[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 153 บินไปเมืองหลวง
กัวไฮว่ไม่ได้ขี่กระบี่ไป เขาเรียกรถตรงทางแยกกลับไปยังคลินิกไม่ เขาเห็นว่าหลิวเหวินนั่งมองโจวเทียนหยางอยู่บนบันไดก็ผงกศีรษะเบาๆ ไม่เลว เด็กคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
เมื่อล่วงเลยยามจื่อ[1] ไป เขาคิดจะเสี่ยงทายสักหน่อย ทว่าในตอนที่ตนเองกำลังจะเสี่ยงทายอวี้เอ๋อร์ก็ปรากฏตัวมาอยู่ตรงหน้าของตน
“ตาบ้า ครั้งนี้ไม่เลวเลยนะ ไม่ได้ไปค้างข้างนอก แล้วจะไปเมืองหลวงยังไง ขี่กระบี่เหรอ” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ
“พอเธอพูดแบบนี้ ฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ดูทรงแล้วจะขี่กระบี่ไปไม่ได้ ระยะทางไกลขนาดนั้นจากสภาพฉันตอนนี้คงไม่ได้แน่” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เอาไป ฉันจองตั๋วเครื่องบินให้พี่ เที่ยวบินพรุ่งนี้ตอนบ่าย จากอู่เฉิงตรงไปเมืองหลวง ฉันไม่ไปกับพี่นะ เพราะคนที่ล้มเทพแห่งจิตได้ยังไม่เกิดมาเลย” อวี้เอ๋อร์พูดขึ้นด้วยความยิ้มแย้ม
“อวี้เอ๋อร์ คนที่ล้มฉันได้ก็อยู่ตรงหน้าฉันไม่ใช่เหรอไง” กัวไฮว่พูดพลางลากอวี้เอ๋อร์เข้าไปในห้อง จากนั้นก็สร้างค่ายกลเอาไว้ ภายในห้องเต็มไปด้วยทัศนียภาพแห่งวสันตฤดู
“อวี้เอ๋อร์ ทำกับข้าวเสร็จแล้ว เธอพักผ่อนเยอะๆ นะ เดี๋ยวฉันเตรียมตัวไปเมืองหลวง” เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า กัวไฮว่สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ทำโจ๊กเนื้อวางเอาไว้บนโต๊ะ เขามองอวี้เอ๋อร์ผู้มีรูปร่างดั่งหยกแวบหนึ่ง เลียริมฝีปากแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไป
“ตาบ้า ออกไปตั้งแต่เช้า ต้องไปหาเมียน้อยแน่ๆ เลย” ในขณะที่กัวไฮว่เดินออกไปจากห้อง อวี้เอ๋อร์ก็เบ้ปากพูด
ทว่าอวี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้ใส่ร้ายกัวไฮว่จริงๆ เขาเหยียบคันเร่งบึ่งมายังหน้าประตูใหญ่โรงเรียนมัธยมแห่งมหาวิทยาลัยอู่เฉิง เมื่อหลี่เวยเห็นกัวไฮว่ ทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนม กัวไฮว่จอดรถไว้ด้านนอกแล้วเดินเข้าไป
“ก๊อกก๊อกก๊อก!” ประตูห้องพักครูหลินซวงถูกเคาะขึ้น หลินซวงยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมา ตั้งแต่กลับมาจากคลินิกไม่คราวก่อนและเมื่อได้เห็นการรักษาของกัวไฮว่ที่คลินิกไม่ หลินซวงก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมต่อเด็กผู้ชายคนนี้ ถึงทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กัน แต่นับตั้งแต่หลินซวงกลับมาจากคลินิกไม่ เธอก็ได้ยอมรับในตัวกัวไฮว่แล้ว
“แหวะ! แหวะ!” จู่ๆ หลินซวงก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน จากนั้นก็เดินไปตรงอ่างน้ำอีกครั้ง หลังจากล้างหน้าล้างตา หลินซวงก็หายใจเฮือกใหญ่ วันนั้นของเดือนควรจะมาก็ไม่มา ในใจของเธอพลันร้อนรน หรือว่าจะโดนเข้าซะแล้ว
“กินยานี่ไปสิ แล้วเดี๋ยวจะดีขึ้น” กัวไฮว่เดินไปข้างๆ หลินซวงแล้วยื่นยาลูกกลอนสีครามไปให้หลินซวง หลินซวงตกอกตกใจ จากนั้นก็น้ำตาก็พรั่งพรูออกมา
“เมื่อกี้เธอเดาไม่ผิด เธอท้อง เด็กเป็นลูกของฉันกับเธอ” กัวไฮว่พูดเบาๆ “ฉันจะรับผิดชอบจนถึงที่สุด วันนี้ฉันมาหาเธอเพราะจะบอกเธอว่า บ่ายวันนี้ฉันจะไปบ้านตระกูลกู่ เรื่องหมั้นของเธอกับตระกูลกู่ฉันจะไปจัดการเอง เมียของฉัน ใครก็แย่งไปไม่ได้”
“ตาบ้า นายรู้อยู่นานแล้วใช่ไหมว่าฉันท้อง ทำไมเพิ่งมาบอกฉันตอนนี้” หลินซวงพูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “นายอย่าไปหาตระกูลกู่เลยนะ อิทธิพลของตระกูลกู่ไม่ได้กระจอกแบบที่นายคิดหรอก นายฆ่าคนของตระกูลซย่าโหวได้ แต่นายฆ่าคนตระกูลกู่ไม่ได้ ถ้านายมีเรื่องกับตระกูลกู่ก็แสดงว่าเป็นศัตรูกับทั้งกลุ่มผู้มีพลังวิเศษหัวซย่า ผลที่เกิดไม่อาจจะคาดเดาได้”
“วางใจเถอะ ฉันจัดการตระกูลกู่ได้แน่ ไว้ตอนนั้นฉันจะไปขอแต่งงานที่บ้านตระกูลหลินด้วย วางใจเถอะ” เมื่อกัวไฮว่พูดเสร็จก็ช่วยหลินซวงซับน้ำตา เขาจุมพิตเบาๆ ที่บริเวณหน้าผากของหลินซวงแล้วก็หมุนตัวออกไป
“กัวไฮว่ อย่าไปหาตระกูลกู่ ฉันคุยกับทางตระกูลกู่เองได้ นายไปไม่ได้นะ ฉันไม่อยากให้ลูกของเราไม่มีพ่อ” หลินซวงร้องตะโกนเสียงดัง
กัวไฮว่หันกลับยิ้มเบาๆ จากนั้นก็มีกำไลลูกประคำเส้นหนึ่งตกอยู่ตรงหน้าหลินซวง “ใส่ไว้ที่มือ วางใจเถอะ คนบนโลกมนุษย์ที่อยากเอาชีวิตฉันยังไม่เกิดมา ดูแลตัวเองให้ดี รอฉันกลับมานะ” พูดเสร็จกัวไฮว่ก็เดินออกไป ในช่วงขณะที่หลินซวงหยิบลูกประคำขึ้นมานั้น ไอพลังงานบริสุทธิ์ระลอกหนึ่งก็ล้อมตัวเธอไว้ ทำให้หลินซวงรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เสี่ยวหลิงโม่ ยังไม่นอนอีกเหรอ เธอบำเพ็ญอยู่แบบนี้ฉันจะไปว่าอะไรเธอได้อีก” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ เขาปรากฏตัวอยู่ในห้องของหนานกงหลิงโม่กับมู่หรงเวยเวย
“พี่ไฮว่ พะ…พี่มาได้ยังไง” เสี่ยวหลิงโม่เงยศีรษะพูดขึ้น “ไม้ซัวตี้น่าเบื่อมากเลย พี่ไม่มีอะไรดีๆ ติดตัวมาบ้างเลยเหรอ เอามาให้ฉันอีกสิ”
“เหอะๆ เด็กนี่ เธอคิดว่าอาวุธวิเศษเป็นผักกาดหรือไงที่ได้มีไปทั่วทุกที่น่ะ” กัวไฮว่พูดเสียงดัง “บ่ายวันนี้ฉันจะไปเมืองหลวง ถ้าเธอไม่มีอะไรช่วยฉันแอบปกป้องครูหลินซวงหน่อยนะ รอไว้ฉันกลับมาฉันจะให้ของดีๆ กับเธอ”
“ฮึ รู้ตั้งนานแล้วว่าพี่กับครูหลินซวงมีอะไรกัน” หนานกงหลิงโม่เบ้ปากพูด “พี่ไปเมืองหลวงทำไมเหรอ พาฉันไปด้วยคนสิ ที่อู่เฉิงน่าเบื่อจะตาย ครูหลินซวงอยู่ในโรงเรียนไม่มีใครไปหาเรื่องเธอหรอก”
“ไปหาเรื่องตระกูลกู่ เธอจะไปไหมล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“หาเรื่องตระกูลกู่? งั้นก็ช่างเถอะ พี่ไปคนเดียวเถอะ อย่าประมาทเด็ดขาดเลยนะ เบื้องหลังตระกูลกู่คือกลุ่มผู้มีพลังวิเศษทั้งหัวซย่า ถ้าหาเรื่องพวกเขาจริงๆ ได้จบไม่สวยแน่” หนานกงหลิงโม่พูดเบาๆ “เรื่องนี้จะบอกพวกพี่เวยเวยหรือเปล่า”
“ไม่ต้องบอกพวกเขาหรอก ถ้าที่อู่เฉิงมีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ก็ไปหาอาโจวที่คลินิกไม่” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“กับแค่เซียนเทียนระยะหลังคนหนึ่ง ถ้ามีปัญหาจริงๆ หาเขาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หนานกงหลิงโม่พูดเบาๆ
“ทะลุเขตแดนเซียนเทียนแล้ว ฮ่าๆ ยายหนู ฝึกให้ดีๆ เถอะ อีกไม่กี่เดือนก็จะมีการแข่งขันต่อสู้แล้ว ไว้ตอนนั้นค่อยรังแกคนที่คิดจะรังแกเธอ” เมื่อกัวไฮว่พูดเสร็จก็หายตัวไปจากห้องของหนานกงหลิงโม่
“ตอนนี้พี่ไฮว่อยู่เขตแดนไหนนะ หายตัวไปต่อหน้าฉันได้ น่ากลัวมากๆ เลย ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องฝึกให้เยอะๆ แล้ว” หนานกงหลิงโม่พูดพึมพำ
กัวไฮว่ยืนอยู่บนตึกที่สูงที่สุดในโรงเรียนมัธยมแห่งมหาวิทยาลัยอยู่เฉิง เขาเห็นถังซีกับซูเยี่ยเดินออกมาจากห้องเรียน เห็นโหยวโยวโยวเดินออกมาจากห้องสมุด เห็นมู่หรงเวยเวยเดินกลับห้องนอน เห็นซุนหลิงหลิงเดินออกมาจากห้องทดลอง ก็อดทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ แดนมนุษย์นี่ดีจริงๆ
ไฟลท์บินเวลาบ่ายโมง กัวไฮว่ไม่ได้ขับรถ เขาเรียกรถมาจากโรงเรียนฟู่จงตรงมายังสนามบิน กัวไฮว่ไม่มีกระเป๋าเดินทางจึงผ่านด่านตรวจมาได้ง่าย เมื่อเห็นเครื่องบินที่จะต้องขึ้น ในใจก็พลันตระหนก เขาจากไปครั้งนี้ไม่ได้เสี่ยงทายดูล่วงหน้า จะเกิดเรื่องอะไรไหมนะ กัวไฮว่เดินตามแอร์โฮสเตสไปยังที่นั่งของตน แม้จะเป็นการนั่งเครื่องบินครั้งที่สอง ทว่ากัวไฮว่ก็ไม่ได้มีความทรงจำที่ดีอะไรกับเครื่องบินเลย
“สวัสดีค่ะ ขอเปลี่ยนที่นั่งหน่อยได้ไหมคะ พอดีพี่ฉันเขาท้อง อยากจะนั่งติดหน้าต่างน่ะค่ะ” เด็กผู้หญิงอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งพูดกับกัวไฮว่ กัวไฮว่ผงกศีรษะเบาๆ จากนั้นพาสายตาตกไปอยู่บนร่างของหญิงสาวตั้งครรภ์ที่อยู่ด้านหลังของเด็กผู้หญิง
“ขอบคุณมากนะคะ” เด็กสาวพูดอย่างมีมารยาท กัวไฮว่ยิ้มบางๆ แล้วหลับตาลงอย่างไม่สนใจใยดี อยากจะให้เครื่องบินรีบๆ ขึ้นรีบๆ ลง ฉันขอแค่นิดเดียวเอง
“พี่คะ ครั้งนี้พวกเราโชคไม่ดี ไม่คิดเลยว่าผอ. คลินิกไม่จะออกไปข้างนอก ไว้ครั้งหน้าเถอะ ครั้งหน้าไว้ติดต่อพวกเขาล่วงหน้า แต่คลินิกไม่สั่งยาบำรุงครรภ์มาให้ เด็กจะต้องไม่เป็นไรแน่” เด็กสาวพูดยิ้มๆ
“เด็กผู้ชาย สายสะดือพันอยู่รอบคอเยอะไปหน่อย แต่เด็กนี่ก็มีเคราะห์มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ทำไมมีเคราะห์มาตั้งแต่เด็กได้ล่ะ” กัวไฮว่ลอบคิดในใจ “รอให้เครื่องบินลงก่อนเถอะ พี่จะช่วยพวกเธอเอง เมืองหลวงจ๋า ข้ามาแล้ว!”
[1] เป็นการนับเวลาแบบโบราณ คือเวลา 23:00 น. – 01:00 น.