[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 121 พ่อครัวใหญ่โจว
“จะกินข้าวกันแล้ว งั้นฉันให้โอกาสเธอสามครั้ง จะสู้ยังไงตามใจเธอเลย ถ้าทำให้ฉันขยับตัวได้ฉันก็จะยอมแพ้” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“ได้ ถ้านายชนะนายต้องตกลงกับฉันอย่างหนึ่ง” เหอโม่พูดพลางเตะกัวไฮว่ด้วยความแรงและว่องไวทำเอาอวี้เอ๋อร์ตื่นตะลึง
ในช่วงขณะที่เหอโม่จะเตะขาเข้าที่บริเวณเอวของกัวไฮว่นั่นเอง ร่างกายของกัวไฮว่ก็พับลงไปทางข้างหลังอย่างจัง จากนั้นก็ม้วนตัวซ่อนอยู่ระหว่างขา ส่วนเหอโม่เองก็ไม่ได้หยุดหย่อน เธอเตะด้านข้างไปอีกครั้ง กัวไฮว่ก็หลบได้อีกครั้ง
“ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง” กัวไฮว่พูดเบาๆ เด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เห็นได้ว่าจากแรงเตะทั้งสองขาเมื่อสักครู่นี้ เธออยู่ในระดับเซียนเทียนระยะกลางแล้ว หากหลี่เย่าต่อสู้กับเด็กคนนี้ ก็เป็นไปได้ว่าจะแพ้
“วิชาสิบสามเข็มสำนักผี” ในขณะที่พูด จู่ๆ ในมือของเธอก็พลันมีเข็มสิบสามเข็ม พุ่งแทงไปยังส่วนขาของกัวไฮว่
“สุดยอด สิบสามเข็มสำนักผีทำแบบนี้ได้ด้วย” กัวไฮว่ยิ้มมุมปากเล็กๆ เขางอเข่าเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้สองมือวาดอะไรบางอย่างกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา เข็มทั้งสิบสามเล่มก็ถูกเขาหนีบเอาไว้ในมือทั้งหมด
“เธอแพ้แล้ว เอาเข็มเธอไปเลย” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ พร้อมกับส่งเข็มในมือให้เหอโม่
“นายจะให้ฉันทำอะไรก็บอกมาเถอะ” เหอโม่พูดเบาๆ ในสายตาของเธอไม่ได้มีความลำพองใจแบบเมื่อสักครู่แล้ว
“ถอดหน้ากากซะ ให้ฉันได้ดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอ ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดด้วยรอยยิ้มร้าย
“เปลี่ยนเถอะ ไม่งั้นนายจะเสียใจ” เหอโม่ขบริมฝีปากพูด กัวไฮว่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ กุมความลับที่ไม่อาจบอกใครได้อยู่ สำนักผีงั้นเหรอ สำนักผีเสื่อมไปทั้งแต่ปลายราชวงศ์ถังแล้ว เมื่อก่อนกัวไฮว่เองก็รู้จักคนจากสำนักผี ไม่นึกเลยว่าพันปีให้หลังจะพบศิษย์สำนักผีในแดนมนุษย์อีกครั้ง
“ถ้าเธอตกลงก็ให้ฉันดูก็ไม่เปลี่ยน ถ้าไม่ตกลงเธอก็ไปเถอะ พวกเราจะไปกินข้าวแล้ว” กัวไฮว่พูดเบาๆ เรื่องบางเรื่องจะมาบังคับกันไม่ได้
“มาเถอะ ฉันจะให้นายดูแค่คนเดียว” เหอโม่พูดเบาๆ จากนั้นก็เดินออกไปจากโถงห้องประชุม
“น้องกัวไฮว่ นายอย่าไปเด็ดขาดเลยนะ ปีนี้มีครูฝึกทหารอยากถอดหน้ากากเหอโม่แต่เหอโม่ไม่ยอม แล้วทั้งสองคนก็ทะเลาะกัน ครูฝึกนั่นเลยกลายเป็นขันทีคนสุดท้ายของหัวซย่าไปเพราะถูกเธอถีบเข้าให้น่ะ นายอย่าไปเลยนะ” ในฝูงชนมีคนคนหนึ่งพูดตะโกนเสียงดัง
“ขอบคุณที่เตือนนะครับ แต่ผมว่าผมน่าจะโชคดีกว่าครูฝึกนั่น” กัวไฮว่พูดพลางเดินตามหลังเหอโม่ไป
“สวัสดี ฉันชื่อหลิวเย่าซือนะ เธอชื่ออวี้เอ๋อร์ใช่ไหม เธอสวยมากเลยล่ะ” หลิวเย่าซือมองอวี้เอ๋อร์ที่มีท่าทางไม่กังวลใจอะไรพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ
“พี่ซือซือ พี่ก็สวยมากเลยล่ะ ในมหาลัยอู่เฉิงมีที่ไหนอาหารอร่อยๆ บ้างเหรอ พี่ต้องพาฉันไปนะ วุ่นวายมาทั้งบ่ายฉันหิวแทบแย่เลย” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ แต่ในใจแอบคิดว่าเทพแห่งจิตลงมาแดนมนุษย์คิดจะรวบสาวกี่คนกันแน่ ถ้าเง็กเซียนฮ่องเต้รู้เข้าจะประทานสายฟ้าฟาดให้เขาไหม้เกรียมไปเลยไหมนะ
กัวไฮว่ตามเหอโม่มายังห้องซ้อมเดี่ยวที่ไม่มีใครอยู่ เหอโม่เข้าไปก่อนแล้วกัวไฮว่ก็เข้าไปทีหลัง จากนั้นประตูห้องก็ถูกกัวไฮว่ล็อกตายเอาไว้ เขามองเหอโม่ด้วยความเงียบเชียบ
“แล้วนายจะเสียใจ” เหอโม่พูดพลางถอดหน้ากากออก งดงาม เหอโม่มีใบหน้าครึ่งหนึ่งที่สวยงามที่ไม่อาจเทียบได้ ระดับพอๆ กับมู่หรงเวยเวยเลยทีเดียว ทว่าอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ถ้าหากมีคนเห็นเข้าเป็นอันตกใจตายแน่
“นายเห็นแล้ว พอใจหรือยัง” เหอโม่ใส่หน้ากากอีกครั้งแล้วเตรียมตัวจะออกไป
“สำนักผีเริ่มขึ้นสมัยราชวงศ์ฉินรุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ฮั่นตกอับในสมัยราชวงศ์ถัง หมอสำนักผีมีอายุไม่เกินแปดสิบสี่ปีทุกคน ยิ่งใช้วิชาแพทย์ของสำนักหมอผีมากเท่าไหร่อายุก็จะสั้นลงเท่านั้น ใช้วิชาแล้วจะสะท้อนกลับกลายเป็นครึ่งคนครึ่งผี” กัวไฮว่พูดเบาๆ
“นายเป็นใครกันแน่” เหอโม่หยุดฝีเท้า เธอถามขึ้นเบาๆ
“ถ้าฉันบอกว่าฉันรักษาหน้าให้เธอได้ เชื่อจะเชื่อหรือเปล่า” กัวไฮว่พูดเบาๆ “ฉันช่วยแก้ปัญหาวิชาสะท้อนกลับของสำนักพวกเธอได้นะ”
“เป็นไปไม่ได้ หลายร้อยปีมาแล้ว คนของสำนักหมอผีน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์ใหม่จำนวนครึ่งหนึ่งจะมีความผิดปกติ ผู้สืบทอดหาวิธีมานับไม่ถ้วนก็ไม่อาจแก้ไขได้ นายจะไปแก้ได้ยังไงกัน” เหอโม่พูดเบาๆ
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ หมอบังคับผู้ป่วยไม่ได้ จะให้ฉันไปช่วยสำนักหมอผีของพวกเธอก็ไร้ประโยชน์ สิบสามเข็มสำนักหมอผีนั่นก็ใช่ว่าจะเป็นความลับอะไร” กัวไฮว่พูดพลางเปิดประตูห้องเตรียมจะออกไป
“ฉันเชื่อนาย ถ้านายช่วยแก้ไขเรื่องสำนักหมอผีให้ได้ ฉันจะเคารพนับถือนาย” เหอโม่พูดเสียงดัง
“พรุ่งนี้ฉันจะมาที่คณะแพทย์แผนโบราณอีก ไว้ถึงตอนนั้นฉันจะมาหาเธอ” เมื่อกัวไฮว่พูดเสร็จเขาก็ออกจากห้องเรียนไป
“พี่ไฮว่ เหอโม่นั่นรูปร่างไม่เลวเลย หน้าครึ่งนึงก็ออกจะสวย พี่คิดอะไรเจ้าเล่ห์ๆ อีกแล้วล่ะสิ” อวี้เอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ๆ กัสไฮว่แล้วถามเบาๆ
“แค่กๆๆ สามีเธอไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะ” กัวไฮว่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฮึ พี่เป็นคนยังไงฉันรู้ดีกว่าพี่อีก” อวี้เอ๋อร์ถลึงตาพูด “พี่ซือซือ เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันเหรอ จองแล้วหรือยัง”
“พวกเธอตามฉันมาก็พอแล้ว วันนี้รับประกันเลยว่าจะพาพวกเธอไปกินของดีๆ” หลิวเย่าซือพูดยิ้มๆ จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินไปถึงร้านอาหารเล็กๆ ที่ตกแต่งธรรมดาแห่งหนึ่ง
“คุณอาโจว ฉันพาเพื่อนมากินข้าวค่ะ รบกวนอาช่วยทำเมนูเด็ดมาให้เราหน่อยนะคะ” เมื่อทั้งสี่คนเข้าไป หลิวเย่าซือก็พูดขึ้นกับชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางดุดันกว่าเซวียนต้าจู้คนหนึ่ง
“เสี่ยวซือ เธอมาพอดีเลย วันนี้ต้าหู่ส่งเนื้อกวางมาให้ เดี๋ยวฉันทำให้พวกเธอนะ” ชายฉกรรจ์ผู้นี้พูดขึ้น “เด็กคนนี้นี่หน้าตาคุ้นๆ นะ เสี่ยวซือ แฟนเธอเหรอ ฉันเคยบอกต้าหู่แล้วว่าเด็กผู้หญิงอย่างเธอชอบคนสุภาพๆ เขาก็ไม่เชื่อ ฮ่าๆ”
“อาโจวคะ รีบไปทำกับข้าวเถอะ แฟนของพี่สุดหล่อคนนี้คือคนที่อยู่ข้างๆ นี่ ลุงอย่าพูดมั่วซั่วสิ” หลิวเย่าซือพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก ถ้าเธอชอบ สัตว์เลี้ยงตัวนี้ฉันให้เธอก็ได้ ยังไงซะฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ เมื่อโจวเทียนหยางได้ยินเขาถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา “พวกเธอรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวก็เสิร์ฟอาหารแล้ว” กัวไฮว่มองโจวเทียนหยางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตามเข้าไปในครัว
“ยอดฝีมือเซียนเทียนระยะหลังทำกับข้าวย่อมไม่ธรรมดาแน่ ใช้พลังปราณทุบเนื้อกวางนี่ให้กลายเป็นอาหารเหลวจะไม่อร่อยได้ยังไงกัน” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ อยู่ด้านหลังโจวเทียนหยาง
“เธอพูดอะไรน่ะพ่อหนุ่ม อยากเรียนทำอาหารเหรอ ฉันสอนให้เธอได้นะ แต่ถ้าอยากจีบสาว การทำกับข้าวอร่อยๆ ไปให้ ก็เป็นเทคนิคจีบสาวที่ไม่เลวเลยนะ” โจวเทียนหยางชะงักไปก่อนจะพูดยิ้มๆ
“ยอดฝีมือหมัดพยัคฆา… คนโบราณไม่ได้หลอกจริงๆ ด้วยแฮะ ถ้าจะใช้หมัดมวยในการเข้าสู้ลัทธิเต๋าก็ต้องมีร่างการแข็งแกร่งเป็นพื้นฐานจริงๆ ด้วย แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของอาโจวยังไม่แข็งแกร่งพอนะครับ ถึงได้ถูกหมัดพยัคฆาสะท้อนกลับแรงขนาดนี้” กัวไฮว่พูดต่อ
“เธอเป็นใครกันแน่” โจวเทียนหยางหยุดงานที่อยู่ในมือ เขาหมุนตัวมามองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้น “ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในร้าน ฉันก็รู้แล้ว่าเธอมีพลังยุทธ แล้วยังบรรลุเขตแดนเซียนเทียนตั้งแต่อายุยังน้อยอีก ไม่ทราบว่ามาจากสำนักไหนเหรอ มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ถ้าผมบอกว่าเป็นวาสนาคุณจะเชื่อไหมครับ ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “อาโจว ทำกับข้าวไปเถอะครับ พวกเราหิวกันมากแล้ว ไว้กินอิ่มแล้วพวกเราค่อยคุยกัน” กัวไฮว่พูดเสร็จก็เดินจากห้องครัวไป