[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 106 คุณย่าคือคนที่มา
“นั่นหมายความว่าคนที่ทำร้ายเสี่ยวเทียนไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีพลังวิเศษงั้นเหรอ ถ้างั้นก็จัดการง่ายใหญ่เลย ในเมื่อไม่ใช่คนของกลุ่มผู้มีพลังวิเศษของพวกคุณ งั้นพวกเราจะคิดวิธีเองล่ะนะ” ซย่าโหวหย่วนพูดด้วยสีหน้าอึมครึม “งั้นก็ขอบคุณน้องจงเฉิงที่มาเสียเวลาเปล่าที่หัวซย่าล่ะนะ ส่งแขก”
จางจงเฉิงเองก็ไม่ได้โมโห เขามองซย่าโหยวหย่วนยิ้มๆ จากนั้นก็หมุนตัวออกไปจากบ้านตระกูลซย่าโหว เขาข่มใจไม่ได้จึงพูดออกมาว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือช่วงระยะหลังเซียนเทียนก็ทำลายมันสมองของซย่าโหวเทียนได้เถอะ
“ซย่าโหวซานเหอ ซย่าโหวเฟิ่ง ซย่าโหวเฉิง ซย่าโหวอู่ พวกเธอไปเมืองอู่เฉิงเดี๋ยวนี้เลย ไปสืบหาความจริงเรื่องที่เสี่ยวเทียนถูกทำร้าย พาคนร้ายกลับมาให้ได้ จะเป็นตายได้หมด” ซย่าโหวหย่วนพูดเสียงดัง ผู้อยู่ระดับเซียนเทียนระยะกลางสองคน ผู้อยู่ระดับเซียนเทียนระยะต้นสองคน จากนั้นก็ส่งยอดฝีมือเซียนเทียนอีกสี่คน ตระกูลที่ใช้ยอดฝีมือเซียนเทียนได้เยอะขนาดนี้ ทั้งหัวซย่ามีไม่เยอะ
“เสี่ยวไฮว่ แกฉลาดออกขนาดนี้น่าจะรู้ใช่ไหมว่าทำไมปู่ถึงให้แกไปอยู่ที่ทางใต้ช่วงหนึ่ง” กัวเจิ้งหยางปิดโปรเจคเตอร์พลางพูดขึ้นเบาๆ
“ผมเข้าใจความหมายของปู่ดีครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“งั้นแกก็ตกลงแล้วสินะ เดี๋ยวปู่โทรหาปู่เหวินเซวียนแล้วให้แกไปวันนี้เลย” กัวเจิ้งหยางพูดยิ้มๆ “เมื่อตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ย่อมต้องยอมถอยเพื่อที่จะไม่ได้เป็นเบี้ยล่าง ไม่ว่าเรื่องเด็กตระกูลซย่าโหวนั่นจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับแก แต่แกก็ไปอยู่ทางใต้สักระยะหนึ่ง ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าตระกูลซย่าโหวของมันจะกล้าไปหาแกที่บ้านตระกูลเว่ย”
“ผมเข้าใจความหมายของปู่ดีครับ แต่ผมหมายความว่าผมอยู่ที่อู่เฉิงจะดีกว่า” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ในบ้านมีคนแก่จะจากไปไกลไม่ได้ ปู่กับย่าอายุปูนนี้แล้ว ผมอยู่ข้างกายปู่ย่าน่าจะดีกว่า สี่ยอดฝีมือแดนเซียนเทียนก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
“แค่กๆๆ เสี่ยวไฮว่ ฉันไม่มีลูกชายแล้ว มีแค่หลานชายอย่างแกคนเดียว ครั้งนี้แกไม่ไปก็ต้องไป” กัวเจิ้งหยางพูดเสียงดัง “ถ้าเกิดแกเป็นเรื่องอะไรอีก ฉันตายไปจะมีหน้าพบพ่อแม่แกได้ยังไง”
“ดูปู่พูดเข้า ตระกูลซย่าโหวมียอดฝีมือแดนเซียนเทียนอยู่ อันที่จริงอาจารย์ผมก็ส่งยอดฝีมือแดนเซียนเทียนมาปกป้องผมอยู่เหมือนกัน ปู่วางใจเถอะครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “อย่าว่าแต่ทำร้ายผมเลย สี่คนนั่นสู้อวี้เอ๋อร์ไม่ไหวหรอก”
“เสี่ยวไฮว่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นนะ ปู่รู้นะว่าแกกังวลว่าหลังจากแกไปตระกูลซย่าโหวจะมาหาเรื่องปู่ แต่เรื่องนี้แกวางใจได้ ตระกูลซย่าโหวไม่กล้าทำอะไรปู่หรอก” กัวเจิ้งหยางพูดขึ้น
“แปะ!” กัวไฮว่ไม่ได้พูดอะไรมากมาย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมา หินรูปหมูที่ตั้งอยู่ในห้องหนังสือชิ้นหนึ่งก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขา จาดนั้นก็แหลกเป็นผุยผง “คุณปู่ วางใจเถอะครับ ผมบอกปู่แล้วไม่ใช่เหรอ กัวไฮว่ไม่ใช่กัวไฮว่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ที่อวี้เอ๋อร์พูดไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไม่เลวเลยนะ ที่ว่าคนอื่นไม่รังแกเรา เราก็ไม่รังแกคนอื่น คนอื่นมารังแกเรา ให้จัดการทั้งโคตร ร้อยปีแดนมนุษย์ อยากทำอะไรก็ทำ ต่อสู้โดยไม่ยอมแพ้ แม่มันเถอะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ ส่วนกัวเจิ้งหยางก็มองเศษผงก้อนหินที่เต็มบนพื้นด้วยความตื่นตกใจ
“เด็กบ้า ปู่รู้ว่าแกอาจจะเป็นศิษย์สำนักสันโดษสักแห่งหนึ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าตอนนี้แกจะเรียนรู้อะไรพวกนี้ แล้วก็เก่งขนาดนี้” ผ่านไปพักหนึ่งกัวเจิ้งหยางก็พูดพึมพำขึ้น “ตอนนี้แกอยู่ระดับไหนแล้วเหรอ”
“ประมาณระยะหลังเซียนเทียนมั้งครับ จะบอกปู่ไปก็ไม่เข้าใจหรอก พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่ตระกูลซย่าโหวส่งมาแบบนั้นน่ะ แค่ผมโบกมือก็ตายไปเป็นหมื่นแล้ว” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ไปกันเถอะ ถ้ามีเวลาเดี๋ยวผมบำรุงร่างกายให้ปู่กับย่า ปู่กับย่าคอยดูแลหลานคนนี้ไว้ดีๆ ก็แล้วกัน”
“เด็กนั่นน่ะ คงไม่ใช้อวี้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกนี่หรอกใช่ไหม พวกแกยังไม่บรรลุนิติภาวะกันเลยนะ” กัวเจิ้งหยางพูดเสียงดัง “ช่วงนี้แกเพลาๆ ลงหน่อย แกมีชื่อจากที่หนึ่งการแข่งวิชาการมาไม่น้อย แต่ต้นไม้ใหญ่ย่อมนำมาซึ่งลมแรง แกต้องระวังให้ดี”
“อะแฮ่มๆ ดูปู่พูดเข้า อย่าตกใจสิครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “อันที่จริงวันนี้ผมยังมีอีกเรื่องมาคุยกับปู่”
“ไปแหย่รังแตนที่ไหนมาอีกแล้วเหรอ” กัวเจิ้งหยางถามเบาๆ “เมื่อวานปู่ของหวังเซิงบอกว่าแกตามหวังเซิงเด็กบ้านั่นไปก่อเรื่องที่สมาคมแพทย์แผนโบราณ แกนี่ไม่ไว้หน้าปู่เลย ยังจะกล้าไปก่อนเรื่องที่นั่นอีก ต่อให้แกเป็นยอดฝีมือเซียนเทียนระยะหลัง แต่ตาแก่พวกนั้นจะมาหาเรื่องง่ายๆ ไม่ได้”
“ดูท่าปู่ของหวังเซิงจะไม่ได้บอกปู่ให้ชัดๆ นะ ปู่ครับ ผมไม่ได้ให้บัตรเชิญปู่แล้วล่ะนะ เสาร์หน้าคลินิกไม่ตรงถนนใหญ่ซิ่งหลิน 388 จะเปิดทำการ กัวไฮว่ผู้เป็นเจ้าของคลินิกไม่ ขอเรียนเชิญคุณกัวไปด้วย ช่วยไว้หน้ากันหน่อยนะครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ให้นายหญิงกัวมาด้วยกันนะครับ”
“คลินิกไม่? แกจะเปิดคลินิกเหรอ เด็กบ้า อย่าวุ่นวายจะได้ไหม ปู่แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วแกทำให้ปู่ได้สงบสักวันจะได้ไหม” กัวเจิงหยางพูดพลางเบิกตาโพล่ง
“คุณปู่ ถ้าผมไม่เปิดกิจการ ตาแก่จากสมาคมแพทย์แผนโบราณจะเป็นบ้าเอานะ ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ผมบอกปู่แล้วไง ผมไม่ใช่กัวไฮว่คนเดิมอีกแล้ว เราต้องใช้สายตาก้าวหน้ามองปัญหาไม่ใช่เหรอ[1]”
“แกเปิดคลินิก สำนักแกส่งคนมาเป็นหมอเหรอ” กัวเจิ้งหยางถามขึ้น
“ผมจัดการเรื่องของผมเองได้ ไม่เห็นต้องรบกวนสำนักเลย” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ถึงวันเสาร์แล้วปู่ก็จะรู้เอง ผมไม่คุยกับปู่แล้ว คุยกับปู่แล้วเสียแรงเปล่า ออกไปหาเมียผมดีกว่า” ในขณะที่พูด กัวไฮว่เองก็ไม่ได้ฟังว่ากัวเจิ้งหยางพูดอะไร เขาเดินตรงออกไปจากห้องหนังสือ
“จริงสิ หลานฉันไม่ใช่เด็กบ้าตัวอสรพิษคนเดิมแล้วนี่นา มันให้ของดีๆ แบบนั้นกับฉันกับเมียได้ ก็น่าจะมีฝีมือในด้านวิชาแพทย์” กัวเจิ้งหยางมองแผ่นหลังของกัวไฮว่พร้อมกับพูดเบาๆ “อุบัติเหตุรถชนคราวก่อนยังไม่ตายเลย ฉันจะมากังวลอะไรอีกล่ะ ช่างเถอะ ให้เด็กบ้านี่ทำไปเถอะ” ในที่สุดกัวเจิ้งหยางก็คิดได้
ในมื้ออาหารเที่ยงที่แสนจะหอมอบอวลไร้ที่เปรียบ คุณย่าเอาแต่ถามนู่นนี่กับอวี้เอ๋อร์ ทำเอาอวี้เอ๋อร์หน้าแดงก่ำไปหมด กัวไฮว่มองดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดยิ้มๆ ใครมันคิดจะมาขัดชีวิตในแดนมนุษย์ของฉัน ฉันไม่ปล่อยให้แกมีชีวิตบนแดนมนุษย์แน่
“เด็กบ้า ย่าจะบอกแกให้นะ อวี้เอ๋อร์ยังเด็ก เรื่องบางเรื่องแกต้องระวังไว้ด้วย” ตอนที่กำลังจะกลับ คุณย่าก็เรียกกัวไฮว่ไปด้านข้างแล้วพูดขึ้นเบาๆ “ย่าเคยผ่านมาแล้ว เรื่องบางอย่างต้องระวังเอาไว้ อะไรที่เหมาะสมแล้วก็ควรหยุดไว้แค่นั้น”
“เข้าใจแล้วครับ ผมบอกปู่แล้วว่าเสาร์หน้าผมจะเปิดกิจการ ย่าต้องแต่งตัวมาให้สวยๆ เลยนะ” กัวไฮว่พูดพลางมุดเข้าไปในรถราวกับหนีอะไรบางอย่าง จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ เด็กบ้า น่าสนใจนะเนี่ย คราวหลังแกก็ระวังให้ดีล่ะ ฟังคำคุณย่าไว้ซะบ้าง” อวี้เอ๋อร์พูดพลางยิ้มหวานราวกับดอกไม้ เธอย่อมต้องได้ยินที่นายหญิงพูดกับกัวไฮว่
“เธอจะกลับบ้านหรือจะตามฉันไปหาเจี่ยหยวน ฉันจะส่งของไปให้เขา แล้วก็ว่าจะแวะดูสักหน่อยว่าตกแต่งเป็นไงแล้ว” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“กลับบ้าน นัดไว้แล้วว่าจะไปเล่นไพ่นกกระจอก สัญญาแล้วจะกลับคำไม่ได้” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ
“ขโมยเงินเป็นสุข อยู่เล่นสนุกเป็นเพื่อนป้าๆ ก็ดีแล้ว แต่อย่าอินเกินไป” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
เมื่ออวี้เอ๋อร์มาถึงบ้าน สาวๆ สามคนก็ตามมา ส่วนกัวไฮว่ก็เรียกรถบรรทุกคันไม่เล็กมาแล้วให้คนค่อยๆ ขนเฟอร์นิเจอร์ขึ้นรถ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปถนนใหญ่ซิ่งหลิน
[1] เป็นคำพูดของเหมาเจ๋อตงหมายความให้มองการณ์ไกล