[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 149 ผู้ชายที่มีวาสนากับผู้หญิง
ถนัดอำพรางศพงั้นเหรอ เซียวอวิ๋นเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง นี่ก็ผ่านไปได้ไม่นาน ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งอีก จบลงแล้วอย่างนั้นเหรอ
เซี่ยอวี่ขุยเดินไปในคลินิกก็พบว่าทั้งสี่คนนอนเรียงรายกองอยู่บนพื้น ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง บางทีพวกเขาอาจจะเป็นเหมือนกับเซี่ยอวี่ขุยก็ได้ ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มาตายอยู่ภายใต้กำมือของเด็กหนุ่มแบบนี้ จะตายตาหลับทั้งที่ยังไม่รู้ว่าตายไปอย่างไรได้อย่างไรกัน
“เหล่าเซียว เข้าใจเรื่องราวแล้วหรือยัง” เซียวอวิ๋นเทียนตรวจศพทั้งสี่คนไปรอบหนึ่ง จากนั้นหวังเทียนลั่วก็ถามขึ้นเบา ๆ
“บนร่างกายไม่มีร่องรอยการต่อสู้ เมื่อกี้ฉันตรวจดูซย่าโหวซานเหอเซียนเทียนระยะหลังนั่นแล้ว อวัยวะภายในไม่เป็นไร ไม่รู้ว่ากัวไฮว่ทำอะไรกับพวกเขา ดูไม่ออก” เซียวเฟยหยางพูดเบา ๆ
“ไม่ดูแล้ว เหล่าเซียว รถมาแล้วล่ะ ลากพวกเขาไปเถอะ ไล่ซวย” เซี่ยอวี่ขุยพูดเบา ๆ จากนั้นพวกเขาก็ยัดศพทั้งสี่เข้าไปในรถตู้ที่จอดอยู่หน้าประตู แล้วก็มุ่งหน้าไปยังคูเมืองอู่เฉิง กัวไฮว่ยิ้มเล็ก ๆ ตรงมุมปาก เป็นยอดฝีมืออำพรางศพจริงเสียด้วย
“เหล่ากัว แกมีหลานดีนะ” ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที บรรดาคุณปู่ต่างก็ลงมาจากชั้นสอง เมื่อเห็นว่ากัวไฮว่กำลังดื่มเหล้าอยู่กับบรรดาเจ้าสำนัก หวังหย่งจิ้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา เจ้าตัวอันตรายในตอนนั้นหายไปแล้วล่ะ กัวไฮว่ในตอนนี้ ทำเอาหวังหย่งจิ้นเปลี่ยนความคิดของเขาไปโดยสิ้นเชิง
“ที่พวกคุณไม่ไปเพราะจะทานข้าวที่นี่ใช่ไหมครับ ฮ่า ๆ วันนี้มีความสุขจังเลย งั้นผมไม่เก็บเงิน เหล้าก็เลี้ยงให้พอ แต่ต่อไปคลินิกไม่เกิดเรื่องอะไรผมก็จะไม่เกรงใจทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี้แล้วนะครับ ฮ่า ๆ” กัวไฮว่พูดพลางหัวเราะร่า บางทีก็อาจจะมีแค่อวี้เอ๋อร์ก็ได้ที่เข้าใจกัวไฮว่จริง ๆ ทำตามใจปรารถนา ก็คือหนทางที่ถูกต้อง
คำพูดของกัวไฮว่ ทำเอาทุกคนหัวเราะเบิกบาน นายท่านทั้งหลายต่างก็ผงกศีรษะกัน กัวหลิวอี้มองหลานของตนในใจก็รู้สึกเป็นสุข เป็นไง เมื่อก่อนพอพูดถึงหลานฉันก็ปวดหัวกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้หลานฉันเลี้ยงข้าวพวกแก พวกแกก็ดีใจกันถึงขนาดนี้ ฮ่าๆ
คนที่อยู่ทานอาหารที่คลินิกไม่มีไม่น้อย หัวหน้าหนึ่งคนและรองกรรมการอีกห้าคนจากสมาคมแพทย์แผนโบราณก็ไม่ได้กลับไป เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ ต่อไปคลินิกปู้ไป๋ก็จะเป็นของคลินิกไม่แล้ว กินข้าวแค่มื้อเดียวจะเป็นอะไรไป เมื่อกินจนเสร็จ เหล่าชายแก่ต่างก็ร้องไห้ขึ้นมา พวกเขาเหลือเหล้าอีกไม่เยอะ เลยพูดกันมากขึ้น
“เหล่าหลิน ฉันไม่เป็นรองหัวหน้าสมาคมแพทย์แผนโบราณแล้ว ฉันอยากมาทำงานที่คลินิกไม่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่ม ทำงานถวายชีวิตอยู่ที่สมาคมแพทย์แผนโบราณก็ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงปากท้องหรือไง แต่ยังกินไม่ดีเท่าที่นี่เลย ฉันไม่ทำแล้ว” ฉินหลงพูดด้วยเสียงดัง
“อืม เหล่าฉินพูดถูกแล้ว พวกเราไม่ทำแล้ว มาทำงานที่คลินิกไม่ดีกว่า” จางเทียนเจิงกับซุนเซิงเองก็พูดขึ้นด้วยความมึนเมา หลินฉางเทียนไม่ได้ดื่มไปเยอะ เขามองรองหัวหน้าสมาคมทั้งสี่คน ไม่นานก็หักหลังกันไปแล้วสามคน จากนั้นก็สลบไสลไป ส่วนอู๋ซู่ซานก็โวยวายว่าจะไม่ทำตั้งนานแล้ว ทว่าเมื่อกลับไปคิดดูดี ๆ ใครจะยอมมาเป็นหัวหน้าสมาคมแพทย์แผนโบราณนี่อีกล่ะ ฉันเองก็ไม่อยากทำตั้งนานแล้วเหมือนกัน
“หวังเทียนลั่ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปี พวกกลุ่มผู้มีความสามารถพิเศษจะจัดการแข่งขันต่อสู้อะไรนั่นอีก พวกแกน่าจะได้บัตรเชิญกันแล้วนะ ไว้ถึงตอนนั้นฉันคิดแล้วล่ะ พวกเรามาเชิญกัวไฮว่ด้วยกันเถอะ ให้เขาได้ไปอัดพวกผู้มีพลังวิเศษให้ตายไปเลย”
“ฉันได้รับบัตรเชิญแล้ว จะให้ฉันไปดูแข่งมอเตอร์ไซค์ดูบอลหรือไง ก็แค่ไอ้พวกพึ่งพาพระเจ้าไม่ใช่หรือไง พวกเราฝึกฝนกันเองก็เซียนเทียนระยะหลังกันแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริง ๆ พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก วัน ๆ เอาแต่โม้เรื่องพระเจ้า” หวังเทียนลั่วพูดเสียงดัง
“พี่ไฮว่ ยอดฝีมือตระกูลซย่าโหวสี่คนนั่นพี่…” หนานกงหลิงโม่พูดพลางทำท่าเฉือนคอ
“เปล่านี่ เมื่อกี้พวกเราคุยกันสนุกเลย พวกเขานั่งรถออกไปกันแล้วล่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ
“ขี้โม้ ฉันเคยแลกหมัดกับไอ้คนที่แกล้งป่วยมาแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเสียเปรียบแล้ว ยังดีที่มีลูกเหล็กที่พี่อวี้เอ๋อร์ให้มาเมื่อคราวก่อน” เสี่ยวหลิงโม่พูดเบา ๆ “ลมหายใจของไอ้นั่นหายไปแล้ว พี่ต้องเป็นคนทำแน่ ๆ”
“งั้นเสี่ยวหลิวโม่ควรจะพูดออกไปไหม” กัวไฮว่ถามขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ไม่ได้น่ะสิ โตไปฉันยังต้องแต่งงานกับพี่นะ ดูพี่พูดเข้า เราคนกันเองแท้ ๆ” หนานกงหลิงโม่พูดเสียเกินจริง “ลูกเหล็กที่พี่อวี้เอ๋อร์ให้มาหมดแล้วล่ะ พี่มีของดีอะไรอีกไหม ให้ฉันหน่อยสิ เอาไว้ป้องกันตัวไง”
กัวไฮว่มองหนานกงหลิงโม่ที่มีสีหน้าคาดหวัง กัวไฮว่แสนจะจนปัญญากับเด็กที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แต่เมื่อนึกได้ว่าในน้ำเต้าเหล่าจวินมีของอย่างหนึ่งที่เหมาะสมกับเด็กคนนี้ก็เอาออกมา
“ไม่มีของป้องกันตัวหรอกนะ แต่ฉันมีของไว้หลบหนีอันนึงนะ ไม่รู้ว่าเธออยากได้หรือเปล่า” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ
“เอา แน่นอนว่าเอา ของอะไรเหรอ” หนานกงหลิงโม่ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ
“ก็คือของชิ้นนี้แหละ” ในขณะที่กัวไฮว่พูดอยู่นั้น ในมือก็มีแผ่นหยกเพิ่มเข้ามาอยู่ในมือ “ยายหนู จากที่เธอรู้เกี่ยวกับพลังวิเศษ ฉันว่าเธอจะศึกษาของชิ้นนี้ได้อย่างไว แผ่นหดดิน เธอไปศึกษามันเองเถอะ ถ้าในเจ็ดวันยังใช้ไม่เป็นฉันจะมาเอาคืน” กัวไฮว่ยิ้มพลางส่งแผ่นหดดินไปให้หนานกงหลิงโม่ แผ่นหดดินนี่เจ้าของน้ำเต้าเหล่าจวินคนก่อนน่าจะให้ลูกหลานของตนเป็นคนทำขึ้น ไม่ต้องการอะไรมาก แค่เซียนเทียนระยะหลังก็ใช้ได้แล้ว ให้เสี่ยวหลิงโม่ก็น่าจะพอดิบพอดี
“แผ่นหดดิน ทำไมคุ้นจังเลย อย่าบอกนะว่าเป็นแผ่นหดดินที่กล่าวถึงในไซอิ๋วเหรอ เป็นไปไม่ได้” หนานกงหลิงโม่หยิบแผ่นหดดินขึ้นมาพร้อมกับพูดกับตนเอง จากนั้นไอความเย็นก็สะพัดออกมาจากแผ่นหยก ทำให้เธอรู้สึกสบายจนไม่อาจมีอะไรมาเทียบ “ไม่ว่าจะศึกษาเข้าใจหรือไม่ ของสิ่งนี้ก็เป็นของตนแล้วล่ะ ให้ของฉันแล้วยังจะเอากลับไปอีก ฮึ หมอนี่ขี้งกชะมัด”
กัวไฮว่มองหนานกงหลิงโม่ด้วยสีหน้าอึมครึม ยายเด็กคนนี้นี่อัจฉริยะแท้ๆ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากที่คลินิกไม่เปิดกิจการส่งผลอยู่นาน ไม่เพียงแค่ในเมืองอู่เฉิงเท่านั้น คนจำนวนไม่น้อยจากเมืองหลวง เมืองซีจิง และเมืองอื่น ๆ ต่างก็รีบมากัน บัตรจองคิวคลินิกไม่ถูกทำขึ้นมากว่าสิบล้านชิ้น เรียกได้ว่ารักษาไม่ไหวกันเลยทีเดียว นักศึกษาทั้งสิบแปดคนต่างก็ไม่ได้จากไป พวกเขาทำงานอยู่ที่คลินิกไม่ก็ยิ่งทำให้นักศึกษาคณะแพทย์แผนโบราณและปัจจุบันต่างก็อิจฉา พวกเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของการแพทย์แผนโบราณ และต่อมาก็เริ่มศึกษาการแพทย์แผนโบราณกันอย่างจริงจัง
“ผอ. คะ นี่คือรายรับของเดือนนี้ คุณดูหน่อยสิ” หลิวเหวิน เด็กผู้หญิงที่ถูกช่วยในวันเปิดคลินิกคนนั้น ตอนแรกต้องถูกส่งตัวไปเลิกยาที่สถานบำบัดยาเสพติด ทว่าถูกนำตัวไปสถานบำบัดได้เพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงก็พบว่าไม่มีสารเสพติดแม้แต่น้อยเลยถูกสถานบำบัดปล่อยตัวออกมา เด็กสาวไม่มีที่จะไป สุดท้ายก็หาทางมาถึงคลินิกไม่จากในความทรงจำ ทุกคนต่างก็ไม่คาดคิดว่ากัวไฮว่จะให้เธออยู่ที่นี่ ทั้งยังให้เธอดูแลฝ่ายการเงินของคลินิกไม่ ทว่าใช้เวลาไปแค่เจ็ดวัน ความสามารถของเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ทำเอาทุกคนในคลินิกไม่หุบปากลง
“ไม่เลวเลย เริ่มได้กำไรแล้ว เดือนหน้าเงินเดือนของเธอเดือนละห้าพันนะ เธอหักจากรายรับของคลินิกไม่เองได้เลย” กัวไฮว่พูดยิ้ม ๆ “อย่าปฏิเสธล่ะ พวกเขารักษาคนไข้ได้เงินกันทั้งนั้น ฉันจะให้เธอทำงานฟรีไม่ได้หรอก”
“ชีวิตนี้ของฉันยกให้ผอ. แล้วล่ะค่ะ ฉันจะเอาเงินจากคลินิกไม่อีกไม่ได้ แต่มีบางอย่างที่ฉันต้องบอกกับคุณ” หลิวเหวินพูดยิ้ม ๆ “ฉันได้ยินที่เย่าซือกับเหลิ่งซวงพูดกันเมื่อหลายวันก่อน ว่าเหลิ่งซวงไม่อยากเป็นศิษย์ของคุณ แต่อยากเป็นเมียของคุณ ฮ่า ๆ ยังมีอีกนะ ช่วงนี้พี่หลิ่วเยียนโทรศัพท์มาวันละสามรอบ ถ้าคุณยังไม่โทรกลับอีกล่ะก็วันต่อไปคุณต้องช่วยรักษาอาการหลั่งภายในให้เธอแน่ ผอ. คุณเป็นผู้ชายที่มีวาสนากับผู้หญิงมากที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ ถ้ามีเวลา ฉันก็อยากทานอาหารค่ำใต้แสงเทียนกับคุณบ้าง” พูดเสร็จ หลิวเหวินก็ยิ้มวิ่งออกไป