[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 108 เจี่ยหยวนไม่ได้เรื่อง
“เสี่ยวกัวนี่ วันนี้ผมช่วยเขาขับรถ บนรถมีแต่เฟอร์นิเจอร์ เขาขอแค่อย่างเดียวคือห้ามมีรอย นิดเดียวก็ไม่ได้ ถ้ามีรอยอย่าว่าแต่เธอจ่ายไม่ไหวเลย ฉันเองก็จ่ายไม่ไหว” จางซีอวิ๋นพูดเสียงดัง
“พี่จาง ไม่เว่อร์อย่างที่อาจารย์จางบอกหรอกน่า พวกพี่ขับรถก็พอแล้ว ระวังหน่อยนึงนะแต่ก็ไม่ได้เป็นของมูลค่าสูงอะไร” กัวไฮว่ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ไอ้น้อง นายวางใจเถอะ คนพวกนี้ปลดทหารจากกองทัพมาแล้ว รับประกันว่าทำงานสำเร็จแน่” จางโม่พูดยิ้มๆ “นี่พวกแก เดี๋ยวขนเฟอร์นิเจอร์บนรถไปในบ้านนะ ทุกคนระวังความปลอดภัยกันด้วย”
“รับประกันทำงานสำเร็จ” ชายหนุ่มสามสิบคนตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่บนรถ อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างรถ
“เจ้าเจ็ด แกดูโต๊ะนี่ การแกะสลักนี่ นี่เป็นตัวที่สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นในรอบหลายปีมานี้เลย สวยกว่าตัวที่อยู่ในบ้านของเจ้านายเราอีก” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างยิ้มแย้ม “วัสดุเป็นของดีแน่นอน ปริมาณแบบนี้”
“พี่ห้า เราระวังหน่อยเถอะ จะให้เกิดเรื่องกับเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด” เจ้าเจ็ดพูดเบาๆ “พี่ห้า พี่ดูแท่นนั่นสิ เดี๋ยวพวกเราทำงานเสร็จไปถามน้องคนนั้นดีกว่าว่างานแกะสลักพวกนี้เอามาจากไหน งดงามมากเลย”
กัวไฮว่ เจี่ยหยวน และพ่อลูกจางไม่ได้ว่างงาน ทั้งสี่คนย้ายเฟอร์นิเจอร์ไปวางไว้ในห้องทีละชิ้นๆ ของที่วางไปแล้วทุกชิ้นต่างก็เข้ากันกับการตกแต่งโดยรอบอย่างสมบูรณ์แบบ ทำเอาจางซีอวิ๋นมองแล้วเพลิดเพลินตา ประทับใจไม่มีเลือน
ทำงานกันไปสองชั่วโมง เฟอร์นิเจอร์บนรถก็ถูกย้ายลงมาหมด เหลือเพียงแค่ป้ายยาวป้ายหนึ่ง
“พี่จาง มานี่หน่อยสิครับ ป้ายนี่พวกเราแบกไม่ไหว” ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าของทั้งสามสิบคนเดินไปตรงหน้าจางโม่พร้อมทั้งพูดเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น ก็แค่ป้ายแผ่นเดียวไม่ใช่เหรอ ทำไมจะแบกไม่ได้” จางโม่ถามเบาๆ
“พี่จาง เมื่อกี้พวกเราลองยกป้ายนั่นแล้ว ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ป้ายนั่นพวกเราดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร แต่รู้อย่างเดียว หนักมาก” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเบา
จางโม่ผงกศีรษะเบาๆ เขากระโดดไปบนรถแล้วใช้มือผลักป้ายยาวประมาณสิบเมตรทว่าไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
“ไม่น่าจะใช่โลหะนะ แต่ทำไมถึงได้หนักขนาดนี้” จางโม่พูดอย่างนิ่งอึ้ง “พวกเธอมาดูหน่อย อย่าให้ป้ายทับคนล่ะ ฉันจะไปถามกัวไฮว่ ว่าใครเป็นคนขนป้ายขึ้นไป”
“ป้ายที่พี่จางพูดน่ะนะ อันนั้นพี่ไม่ต้องขน เดี๋ยวผมจัดการเอง” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม เขาลืมเรื่องรูปไปเสียสนิท ภายในน้ำเต้าเหล่าจวินมีไม้หานเถี่ยยาวประมาณยี่สิบเมตรอยู่ชิ้นหนึ่ง ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของในแดนมนุษย์ กัวไฮว่ดีใจอย่างสุดขีดเลยใช้กระบี่เฟยเจี้ยนตัดไม้หานเถี่ยออกมาทำป้ายคลินิกไม่แห่งนี้ ป้ายที่มีน้ำหนักเกือบห้าพันกิโลกรัมจะให้ใช้แรงคนมายกทำไม่ได้แน่ อย่าว่าเอามาห้อยไว้บนประตูเลย ถ้าตอนเอาเข้าไปในรถเขาไม่ร่ายมนตร์ไปรถไม่มีทางทนน้ำหนักได้แน่
“อย่างนี้นี่เอง งั้นพวกเราไม่ทำแล้ว” จางโม่พูดยิ้มๆ “พ่อครับ ทำงานเสร็จแล้ว งั้นคนของผมเลิกงานแล้วนะครับ พ่อจะกลับไปกินข้าวที่บ้านกับผมไหม” จางโม่มองจางซีอวิ๋นพร้อมกับพูดขึ้น
“พาคนของแกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันต้องอยู่รอก่อน” จางซีอวิ๋นพูดอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าฉันจัดการเรียบร้อยแล้วจะไปหาแกที่บ้าน เสี่ยวเจี้ยนน่าจะอยู่ที่บ้านนะ”
“ได้ครับ งั้นผมให้เมียออกไปซื้อกับข้าว ให้ทำอาหารรอพ่อ” เมื่อจางโม่พูดเสร็จก็พาคนของตนกลับไป
“หกไม่รักษา ไม่รักษาคนไม่กตัญญู ไม่รักษาคนพูดปด ไม่รักษาคนไม่เคารพ ไม่รักษาคนชั่ว ไม่รักษาผู้ไม่ปรองดอง ไม่รักษาผู้ไม่อยากรักษา พ่อหนุ่ม อย่าว่าอย่างอื่นเลย อักษรนี่ใครเป็นคนเขียนเนี่ย บอกฉันหน่อยได้ไหม ฉันจะไปกราบเขาสักหน่อย” จางซีอวิ๋นพูดยิ้มๆ “หกไม่รักษา ไม่รักษาผู้ไม่อยากรักษา ฮ่าๆ คลินิกไม่นี่น่าสนใจดีนี่ ไม่ทราบว่าแพทย์ประจำคลินิกไม่นี่คือใครกัน”
“คุณอาจาง ขอบคุณที่ดูแลเรื่องตกแต่งนะครับ ส่วนเรื่องใครเขียนแล้วก็หมอของคลินิกนี้เป็นใคร ผมบอกอาได้แค่ว่าเป็นคนคนเดียวกัน ถ้าอาอยากรู้ว่าเป็นใคร เสาร์หน้าเชิญมางานเปิดคลินิกนะครับ เดี๋ยวผมให้บัตรเชิญไป” กัวไฮว่พูดพลางส่งเช็คไปหนึ่งใบ “อาจางครับ เอาทีละเรื่องนะ อย่ามัวแต่ได้เงินน้อย งานตกแต่งนี่ไม่ใช่ของอาแค่คนเดียว ใครเขาก็มีลูกมียต้องเลี้ยงทั้งนั้นแหละ”
จางซีอวิ๋นผงกศีรษะพลางรับเช็คมา สิบล้าน เยอะกว่าที่ตกลงไว้แต่แรกว่าห้าล้าน หนึ่งเท่าตัว ทว่าเมื่อมองท่าทางของกัวไฮว่แล้ว จางซีอวิ๋นก็ไม่ได้เกรงใจ เขารับมาแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน
“พ่อหนุ่ม เสาร์หน้าฉันมาแน่ สองวันนี้ฉันก็ต้องมา เสี่ยวเจี่ยตกลงกับฉันไว้แล้วว่าจะให้ฉันถ่ายรูปให้” จางซีอวิ๋นพูดด้วยความยิ้มแย้ม
“ไม่มีปัญหาครับ ยังมีบางส่วนต้องเพิ่มเติมแก้ไขพอดี ไว้ตอนนั้นผมจะปรึกษาอาจาง อาไม่ต้องทำแล้วล่ะครับ กลับไปหาหลานเถอะ ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เจ้าสี่มือเติบจริงๆ เก้าอี้เตี้ยนี่ฉันไม่กล้านั่งเลย วัสดุนี่น่าจะเป็นไม้หวงฮวาหลีอายุเกินกว่าห้าสิบปี แกเอามาจากไหนเหรอ” เจี่ยหยวนพูดยิ้มๆ เขากับกัวไฮว่นั่งอยู่ในคลินิกไม่สองคน
“เรื่องคลินิกนี่ขอบคุณพี่สองมากนะ อาจางคนนี้นี่ไม่เลวเลย ต่อไปถ้าอยากขยายสาขายังต้องหาเขาอีก เหอะๆ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม “ก่อนเปิดกิจการเรียกพี่เย่ากับพี่เซิงมาหน่อย ผมอยากให้พวกพี่เซ็นสัญญา แบ่งหุ้นให้พวกพี่คนละสิบเปอร์เซ็นต์ ไว้ตอนนั้นคลินิกนี้ก็จะเป็นของพวกเราแล้วล่ะ”
“เจ้าสามบอกว่าความสามารถการแพทย์แกเหนือฟ้าไม่มีที่เปรียบ จริงหรือเปล่าเนี่ย ไว้เอาเข้าจริงอย่าเอาของพวกนี้ไปชดใช้ล่ะ” เจี่ยหยวนพูดอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าต้องชดใช้เงินจริงแล้วแกขาดเงิน แกบอกพี่ได้เลยนะ เงินร้อยร้อยล้านของแกฉันไม่ได้แตะต้องแม้แต่นิดเดียว อย่าขายของในคลินิกเชียวนะ”
“ดูพี่สองพูดเข้า พอคลินิกไม่เปิดจะรักษาวันละสิบคน ไว้วันเปิดคลินิกพี่ก็จะรู้เองว่าผมมีความสามารถอะไร ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“อย่าหาว่าฉันยุ่งเลยนะ ยังไงวันเปิดคลินิกแกก็ต้องจัดการเรื่องอาหาร ให้พี่ได้กินเหล้าเต็มอิ่มหน่อย” เจี่ยหยวนพูดยิ้มๆ
“ลองอันนี้ก่อน ดูว่ารสชาติเป็นยังไง” กัวไฮว่พูดพลางโยนเนื้อแห้งที่อยู่ในมือไปให้เจี่ยหยวนราวกับเล่นกล
“ให้ตาย อะไรเนี่ย แปลกๆ” เจี่ยหยวนถามด้วยความสงสัย จากนั้นก็นำเข้าไปในปาก “ให้ตาย เจ้าสี่ แกมีของดีอยู่เท่าไหร่กันแน่เนี่ย เอาออกมาให้หมดเลย เดี๋ยวพี่จะจัดการเรื่องเปิดคลินิกแกเอง รีบให้พี่กินเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอกินด้วยสิพี่สอง น้องสะใภ้พี่เหลือไว้ให้ผมแค่นี้เอง ให้พี่ไปหมดแล้ว” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ สิ่งที่ให้เจี่ยหยวนไปเมื่อสักครู่คือเนื้อมังกรชิ้นหนึ่ง ก็บอกไปแล้วว่ามีเนื้อมังกรเนื้อลา อันที่จริงพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อมังกรอร่อยกว่าเนื้อลาเป็นหมื่นเท่า
“ที่บ้านแกยังมีอีกใช่ไหม เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะกลับไปกินข้าวกับแกที่บ้าน ให้น้องสะใภ้ทำให้อีก” เจี่ยหยวนพูดตะโกนเสียงดัง
“ช่วงนี้สภาพจิตใจน้องสะใภ้พี่ธรรมดาๆ ถ้าพี่ไม่กลัวมีดเล็กเธอเล่มนั้นล่ะก็ พี่ก็ไปกับผม” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ได้ งั้นก็รอคลินิกแกเปิดแล้วกัน” เจี่ยหยวนพูดด้วยเสียงดัง “ถ้าแกมีของอร่อยขนาดนั้น ต่อให้คลินิกแกไม่ขายยาไม่ได้ ขายของกินก็ได้เงินเหมือนกันนะ”
“พี่สอง วันนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าพี่เป็นพวกเห็นแก่กิน” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“การที่กินได้ก็คือความสุข บางคนอยากกินแต่ก็กินไม่ได้” เจี่ยหยวนพูดพลางเดินกระเพื่อมไขมันของตนเองออกไปจากคลินิก “วันเสาร์หน้า รีบถึงสักทีสิ”