[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 152 ไปนั่งข้างบน
โจวเทียนหยางมองกัวไฮว่แวบหนึ่งแล้วมองหลิวเหวิน หลิวเหวินกัดริมฝีปาก ส่วนโจวเทียนหยางผงกศีรษะเบาๆ แล้วก็ลุกขึ้นมา ก่อนจะลงไปในอ่างไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน
“อย่ามัวชักช้าอยู่เลย ใส่ยาเข้าไปตามลำดับที่ฉันบอกพวกเธอไปเมื่อกี้ ถ้ายาไม่ได้ผลทำอาโจวแขวนชีวิตล่ะก็ พวกเธอทั้งหมดต้องรับผิดชอบ” กัวไฮว่พูดด้วยเสียงดังลั่น เมื่อเฉินจย่าตี้และคนอื่นๆ เห็นว่ากัวไฮว่ไม่ได้พูดล้อเล่นก็ตั้งสติขึ้นมา จากนั้นก็เทยาจีนที่เตรียมเอาไว้แล้วลงไปในอ่างไม้
“เสี่ยวโม่ ทำไมเขาถึงได้ร้อนขนาดนั้น เขาไม่เป็นไรใช่ไหม” หลิวเหวินกัดริมฝีปากมองไอร้อนที่ออกมาจากอ่างไม้ พร้อมกับถามเหอโม่ที่อยู่ด้านข้างขึ้นเบาๆ
“ใครเหรอ” เหอโม่ยิ้มพลางมองพี่สาวที่แก่กว่าตนไม่กี่ปีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก่อนจะถามขึ้น “น้าเหวินหมายถึงอาโจวเหรอ”
“เสี่ยวโม่ ไม่พูดด้วยแล้ว” หลิวเหวินพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ฉันไปถามเสี่ยวซือดีกว่า”
“น้าเหวิน น้าไม่ต้องกังวลนะ ไม่มีอะไรหรอก น้ายังไม่รู้ความสามารถของกัวไฮว่อีกเหรอ” หลิวเย่าซือพูดหยอกล้อเช่นเดียวกัน
“กัวไฮว่ ไม่เรียกว่าผอ. แล้วนะ ดูทรงแล้วเสี่ยวซืออยากจะเป็นเมียผอ. ล่ะสิท่า” หลิวเหวินพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แต่เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำเอาหลิวเย่าซือเขินอายจนหน้าแดงก่ำ
“อ๊าก เจ็บจะตายอยู่แล้ว เสี่ยวไฮว่ เธอบอกว่าไม่เจ็บไม่ใช่เหรอ” โจวเทียนหยางร้องตะโกนเสียงดังอยู่ในอ่างไม้
“แค่นี้ก็เจ็บแล้วเหรอ ทนไปก็พอแล้ว อาโจว ในชีวิตคนเราโอกาสแบบนี้มีน้อยนะ ถ้าครั้งนี้อาคว้าไว้ไม่ได้ งั้นทั้งชีวิตอาก็ไม่อาจก้าวข้ามเขตแดนไคกวงแล้วแหละ” กัวไฮว่ตะโกนเสียงดัง โจวเทียนหยางผงกศีรษะเบาๆ อยู่ในอ่างไม้ จริงสิ เกรงว่าโอกาสแบบนี้จะมีแค่ครั้งเดียว ฉันจะต้องบรรลุให้ได้
“ใคร ใครบรรลุกัน” ณ ภูเขาโบราณปู้โจวซานที่อยู่ห่างออกไปสามพันกิโลเมตร ผู้อาวุโสรายหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ผู้อาวุโสคนนี้อยู่ในระดับไคกวงระยะหลัง เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโจวเทียนหยางที่เกิดจากการบรรลุได้อย่างชัดเจน
“เผิงเทียนฮั่ว แกเองก็รู้สึกได้เหรอ ฉันยังนึกว่าเป็นภาพลวงตาซะอีก คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีบนโลกมนุษย์จะมีคนบรรลุอีก” ณ ภูเขาโบราณปู้โจวซาน ก็มีผู้อาวุโสที่มองอายุไม่ออกรายหนึ่งปรากฏตัวอยู่ข้างกายเผิงเทียนฮั่วพร้อมกับพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“เจ้าบ้าฉิน ดูทรงแล้วตำแต่งที่บรรลุจะอยู่ที่เมืองอู่เฉิง จากที่ฉันรู้เมืองอู่เฉิงไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรนี่ ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน” เผิงเทียนฮั่วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ยังจำพลังงานที่สะพัดเมื่อหลายวันก่อนได้หรือเปล่า เหมือนว่าจะมาจากเมืองอู่เฉิงเหมือนกันนะ ไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมืออาศัยอยู่ที่เมืองอู่เฉิงแล้วก็ได้” ฉินเฟิงอวี่พูดยิ้มๆ “หลายวันก่อนมีพวกจากสำนักวิชาขึ้นเขามา บอกว่าที่เมืองอู่เฉิงมีคลินิกไม่ ไม่รู้ว่าเป็นของศิษย์จากสำนักสันโดษสำนักไหน วิชาแพทย์ของผอ. คลินิกเก่งสุดยอดไปเลย”
“เก่งแล้วยังไง เกี่ยวอะไรกันกับพวกเรา จะมีวิชาแพทย์สูงส่งแค่ไหนแล้วจะรักษาพวกเราสองคนให้หายดีได้เหรอ ฮ่าๆ เจ้าบ้า อย่ามัวคิดเรื่องอื่นเลย เราไปบำเพ็ญเพียรกัน” พูดเสร็จ เผิงเทียนฮั่วก็หายตัวไปท่ามกลางยอดภูเขา
“ก็ไม่ถูกนะ บางทีเขาอาจจะรักษาให้พวกเราได้ก็ได้ แกไม่ไปฉันไปเอง ไว้ถึงตอนนั้นถ้าฉันหายดีขึ้นจริงๆ ฉันจะจัดการแกให้เรียบเลย” เมื่อพูดเสร็จ ฉินเฟิงอวี่ก็หายตัวไปท่ามกลางยอดเขา
“ผอ. ในอ่างไม่ขยับแล้ว” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง สมุนไพรถูกใส่ลงไปในอ่างทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงของโจวเทียนหยางเป็นระลอกๆ ทว่าสิบห้านาทีมานี้ ไม่มีการขยับเขยื้อนภายในอ่างแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ขยับน่ะถูกแล้ว ให้พวกเธอใส่ยาแรงไปเยอะขนาดนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็จบเห่” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม ส่วนคนอื่นๆ ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา
“ไม่เลวเลย ตอนนี้ยังหัวเราะออกมาได้อีก พวกเธอผลัดกันวัดชีพจรให้อาโจว จำชีพจรแบบนี้ไว้ให้ดี ถ้าช่วงนี้มีคนมาที่คลินิกไม่ให้พวกเธอรักษา แล้วบังเอิญเจอชีพจรแบบนี้ ก็ไปเรียกอาโจวมาให้จัดการซะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ จากนั้นพนักงานคลินิกไม่ทั้งสิบแปดรายต่างก็ต่อแถวผลัดกันจับชีพจรโจวเทียนหยาง
“น้องไฮว่ เหล่าโจวไม่เป็นไรใช่ไหม เธอดูเขาสิไม่ขยับเลย เธอรีบทำให้เขาตื่นเถอะ” หลิวเหวินกัดริมฝีปากเดินไปข้างกัวไฮว่แล้วพูดขึ้น
หลิ่วเยียนหาวทีหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าตนจะมีสติตื่นพอดูกระบวนการรักษา แต่ไม่คิดเลยว่าตลอดกระบวนการกัวไฮว่ไม่ได้ใช้แม้แต่เข็ม แสนจะน่าเบื่อ รู้อย่างนี้ตนกลับไปก่อนตั้งนานแล้ว
“อาโจว ผมมียาลูกกลอนไม่เยอะ ถ้าอาบรรลุไม่ได้ เดี๋ยวผมจะหลอมยาให้อา แล้วก็ต้องทำยาลูกกลอนออกมาอีก” ในขณะที่พูด กัวไฮว่ก็ยัดยาลูกกลอนเจ็ดสีเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของโจวเทียนหยาง กล้ามเนื้อบนกายของโจวเทียนหยางที่ไร้ลมหายใจเมื่อสักครู่ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ทำเอานักศึกษาทั้งสิบแปดคนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
“ชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับคุณ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา อาโจว อยากหน่อยไหม” กัวไฮว่ตะโกนเสียงดัง เข็มในมือส่องแสงสว่างวาบ เข็มทั้งเก้าฝังลงไปบนตัวของโจวเทียนหยางแทบจะในเวลาเดียวกัน จากนั้นโจวเทียนหยางก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่น ดีที่ห้องของคลินิกไม่แข็งแรง ทว่ากระจกคลินิกรอบๆ ต่างก็แตกไม่เหลือชิ้นดี
“ลืมเรื่องนี้ไปซะ” กัวไฮว่เห็นว่าโจวเทียนหยางขยับร่างกายเยอะไปก็โยนหยกหกชิ้นไปข้างๆ ตัวโจวเทียนหยาง สร้างค่ายกลแยกตัวขึ้น จึงจะได้หายใจเข้าเฮือกใหญ่
“ผอ. กัวอยู่ใช่ไหม คลินิกพวกเธอไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อกี้ได้ยินเสียงกรีดร้องเหมือนว่าจะดังมาจากฝั่งพวกเธอ” เวรรักษาการตำรวจถนนซิ่งหลินมีความรับผิดชอบสูงมาก ผ่านไปไม่ถึงสามนาทีก็มีตำรวจมาอยู่หน้าประตูคลินิกไม่แล้ว
“พี่จาง ไม่มีอะไรหรอกครับ เมื่อกี้ผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง พวกเราไม่มีเรื่องอะไรนะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ ส่วนจางฟ่างเห็นว่าในคลินิกไม่มีคนยืนอยู่เต็มก็ยิ้มแล้วก็เดินจากไป
“อาโจว ผมรู้ว่าอาได้ยินที่ผมพูด เดี๋ยวผมจะบอกพลังภายในให้อานะ ถือโอกาสตอนที่มีแสงจันทร์ก็ซึมซับไปหน่อย” กัวไฮว่พูดเบาๆ “กลับไปพักผ่อนกันเถอะ ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปเมืองหลวง มีอะไรก็โทรมาหาฉันนะ”
“แล้วอาโจวจะทำไงล่ะ” หลิวเหวินรีบถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ประมาณตีห้าวันพรุ่งนี้เขาก็ฟื้นแล้วล่ะ ไว้ตอนนั้นเขาจะรู้เองว่าควรจะกินอะไร” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “พี่เหวินเหวิน รอไว้ผมกลับมาจากเมืองหลวงผมจะจัดการเรื่องของพี่กับอาโจวให้นะ ฮ่าๆ” พูดเสร็จ กัวไฮว่ก็เดินไปข้างๆ หลิ่วเยียนพร้อมกับลากเธอออกไปจากคลินิกไม่ ไม่นาน ทั้งคลินิกไม่ก็เหลือเพียงแค่โจวเทียนหยางที่นั่งสมาธิอยู่ในอ่างไม้กับหลิวเหวินที่นั่งอยู่บนบันไดหน้าประตู
“พี่หลิ่วเยียน ผมทำให้พี่ผิดหวังรึเปล่า ฮ่าๆ” กัวไฮว่เห็นหลิ่วเยียนไม่กระปรี้กระเปร่าก็ถามยิ้มๆ
“ก็ดีแล้ว แต่นายทำกับอาโจวแบบนี้ จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ” หลิ่วเยียนถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ดึกแล้ว ผมไปส่งพี่กลับเถอะ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้มโดยไม่ได้สนใจว่าหลิ่วเยียนจะตกลงหรือไม่ เขารีบไปนั่งที่นั่งฝั่งคนขับ หลิ่วเยียนเองก็จำต้องส่งกุญแจให้กัวไฮว่ ต่อมาก็ได้สัมผัสกับความสามารถในการซิ่งรถของกัวไฮว่ สี่ตัวอันตรายเมืองอู่เฉิง
“เฮ้อ นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนั้นฉันขับรถเร็วขนาดนี้แล้วบาดเจ็บหนักขนาดนั้นได้ยังไง” กัวไฮว่พูดพึมพำกับตนเอง “หลิ่วเยียน ถึงแล้ว ลงรถเถอะ เอากุญแจเธอไป”
“นายขับรถกลับไปเถอะ ไกลขนาดนั้น นายเดินไปไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่” หลิ่วเยียนพูดยิ้มๆ “หรือไม่ก็วันนี้นายก็ไม่ต้องกลับ ไปนั่งข้างบนกับฉัน ในบ้านไม่มีใครอยู่” เมื่อพูดเสร็จ ใบหน้าของหลิ่วเยียนก็แดงก่ำขึ้นมา
“จะคืนจันทร์เต็มดวงก็ช่างมันเถอะ ไว้ครั้งหน้าฉันจะไปนั่งในบ้านเธอนะ ฮ่าๆ” เมื่อพูดเสร็จ หลิ่วเยียนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่พบว่ากัวไฮว่ก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาตนเอง
“ตาบ้า ไอ้ตาบ้า ฉันตกหลุมรักหมอนี่เหรอเนี่ย” หลิ่วเยียนลูบหน้าตนเองพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ