื่องของตระกูลกู่ผมจัดการเองได้” กัวไฮว่พูดพลางเทเหล้าให้เซวียนหยวนซยงเฟิงจนเต็ม
“เอิ๊ก! แม่มันเถอะ ตระกูลกู่แล้วไง วันนี้ดื่มเหล้าพ่อหนุ่มไปแล้ว ฉันรับประกันชีวิตเธอเลยว่าไม่ตายแน่นอน” เซวียนหยวนซยงเฟิงดื่มเหล้าในแก้วจนหมดในอึกเดียวพร้อมกับพูดด้วยเสียงดัง
“นายท่าน ไม่ต้องหรอกจริงๆ ครับ ระหว่างทางมานี่ผมคุยกับพี่เม่ยเอ๋อร์แล้ว ตระกูลกู่มีศักยภาพไม่เลวเลย แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าจะไม่พูดกันด้วยเหตุผลหรอกมั้ง ในเมื่อเมียผมยังไม่ได้อยู่กับกู่เลี่ยบ้านั่น เรื่องของเมียผมก็แก้ไขไม่ยากแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เธอไม่เข้าใจตระกูลกู่ กู่อวี้เฟิงหมอนั่นน่ะมีคนคอยปกป้อง ถ้าเธออยากจัดการเรื่องนี้ ยังมีวิธีนึงที่เธอลองดูได้” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดเบาๆ
“นายท่านบอกให้ฟังหน่อยว่าจะจัดการอย่างสงบยังไง ผมเองก็ไม่อยากแตะต้องพลังยุทธ” กัวไฮว่พูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“สิ่งที่ตระกูลกู่พึ่งพามากที่สุดคือกลุ่มผู้มีพลังวิเศษหัวซย่า เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ถึงจะบอกว่าในหัวซย่าใครๆ ก็มีพลังวิเศษ ทว่าอันที่จริงตระกูลกู่เป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้มีพลังวิเศษ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอะไรมาก ถ้าเกิดกู่เจิ้นเหลยมีคำสั่งลงมา เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในกลุ่มผู้มีพลังวิเศษก็ย่อมเชื่อฟัง” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดยิ้มๆ
“นายท่าน อย่ามัวอ้อมแอ้มอยู่เลย บอกมาเถอะว่าผมควรทำยังไง” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม เมื่อเห็นคนอายุไล่เลี่ยกันเลียริมฝีปาก เขาเองก็คอแห้งเหมือนกัน เลยเทเหล้าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจนเต็มแล้วให้พวกเขาได้ดื่มด่ำสำราญกัน
“ถ้าบอกว่าในหัวซย่ามีคนที่สู้กับกลุ่มผู้มีพลังวิเศษได้ ก็คือค่ายเป้าหลง” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดอย่างยิ้มแย้ม “ฉันจำได้ว่าเธอน่าจะเป็นหมอนะ ถ้าเธอรักษาราชามังกร ซย่าอู๋ตี้ ที่ถูกพิษมาสิบสามปีแล้วยังอดกลั้นลมหายใจไม่ตายจากไปได้ละก็ ทั้งค่ายเป้าหลงจะสนับสนุนเธอเอง ตระกูลกู่ก็คงไม่กล้าทำอะไรเธอ”
“ค่ายเป้าหลง? ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ที่นายท่านพูดก็น่าสนใจนะครับ ถูกพิษสิบสามปี ผมสนใจพิษแบบนี้มากเลย” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ขอบคุณนะครับนายท่าน วันนี้อาหารใช้ได้เลย ผมไปพักผ่อนก่อนล่ะ” ในขณะที่พูดกัวไฮว่ก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปทางบ้านของหูเม่ยเอ๋อร์
“ยายหนู ถ้าเธอรวบรัดเด็กนั่นได้ ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้ตระกูลหูของพวกเธอกลายเป็นตระกูลชั้นนำของเมืองหลวงได้นะ อยากหรือไม่อยากยังไงก็คิดเอาเองเถอะ เด็กนี่ไม่เลวเลย ฮ่าๆ” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดเสร็จก็ลุกขึ้นมาเดินออกจากห้องรับแขก มุ่งหน้าไปยังห้องใต้หลังคาของตน
“ฉันจะไปหากัวไฮว่ ฉันป่วย ฉันจะให้เขาช่วยรักษาให้ฉัน” เซวียนหยวนเวยพูดด้วยเสียงดัง แล้วเดินมุ่งหน้าตามไปทางกัวไฮว่
“ผมไปด้วย พี่เถิงเฟย พรุ่งนี้ผมค่อยไปดูหลาน” เซวียนหยวนหู่พูดพลางเดินตามกัวไฮว่ไป
“พี่เม่ยเอ๋อร์ ถ้าวันนี้ฉันนอนที่บ้านพี่ จะกระทบกับพี่กับหมอนั่นหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้ฉันไม่ไปด้วยแล้ว” เซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนพูดยิ้มๆ
“ยายบ้า ยังจะมาล้อฉันเล่นอีก เมื่อกี้ใครบอกจะแลกความรักนะ ไปกับฉันเลย วันนี้อาจจะสมปรารถนาเธอก็ได้นะ” จากนั้นสาวๆ ทั้งสองก็รีบวิ่งไปที่บ้านของหูเม่ยเอ๋อร์
“พี่ พี่นี่มันเทพจริงๆ ไม่ต้องวินิจฉัยโรคก็รู้ว่าผมป่วย บนโต๊ะเมื่อกี้พี่บอกว่าจะสั่งยาให้ผมด้วย พี่ดูหน่อยสิว่าจะยังไง” เซวียนหยวนเวยพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันก็นึกว่าพวกนายมีเรื่องสำคัญอะไร เรื่องแค่นี้เองเหรอ รอให้พรุ่งนี้ฉันตื่นมาฉันค่อยจัดการให้นะ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“อย่าเลยพี่ วันนี้เถอะ อันที่จริงผมได้ยินเรื่องของพี่มาหน่อยนึงแล้วล่ะ วิธีที่คุณปู่บอกอันที่จริงก็ใช้ได้อยู่นะ แต่มีความเป็นไปได้น้อย แต่ผมมีอีกวิธี ไม่ทราบว่าพี่อยากลองฟังดูหน่อยไหม” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ
“อ้อ งั้นก็ลองบอกมาสิ ฉันมีของอร่อยๆ อยู่พอดี เรากินไปคุยไปเถอะ” กัวไฮว่พูดพลางหยิบสิ่งที่ดูเหมือนเสต็กเนื้อออกมา แล้วใช้กระบี่เฟยเจี้ยนเล่มเล็กตัดออก จากนั้นก็วางไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง เขาหยิบชิ้นเนื้อเข้าไปในปาก เซวียนหยวนเวยกับเซวียนหยวนหู่ก็หยิบไปคนละชิ้นอย่างไม่ได้เกรงอกเกรงใจ
“อร่อย อร่อยมากเลย พี่ครับ พี่บอกมาเถอะว่าพี่ยังมีของอร่อยอะไรอีกบ้าง ต่อไปผมจะติดตามพี่เอง” เซวียนหยวนหู่พูดเสียงดัง เด็กสาวทั้งสองคนก็ถูกของกินดึงดูดมา แล้วก็ใส่ปากกันไปคนละคำ
“กัวไฮว่ นี่มันอะไรกันเนี่ย ยังมีอีกหรือเปล่า ให้ฉันอีกได้ไหม” หูเม่ยเอ๋อร์พูดออดอ้อน ส่วนเซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนตรงไปตรงมากกว่านั้น เธอเอาตัวไปแนบชิดกัวไฮว่ แล้วถูหน้าอกไปบนแขนของกัวไฮว่ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“แม่มันเถอะ เปิดกว้างจริงๆ ทดสอบความอดทนพี่เหรอ มาสิ อ่อยแค่นี้ทำอะไรฉันได้หรอก” กัวไฮว่หรี่ตามองทุกคนด้วยความเพลิดเพลิน
“แค่กๆ พี่เชี่ยนเชี่ยน ดูทรงแล้วคนสวยๆ ก็ทำอะไรพี่ไฮว่ไม่ได้นะ เธอออมแรงไว้เถอะ” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ “พี่ พี่ฟังคำแนะนำผมก่อนได้ไหม”
เซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนเห็นว่ากัวไฮว่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับก็ลุกขึ้นจะออกไปทว่ากลับถูกกัวไฮว่ดึงเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็โอบหูเม่ยเอ๋อร์เอาไว้ในอ้อมอก สี่ตัวอันตราย ตัวอสรพิษ ฉันไม่ใช่หลิ่วซย่าฮุ่ย[1] สักหน่อย มีเนื้อมาส่งถึงหน้าบ้านแต่ไม่กินก็โง่แล้ว
“นายบอกมาเถอะ” กัวไฮว่โอบสาวสวยทั้งสองเอาไว้พร้อมกับพูดยิ้มๆ สาวๆ ทั้งสองสลัดตัวออกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อทว่ากัวไฮว่กลับกอดแน่นขึ้นทั้งสองจึงเลิกสลัดตัวกันไป
“พี่ไฮว่สุดยอดไปเลย ผมคิดว่าอย่างนี้นะ ผมเองก็รู้จักกลุ่มผู้มีพลังวิเศษหัวซย่า ผมยังรู้จักคนในนั้นด้วย ยายปีศาจตระกูลหนานกงก็อยู่ในกลุ่มผู้มีพลังวิเศษ” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ
“จะจัดการกลุ่มผู้มีพลังวิเศษจะต้องไปใช้พวกค่ายเป้าหลงเดนนรกนั่นทำไม เหล้าพี่ไฮว่อร่อยออกขนาดนั้น แถมยังมีเนื้ออร่อยๆ อีก น่าจะต้องมีของดีอื่นๆ อีกแน่ พี่ไปขายของในงานประมูลแล้วได้เงินมาหลายร้อยล้าน พอมีเงินอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น กลุ่มผู้มีพลังวิเศษจะมีสักกี่คนเชียว ไว้ตอนนั้นจ้างทหารรับข้างมาหลายหมื่น กลุ่มผู้มีพลังวิเศษก็ไม่กล้าทำอะไรแล้วล่ะ” เซวียนหยวนเวยพูดด้วยความยิ้มแย้ม
“พี่ใหญ่ อันที่จริงพี่เวยพูดแบบนั้นแล้วผมก็คิดวิธีออกเหมือนกัน” เซวียนหยวนหู่ที่เงียบๆ อยู่ด้านข้างก็พูดยิ้มๆ “พี่ ของนี่พี่ไม่ต้องซื้อ ก็เอาไปจัดการพวกขี้เหล้าจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงสิ แล้วก็ลากมันมาในค่ายรบของพวกเรา แค่นี้ก็จัดการพวกตระกูลกู่ได้แล้วล่ะ ไม่แน่นะว่านายท่านตระกูลกู่อาจจะชอบดื่มเหล้าพี่ใหญ่ก็ได้ แล้วก็กลายมาเป็นพวกเดียวกัน ถึงตอนนั้นเรื่องทุกอย่างก็จะคลี่คลายแล้วล่ะ”
กัวไฮว่มองเด็กหนุ่มจากตระกูลเซวียนหยวนทั้งสองคน สองคนนี้อัจฉริยะมาก กัวไฮว่เทเหล้าให้ทั้งสองจนเต็มแก้ว จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาให้พวกเขา เซวียนหยวนเวยมีความต้องการมาก ให้ขาจีนไปปรับสมดุลหน่อยก็พอแล้ว ส่วนหู่จื่อใช้ยาพิษในการชาตัวเอง เพียงแค่คิดวิธีช่วยหู่จื่อถอนพิษก็พอแล้ว เรื่องที่คนอื่นดูเหมือนว่ายาก แต่ถ้ามีกัวไฮว่อยู่ก็จะแก้ไขได้โดยง่าย
“พี่ พี่คิดว่าจะทำยังไง ให้พวกผมช่วยด้วยไหม ถ้าอยากเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะทำให้กว่าครึ่งเมืองรู้จักชื่อพี่เอง” เซวียนหยวนเวยพูดยิ้มๆ
“วิธีการของนายท่านก็ไม่แย่ วิธีของพวกนายก็ได้อยู่ ฉันทำทั้งสามอย่างไปพร้อมกันดีกว่า ไว้ตอนไปหาตระกูลกู่ก็รอดแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวฉันจะติดต่อที่ประมูล ไว้ตอนนั้นฉันให้ความสุขกับสาวๆ น้อยใหญ่ในเมืองหลวง ตอนนั้นฉันก็จะเป็นมิตรกับสาวๆ ทุกคนแล้วล่ะ” ฮ่าๆ
[1] เป็นเรื่องราวในสมัยยุคชุนชิวจ้านกั๋ว หลิ่วซย่าฮุ่ยได้สวมกอดลูกสาวของอ้ายต้งแต่ไม่ได้ล่วงเกินอะไรนาง ต่อมาใช้อุปมาว่ามีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง