[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 113 ประลองความรู้อีกครั้ง
“ผมตกแต่งคลินิกเรียบร้อยแล้ว พอดีผมรู้จักกับหลินฉางเทียน หัวหน้าหลินจากหัวหน้าสมาคมแพทย์จีน แล้วก็จะเปิดคลินิกที่ถนนซิ่งหลินแน่ๆ ผมว่าคุณโทรไปถามหัวหน้าหลินได้นะครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เธอรู้จักเหล่าหลินเหรอ งั้นก็ง่ายเลย ฉันโทรศัพท์สักครู่ พวกเธอรอเดี๋ยวนะ” ในขณะที่พูด หลิวเฉินกังก็ต่อสายโทรหาหลินฉางเทียนจริงๆ หลังจากคุยไปได้ไม่กี่คำ ก็จะเห็นว่าหลิวเฉินมองกัวไฮว่ด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างกับเจอสาวสวย ใช่ มองกัวไฮว่ ไม่ได้มองอวี้เอ๋อร์
“พ่อหนุ่ม ฉันนึกว่าจะได้เจอเธอวันเสาร์ซะอีก ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเธอวันนี้ เป็นวาสนา เป็นวาสนาแน่ๆ” หลิวเฉินกังลุกออกมาจากที่นั่ง เขาจับกัวไฮว่เอาไว้แน่นพร้อมกับพูดเสียงดัง
“คณบดีหลิว เอาตรงๆ นะครับ ถึงผมจะรู้สึกไม่เลวกับคุณ แต่ว่าผมไม่ชอบผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่แก่ ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ในเมื่อเหล่าหลินบอกคุณหมดแล้ว คุณช่วยคิดหน่อยสิว่าจะจัดการเรื่องคนนี่ยังไง”
“จัดการ จะจัดการเดี๋ยวนี้แหละ วันนี้เธอก็มาพอดีเลย คนในคณะแพทย์แผนโบราณส่วนใหญ่ก็อยู่ในคณะกัน พวกเราไปตอนนี้เลย จะได้ไปเจอพวกเขาพอดี” หลิวเฉินกังพูดยิ้มๆ
อันที่จริงกัวไฮว่ไม่รู้ว่าคณะแพทย์แผนโบราณกับคณะแพทย์แผนปัจจุบันใช้อาคารเรียนเดียวกัน และในตอนนี้ก็จัดการประลองความรู้การแพทย์ระหว่างแพทย์แผนโบราณกับแพทย์แผนปัจจุบันอยู่
“น้องเย่าซือ ที่แพทย์แผนโบราณแข่งกับแพทย์ปัจจุบันในวันนี้ ถ้าแพทย์ปัจจุบันของพวกเราชนะไป จากนี้ก็จะสละอาคารหมอเทพให้คณะแพทย์โบราณแล้วล่ะ พวกเราจะไม่มาเหยียบอาคารหมอเทพอีก” เด็กหนุ่มหน้าตาแจ่มใสคนหนึ่งพูดยิ้มๆ กับนักศึกษาสาวหน้าตาหวานหยดย้อย
หลิวเย่าซือ นักศึกษาปีสามคณะแพทย์แผนโบราณ เธอเป็นประธานนักศึกษา ดาวคณะแพทย์แผนโบราณ ทั้งยังเป็นหลานสาวของหลิวเฉินกัง คณบดีคณะแพทย์จีน เธอมีภาระภาระอันหนักอึ้งกดทับตัวไว้เต็มไปหมด และคณะแพทย์แผนโบราณกับคณะแพทย์แผนปัจจุบันมหาวิทยาลัยอู่เฉิงก่อตั้งมานานหลายปี โดยปกติแล้วก็จะมีความขัดแย้งกันตลอด แต่สำหรับอธิการบดีมหาวิทยาลัยอู่เฉิงแล้ว มีความขัดแย้งถึงจะมีการพัฒนา แต่การขัดแย้งทั่วๆ ไปไม่เกี่ยว
ความขัดแย้งในครั้งนี้คณะแพทย์แผนปัจจุบันเป็นผู้ริเริ่ม อาคารหมอเทพก็เป็นอาคารเรียนรวมของคณะแพทย์จีนกับคณะแพทย์แผนปัจจุบันมาโดยตลอด เพราะปีนี้คณะแพทย์แผนปัจจุบันจ้างพนักงานเป็นเหตุทำให้ต้องการให้คณะแพทย์แผนโบราณยกตึกให้คณะแพทย์แผนปัจจุบันใช้เพียงฝ่ายเดียว
“เฉินเจี่ยตี้ พวกเรารับคำท้าประลองความรู้การแพทย์ พวกเธอคิดจะยึดอาคารหมอเทพไปฝ่ายเดียว กล้านักนะ” หลิวเย่าซือพูดยิ้มๆ “พวกเธอเป็นคนเลือกท้าประลองเอง งั้นพวกเราก็ต้องเป็นคนคิดวิธีประลองน่ะสิ”
“แข่งสามตา ฝ่ายชนะชนะสองในสามตา พวกเธอสามารถกำหนดได้สองตา อีกหนึ่งตาที่เหลือพวกเรากำหนดเอง นี่คือกฎการประลองความรู้” เฉินเจี่ยตี้พูดยิ้มๆ
หลิวเย่าซือขบริมฝีปากเบาๆ นับตั้งแต่ปีที่แล้ว คณะแพทย์แผนโบราณรับนักเรียนใหม่แค่เจ็ดสิบสามรายเท่านั้น เทียบกับคณะแพทย์แผนปัจจุบันที่มีหนึ่งพันสามร้อยกว่าคนแล้วน้อยกว่าเยอะเลย คนที่เรียนถึงแก่นแท้การแพทย์แผนโบราณยิ่งไม่มีสักคนเดียว อธิการบดีได้นำนักศึกษาปีสี่ออกไปฝึกงานข้างนอก ถึงขั้นที่หลิวเย่าซือเคยได้ยินมาว่าคณะบดีได้ตัดหางปล่อยวัดคณะแพทย์แผนโบราณไปแล้ว ทำให้เธอช่วยไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้
“น้องเย่าซือ อันที่จริงจากพรสวรรค์ของเธอแล้วเนี่ย ถ้ากลับใจไปเรียนแพทย์แผนปัจจุบันตอนนี้ก็น่าจะกลายเป็นหมอแพทย์แผนปัจจุบันที่เก่งกาจได้เลยนะ ได้ช่วยเหลือคนเหมือนกัน แล้วทำไมไม่เลือกวิธีที่ดีกว่าล่ะ” เฉินเจี่ยตี้พูดยิ้มๆ
“ได้ช่วยเหลือคนเหมือนกัน แต่ว่าแพทย์ตะวันตกรักษาแค่ภายนอกไม่ได้รักษาต้นตอ ต้นตอของการเจ็บป่วยขัดกับชี่ดั้งเดิม[1] ของคน คุณพี่คนสวย สนับสนุนการแพทย์แผนโบราณน่าจะดีกว่านะ” คนที่เอ่ยปากพูดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นกัวไฮว่ที่เพิ่งมาถึงโถงประชุมอาคารหมอเทพ
“เด็กน้อยจากไหนเนี่ย วันนี้คณะแพทย์แผนโบราณกับแพทย์แผนปัจจุบันท้าประลองกัน คนที่ไม่เกี่ยวเชิญออกไป” เฉินเจี่ยตี้ยังไม่ทันจะพูดอะไร หญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาก็พูดขึ้น
“ใครบอกว่าเขาไม่เกี่ยว? นี่กัวไฮว่ นักเรียนใหม่ปีนี้ของคณะแพทย์แผนโบราณที่ฉันเป็นคนพามาเอง แล้วก็จะเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ด้วย ถ้าเขาแพ้ นักเรียนคณะแพทย์แผนโบราณของเราก็จะไม่ไปเหยียบอาคารหมอเทพแม้แต่ครึ่งก้าวอีก แต่ถ้าชนะ คณะแพทย์ตะวันตกของพวกเธอจะเอายังไงเธอก็น่าจะรู้ดี” หลิวเฉินกังพูดด้วยเสียงดัง “เหล่าหลิว ฉันคิดว่าแกจะมาไม่มาซะอีก” ชายแก่ใส่ชุดสูทที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจากคณะแพทย์แผนปัจจุบันผู้หนึ่งก็ก้าวเดินออกมาพร้อมกับพูดยิ้มๆ เขาคือคณบดีคณะแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งยังเป็นหัวหน้ากิตติมศักดิ์จากสถาบันเซนต์แมรี่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาคืออาวุธลับแห่งวงการแพทย์แผนปัจจุบัน หวงฮั่นหลิน
“คนมาหาเรื่องถึงหน้าประตูบ้าน ถ้าฉันไม่ออกมา วันนี้อาจจะแค่อาคารหมอเทพ พรุ่งนี้อาคารประสานงานของฉันเกรงว่าจะต้องเปลี่ยนชื่อไปเป็นของฝ่ายแผนปัจจุบันแล้วสิ” หลิวเฉินกังพูดยิ้มๆ ถ้าวันนี้กัวไฮว่ไม่มา อันที่จริงเขายอมแพ้การประลองครั้งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะแค่ศักยภาพของยายหนูเย่าซือแค่คนเดียว ไม่มีทางที่จะชนะคณะแพทย์ตะวันตก ยกอาคารหมอเทพให้คณะแพทย์แผนปัจจุบันก็ยกไปสิ ในเมื่อนักศึกษาคณะแพทย์แผนโบราณก็มีอยู่น้อยนิด
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว กัวไฮว่เป็นถึงใคร เขาเป็นคนที่ตาแก่สมาคมแพทย์แผนโบราณต่างยกย่อง อย่าว่าแต่นักศึกษาคณะแพทย์แผนโบราณพวกนี้เลย ต่อให้แก หวงฮั่นหลินมาแข่งเอง ก็ไม่แน่ว่าจะชนะเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้
“ในเมื่อแกมา งั้นเรื่องในวันนี้ก็จัดการง่ายขึ้นแล้วล่ะ ฉันไม่สนหรอกนะว่าเด็กนั่นจะเป็นใคร แกจะให้เขาเป็นตัวแทนคณะแพทย์แผนโบราณประลองความรู้ในครั้งนี้ได้ไม่มีปัญหา เอาตามกฎการประลอง ชนะสองในสามตา คนที่แพ้ต้องยกอาคารหมอเทพให้” หวงฮั่นหลินพูดเสียงดัง
มั่นใจ ใช่ หวงฮั่นหลินมั่นใจในการประลองครั้งนี้เป็นอย่างมาก เฉินเจี่ยตี้เป็นศิษย์คนเก่งของเขา นอกจากว่ามีประสบการณ์ไม่พอ แต่ตอนที่เขาอายุยี่สิบปีก็สู้ศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่ได้ นอกจากนั้น ปีนี้เขาได้รับนักศึกษาใหม่มาชื่อว่าเฉาเฉียนคุน เขาเกิดในตระกูลแพทย์ ช่ำชองทั้งการแพทย์แผนโบราณและการแพทย์แผนปัจจุบัน เฉาเซิ่งอวิ๋นผู้เป็นพ่อของเขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับตนและแน่นอนว่าเป็นยอดฝีมือด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน ในเมื่อเขาให้ลูกชายของตนเลือกการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ต้องคิดจะสืบทอดเสื้อกาวน์ของตนเป็นแน่
“คณบดีหลิว รบกวนมานี่หน่อยค่ะ” หลิวเย่าซือมองปู่ของตนแวบหนึ่ง จากนั้นก็ลากเขาไปยังด้านข้าง “เด็กนี่เป็นใครเหรอคะ วันนี้เป็นการประลองความรู้นะ ปู่เรียกเด็กนี่มาทำไมเหรอ ตอนแรกก็วุ่นวายอยู่แล้ว ปู่อย่าเพิ่มความวุ่นวายจะได้ไหม”
“ยายหนู นี่เป็นการประลอง เธอทำได้แค่ไหนเชียว” หลิวเฉินกังถามยิ้มๆ “สู้กับเฉินเจี่ยตี้เธอมีโอกาสชนะแค่ครึ่งครึ่งเท่านั้น ยังมีอีกสองตา แกคิดมาตลอดว่าปู่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่นักศึกษาที่คณะแพทย์แผนโบราณจะพามาสู้ได้ก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ถึงเด็กๆ บางคนจะไม่เลว แต่ยังไงก็มาสัมผัสการแพทย์แผนโบราณได้ไม่นาน ถ้าพึ่งแต่พวกเธอ ได้แพ้การประลองครั้งนี้แน่”
“กัวไฮว่ ฉันรู้แล้วล่ะว่าเด็กนี่คือใคร เขาคือผู้เข้าแข่งขันยอดเยี่ยมการแข่งวิชาการจากโรงเรียนฟู่จง ไม่ผิด เป็นเขาแน่ เหมือนว่าเขาจะลาออกจากโรงเรียนแล้ว” ในขณะที่หลิวเฉินกังกับหลิวเย่าซือคุยกันอยู่นั่นเองก็มีคนจำกัวไฮว่ได้
“คุณปู่ พวกเราไม่ไหวปู่เลยเอาเด็กคนนี้มางั้นเหรอ” หลิวเย่าซือมองกัวไฮว่แวบหนึ่งก่อนจะพูดเบาๆ เด็กนี่อายุน้อยกว่าตน จะไปมีความสามารถอะไรได้
[1] บางตำราก็เรียกว่าชี่ก่อนฟ้า หมายถึงพลังชีวิตที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด