[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 156 เหตุปล้นเครื่องบิน (2)
คนทั้งเครื่องบินต่างก็แทบหยุดลมหายใจ เพราะการที่เด็กคลอดออกมาไม่เป็นเพียงแค่เป็นการพนันระหว่างกัวไฮว่กับลู่เสียหยางเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับหลายคนบนเครื่องบินด้วย
“น่าสนใจนี่ ดูทรงครั้งนี้ฉันจะแพ้แล้วล่ะ” ลู่เสียหยางหรี่ตาพูด ครั้งนี้กัวไฮว่ไม่ได้แยแสเขา เพราะว่าครั้งนี้เขาใช้วิชาฝังเข็มที่มีชื่อว่าวิชาเข็มห้าธาตุวัฏจักร ทำให้ตนเองบาดเจ็บอย่างหนัก สิ่งที่เขารอในตอนนี้ก็คือให้พี่หยางคนนี้เคารพในสัญญาของพวกเขา
“อุแว้” เสียงร้องไห้ดังลอยในเครื่องบิน หูเม่ยเอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวของตนเองจะคลอดลูกบนเครื่องบิน
“อย่าขยับ มีสายสะดือ” กัวไฮว่เห็นว่าหูเม่ยเอ๋อร์ตื่นเต้นนิดหน่อย เขาก็นำมีดในมือไปตัดสายสะดือด้วยความว่องไว จากนั้นก็ปิดจบได้อย่างที่ตนเองคิดว่าสมบูรณ์แบบ
“พี่คะ เด็กผู้ชาย หลังหูมีไฝเม็ดนึงด้วย ผอ. กัวนี่เป็นเทพจริงๆ” หูเม่ยเอ๋อร์พูดเสียงดังเพื่อให้พี่สาวของตนและให้คนอื่นในเครื่องบินได้ยิน
“อย่าตื่นเต้นไป ข้างในยังมีอีกคน” ในขณะที่พูด กัวไฮว่ก็ลูบเข้าที่ผิวท้องของเซวียนตั่ว เซวียนตั่วรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเกร็งขึ้น จากนั้นก็มีเสียงเด็กร้องดังขึ้นมาอีกระลอก
“เด็กผู้หญิง เป็นผู้หญิงจริงๆ ด้วย ผอ. กัวทายถูก” หูเม่ยเอ๋อร์พูดด้วยเสียงดัง ในที่สุดสาวๆ ในเครื่องบินที่พาลูกมาด้วยต่างก็โล่งอก
“ฮ่าๆ ดี น่าสนใจดีนี่ น่าสนใจจริงๆ” ลู่เสียหยางพูดพลางยิ้มกว้าง “ไอ้หนู แกเป็นคนแรกในรอบสามปีที่ฉันแพ้พนันด้วย แกว่าฉันควรทำยังไงดี”
“บนเครื่องบินยังมีคนอีกเยอะ เราจะพนันกันต่อก็ได้ พนันจนกว่าแกจะชนะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“บอกมาสิว่าจะพนันยังไง” ลู่เสียหยางพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
“พี่หยาง ช่างมันเถอะ วันนี้ก็ปล่อยพวกเราไป ไปหาที่ให้เครื่องจอดกัน พี่อยากจะดี๊ด้ามีความสุขยังไงก็ทำไป แต่ผมเป็นแค่หมอตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เราต่างเดินไปตามเส้นทางตัวเองเถอะ” กัวไฮว่ใช้วิชาอ่านจิตกับลู่เสียหยาง ไม่เพียงแต่มีเหงื่อท่วมทั้งตัว หมอนี่เป็นโรคจิตชัดๆ
“จะปล่อยหมอนี่ไปไม่ได้ และจะปล่อยทุกคนบนเครื่องไปไม่ได้ ฉันแพ้ ดี งั้นก็ไปตายซะเถอะ” ความคิดของลู่เสียหยางปรากฏขึ้นในสมองของกัวไฮว่
“ในปืนของเรามีกระสุนสิบสามนัด เราเอาแบบนี้กันดีไหม ฉันยิงปืนแล้วแกหลบ ถ้าแกหลบได้ ฉันก็จะปล่อยพวกแกไป แต่ถ้าหลบไม่ได้ทุกคนบนเครื่องก็ต้องตาย” ลู่เสียหยางพูดด้วยใบหน้ายิ้มร้าย “แบบนี้จะได้สนุก ฮ่าๆ”
“พ่อหนุ่ม ใครๆ ก็ทำผิดพลาดกันได้ก็ให้อภัยกันบ้าง ช่างมันเถอะน่า เด็กนี่ก็ไว้หน้าแกแล้วไง” ในขณะที่กัวไฮว่คิดจะต่อรองกับตาโรคจิตนี่ ก็มีเสียงชายชราดังขึ้นมา
เขาสวมชุดฉางเผา ข้างตัวมีเด็กน้อยอยู่คนหนึ่ง ตอนที่กัวไฮว่ขึ้นเครื่องบินมาก็สังเกตเห็นผู้ชรารายนี้ทว่าไม่ได้มองอย่างถี่ถ้วน เพียงแค่รู้สึกว่าเด็กที่อยู่ข้างผู้ชราท่านนี้น่าสนใจนัก ทั้งสามจิตเจ็ดวิญญาณ[1] เขาขาดไปจิตหนึ่ง แค่นั้นยังประหลาดไม่พอ จิตที่ขาดหายไปก็ถูกบางอย่างมาแทนที่ ตอนแรกเขาคิดว่าลงจากเครื่องบินแล้วจะลองถามดูสักหน่อย ไม่คาดคิดเลยว่าผู้ชราท่านนี้จะเป็นยอดฝีมือเซียนเทียนระยะหลัง
“นี่ตาแก่ อย่ามายุ่งเรื่องพี่หยางจะได้ไหม รนหาที่ตายจริงๆ ปังๆๆ!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งยิงชายชราไปสามนัด
“ดูทรงแล้วฉันจะถนัดเรื่องหลบกระสุนนะ” ชาราพูดยิ้มๆ เขาหลบกระสุนนัดแรกส่วนสองนัดที่เหลือก็ถูกเขาจับเอาไว้ในมือ
“ไม่คิดเลยว่าบนเครื่องบินในวันนี้จะเป็นถ้ำเสือ” สีหน้าของลู่เสียหยางดูแย่ลง เขามองไปยังชายชราเซียนเทียนระยะหลัง สิ่งที่ชายชราทำเมื่อสักครู่ หากเขาคิดไว้ล่วงหน้าก็อาจจะทำได้เหมือนกัน ทว่าที่ยิ่งชายชราเมื่อสักครู่นั้นกะทันหันนัก ไม่คิดเลยว่าชายชราจะจับกระสุนสองนัดได้
“เฮอะๆ พ่อหนุ่ม เอาอย่างนี้ไหม เมื่อกี้ฉันเห็นแล้วล่ะ บนเครื่องบินมีร่มชูชีพอยู่เยอะนะ ยังไงเธอก็หาความตื่นเต้นเร้าใจอยู่แล้วนี่ กระโดดลงไปเถอะ” ชายชราพูดขึ้นอย่างไม่กลัวคนตาย
“ไอ้แก่ แกรับกระสุนได้ แต่ฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าถ้ายิงไปหลายแล้วแกจะไม่ตาย” เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังลู่เสียหยางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“สิบสี่คน ท่านผู้อาวุโส คุณจัดการสิบคน อีกสี่คนให้ผมจัดการเอง เป็นไง” ตอนนี้กัวไฮว่ห้ามเลือดเซวียนตั่ว เด็กทั้งสองก็ห่อตัวเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นมาพูดขึ้น
“พ่อหนุ่ม เธอพูดแบบนี้จะดูถูกตาแก่อย่างฉันเหรอ คนละเจ็ด รอไว้ลงจากเครื่องบินแล้วฉันจะเลี้ยงเหล้าเธอเอง เป็นไง”
“คุณสิบคน ผมสี่คน รอให้ลงจากเครื่องบินแล้วเดี๋ยวผมจัดการเรื่องลูกศิษย์คุณเอง เป็นไง” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
ชายชราผงกศีรษะอย่างยิ้มๆ เขากับกัวไฮว่มองไปยังลู่เสียหยางพร้อมกัน ในตอนนั้นเองสีหน้าของลู่เสียหยางก็พลันเปลี่ยนไป พวกเขาทั้งสิบสี่คนเป็นยอดฝีมือเซียนเทียน ส่วนเขาเองเป็นเซียนเทียนระยะหลัง ถ้าจะต้องเจอกับตำรวจนานาชาติ หรือว่าจะกองทัพตำรวจของประเทศไหนๆ เขาก็ยอมถอยออกมา ทว่าไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะเจอศัตรูตัวฉกาจ ถ้าจะบอกว่าชายชราผู้นั้นเป็นยอดฝีมือลู่เสียหยางเองก็เชื่อ ทว่าเขายากที่จะเชื่อว่ากัวไฮว่เองก็เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่ต่อสู้กับศัตรูได้ถึงสี่คนอีก
“นี่พวกแก พวกเราได้วางระเบิดกำหนดเวลาไว้บนเครื่องบิน ถ้าพวกแกอยากกำจัดพวกเราก็ลุยมาเลย มีตั้งหลายคนบนเครื่องบินฝังศพอยู่ข้างๆ แถมยังมียอดฝีมืออย่างพวกแกสองคนอีก ฉันคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกคุ้มแล้ว ฮ่าๆ” โรคจิตก็คือโรคจิต กัวไฮว่อดคิดไม่ได้
“มีอยู่ใต้รถอาหารลูกนึง อยู่ที่ห้องน้ำสองลูก ห้องคนขับหนึ่งลูก ใต้เก้าอี้ที่ฉันนั่งเมื่อกี้หนึ่งลูก พี่หยาง เมื่อกี้เราพนันกันก็ดีๆ อยู่เลย ไม่คิดเลยว่าพี่จะกลับคำแบบนี้” เมื่อมียอดฝีมือเซียนเทียนคอยร่วมมือด้วยแบบนี้กัวไฮว่ก็มีความมั่นใจขึ้นมา
“เจ้าสาม ไปถอนระเบิดทั้งหมดซะ แล้วก็เตรียมตัวกระโดดร่ม” ลู่เสียหยางพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวว่ากัวไฮว่กับชายชราจะลงมือทำอะไรหรือไม่ กัวไฮว่กับชายชรามองหน้าแล้วขำกัน แก้ไขปัญหาแบบนี้จึงจะดีที่สุด ฆ่าคนน่ะง่าย แต่ถ้าพวกหนีตายพวกนี้เป็นบ้าขึ้นมาก็เกรงว่าคนอื่นๆ บนเครื่องบินจะพลอยได้รับลูกหลงไปด้วย
“นี่พวกแก เดี๋ยวเราต้องได้เจอกันอีก รอให้มีโอกาสก่อน วันนี้พวกแกให้โอกาสฉัน ฉันก็จะคืนให้พวกแก” ลู่เสียหยางมองกัวไฮว่กับชายชราพร้อมกับพูดด้วยเสียงดัง
“ลูกศิษย์เจ็ดวิญญาณเขาซู่ซาน พวกตาแก่เขาซู่ซานยังมีชีวิตอยู่ เธอไปบอกพวกเขานะว่าได้เจอกับนักพรตเต๋าน้ำดี แล้วก็บอกนะว่าถ้ามีเวลาฉันจะกลับไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่เขาซู่ซาน ฮ่าๆ” ชายชราพูดยิ้มๆ
“ท่านคือปู๋เอ้อร์เต้าเหรินแห่งเขาซู่ซาน? ผมยอมแพ้” เมื่อพูดเสร็จลู่เสียหยางก็กระโดดลงจากเครื่องบินไป
“ฆ่าคนต่อหน้าฉัน แถมยังรอดไปหมดอีก พูดไปฉันก็เสียหน้าฉันแย่เลย” ชายชรามองไปยังร่มชูชีพที่ลอยปลิวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็โยนสิ่งของที่มีลักษณะเหมือนก้อนหินลงไป ในช่วงขณะนั้นเองร่มชูชีพทั้งสิบสี่ก็ถูกย้อมกลายเป็นสีแดง
[1] ในร่างมนุษย์ที่จะมีสิ่งที่เรียกว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งจะเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ และหากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปก็จะเรียกกันว่าขวัญหาย