[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 1 เหตุเกิดที่สรวงสวรรค์
“เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี ทหาร! ไปตามเทพแห่งจิตมา!” เง็กเซียนฮ่องเต้ตะคอกเสียงดังลั่นอยู่ในตำหนักกระดิ่งทอง หมื่นพันปีมานี้นอกจากที่วานรบุกสวรรค์[1] ทำให้เขาเสียหน้าแทบสิ้น จนปล่อยฟ้าร้องออกมาครานั้น เหล่าเทพเซียนก็ไม่เคยเห็นเง็กเซียนโกรธขนาดนี้มาก่อน
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!” เหล่าเทพเซียนเห็นเทพแห่งดาวศุกร์ก้าวขึ้นมาแล้วพูดด้วยเสียงเบาด้วยความจนใจ
จากนั้นไม่นานเทพทหารสี่นายก็จับชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งมายังตำหนักกระดิ่งทอง ชายผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวการที่ทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้ปล่อยฟ้าร้องออกมาซึ่งก็คือเทพแห่งจิต
“นับตั้งแต่มีสรวงสวรรค์มา ไม่เคยเกิดเรื่องต่ำช้าขนาดนี้มาก่อน เจ้าลอบดูเทพเซียนอาบน้ำ เทพแห่งจิตเจ้าย่อมรู้ความผิดนี้ดี!” เง็กเซียนฮ่องเต้ตวาดเสียงดัง
“เทพแห่งดาวศุกร์ ปิดผนึกพลังของเขาให้ข้าที มาถึงนี่แล้วยังบังอาจใช้วิชาอ่านจิตกับข้าอีก ตายแล้วไม่แก้[2] เสียจริง” ในขณะที่เง็กเซียนฮ่องเต้กำลังโมโหอยู่นั้น เทพแห่งจิตก็ใช้วิชาอ่านจิตกับเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างไม่รู้สถานการณ์ เพราะอยากจะดูว่าตนเองจะสามารถหนีไปจากหายนะครั้งนี้ได้หรือไม่ แต่กลับทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้มีโทสะเพิ่มขึ้นอย่างทันควัน
“ท่านพี่หงอ ท่านพี่หงอ ท่านได้ยินแล้วหรือยัง เด็กชายที่ท่านเคยช่วยชีวิตที่แม่น้ำทงเทียนระหว่างที่เราเดินทางสู่แดนตะวันตก ก็คือเทพแห่งจิต ตอนนี้เขากระทำผิด กำลังถูกสอบสวนอยู่” พุทธพิธีทูต[3] เจอยุทธวิชัยพุทธะ[4] ที่สวนดอกท้อ กล่าวง่ายๆ ก็คือศิษย์พี่รองบังเอิญเจอศิษย์พี่ใหญ่ที่สวนดอกท้อ
“เทพแห่งจิต? เด็กน้อยผู้นั้นทำผิดอะไรหรือ ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าที่สวรรค์กำลังวุ่นวายกันใหญ่” ซุนหงอคงถามพลางกินลูกท้อ “ต้องให้ข้าออกหน้าปกป้องเขาหรือไม่ ฮ่าฮ่า”
“ลอบดูเทพเซียนอาบน้ำ หากอยากปกป้องท่านก็ไปปกป้องเองเถอะ” ตือโป๊ยก่ายพูดพลางหัวเราะ “เจ้าเด็กนี่ดูเหมือนจะธรรมดา ไม่คิดเลยว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่ก็นิสัยต่างกับพี่หงอในครานั้นลิบลับ”
“เจ้าหมู เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ซุนหงอคงนิ่งอึ้ง หรี่ตามองตือโป๊ยก่ายแล้วเอ่ยถาม
“ครานั้นที่ท่านพี่หงอดูแลสวนลูกท้อ เจ็ดนางฟ้ามาเด็ดลูกท้อที่สวน ท่านพี่หงอสะกดให้หยุดนิ่ง เจ็ดนางฟ้าล้วนหยุดนิ่ง แต่ก็ไม่เห็นท่านลงไม้ลงมือทำอะไรพวกนาง” ตือโป๊ยก่ายกล่าวอย่างกลับกลอก
“เจ้าโง่ อยากตายหรือไง!” ซุนหงอคงตะคอกเสียงดัง กินลูกท้อไปครึ่งหนึ่งก็โยนทิ้งไปทางตือโป๊ยก่าย
“ท่านพี่หงออย่าถือโทษโกรธผู้น้องเลย ผู้น้องไม่กล้ากล่าวล้อเล่น” ตือโป๊ยก่ายรีบร้อนกล่าว “ท่านพี่หงอ เรื่องนี้ประหลาดนัก ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่เขาลอบดูคือใคร”
“ประหลาด? เง็กเซียนโกรธขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าคนที่เขาลอบดูคือเจ้าแม่หวังหมู่ ฮ่าฮ่า หากเป็นเช่นนั้นก็จะตลกเกินไปกระมัง ฮ่าฮ่า” ซุนหงอคงคิดไปก็ขำขึ้นมา
“ไม่ใช่เจ้าแม่หวังหมู่ แต่เป็นท่านนั้น” ตือโป๊ยก่ายพูดพลางชี้นิ้วไปทางวังจันทราที่อยู่ด้านนอกสรวงสวรรค์
“อามิตาพุทธ โป๊ยก่าย เราเป็นพระ เรื่องของสวรรค์เราไม่อาจจัดการได้ ไปเถอะไปเถอะ ข้าจะไปหยอกล้อเล่นกับสิบแปดอรหันต์” ซุนหงอคงนิ่งอึ้งก่อนจะเหาะออกจากสวนลูกท้อไป
“ช่างกล้านักนะ บังอาจลอบดูผู้ที่ไม่สมควรมีเรื่องด้วยที่สุดในสวรรค์ ลอบดูเจ้าแม่หวังหมู่ท่านพี่หงออาจออกหน้าให้ได้ แต่ลอบดูท่านผู้นี้ ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ขอกุศลด้วยตน[5] เถอะ สิ่งที่ข้าพอจะทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว” พูดเสร็จตือโป๊ยก่ายก็เด็ดลูกท้อมาผลหนึ่ง แล้วเดินออกไปจากสวนลูกท้อด้วยท่าทางมินำพา
“เทพแห่งดาวศุกร์ เจ้าคิดว่าเทพแห่งจิตกระทำความผิดเช่นนี้ ควรจะจัดการเช่นไร” เง็กเซียนฮ่องเต้วนเวียนอยู่ที่ตำหนักกระดิ่งทองหนึ่งชั่วยาม[6] กว่า ในที่สุดก็วกกลับเข้าสู่ปัญหา มองหน้าถามเทพแห่งดาวศุกร์
ในขณะเดียวกันนั้นเอง สายตาของเทพแห่งจิตก็ตกไปอยู่บนร่างของเทพแห่งดาวศุกร์ นับตั้งแต่ตนเข้ามาที่สรวงสวรรค์ ท่านผู้เฒ่าผู้นี้ก็มอบสิ่งดีๆ แก่เขาไม่น้อย น่าจะพูดแก้ต่างให้ตนบ้างกระมัง
เทพแห่งดาวศุกร์หันศีรษะไปมองเทพแห่งจิตที่นั่งคุกเข่านิ่งไม่กระดิกอยู่บนพื้น เจ้าเด็กนี่ปฏิบัติต่อเขาไม่เลวนัก เหล้าสุราที่ตนหมักไว้อย่างดีก็มักจะนำมาให้เขาชิมเป็นคนแรก และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ตระหนี่ จึงได้มอบยาอายุวัฒนะกลับไปให้ทุกครั้ง
“ท่านเทพแห่งดาวศุกร์ ท่านเมามากแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วข้าขอตัวกลับก่อน แล้วจะหาเวลาว่างมาพบท่านอีก ไม่เช่นนั้นจะออกประตูสวรรค์ทางทิศใต้ไม่ได้” ครึ่งปีก่อนเทพแห่งจิตมามอบสุราแก่เทพแห่งดาวศุกร์ อยู่เป็นเพื่อนเทพแห่งดาวศุกร์ที่ดื่มมากไปหน่อย เทพแห่งดาวศุกร์มีดีทุกอย่าง ทว่านิสัยการดื่มโดยปกติแล้ว ดื่มไปหน่อยเดียวก็มักจะพูดจาเลอะเทอะ ก่อเรื่องวุ่นวายไม่น้อย
“ประเดี๋ยวนำป้ายคำสั่งของข้าออกประตูสวรรค์ทางทิศใต้ ข้าจะคอยดูซิว่าจะมีใครกล้าขวางเจ้า เอ้าดื่ม! เจ้าเด็กน้อย กล่าวตามตรงสุราของเจ้าไม่เลวนัก อร่อยกว่าสุราในงานเลี้ยงดอกท้อสวรรค์เสียอีก เรามาดื่มกันต่อเถอะ” เทพแห่งดาวศุกร์กล่าวพึมพำต่อ
“ท่านเทพ ดื่มต่อไม่ได้จริงๆ ท่านก็รู้ หากบังเอิญเจอแม่ทัพใหญ่แห่งสรวงสวรรค์[7] เข้า ข้าก็กลับไม่ได้แล้ว” เทพแห่งจิตกล่าวเสียงเบา
“เทพเอ้อร์หลาง เจ้าจะกลัวเขาไปใย ผู้อื่นไม่รู้เบื้องลึกของเขา แต่ข้ารู้ เขาเป็นลูกชายของน้องสาวเง็กเซียนฮ่องเต้กับบัณฑิตมนุษย์แซ่หยางผู้หนึ่ง หากครานั้นไม่ได้ข้าร้องขอเอาไว้ เง็กเซียนฮ่องเต้ไม่มีทางให้เขาขึ้นสวรรค์หรอก ตามหลักแล้วเขาควรเรียกข้าว่าท่านปู่ด้วยซ้ำ ใช่ ควรเรียกข้าว่าท่านปู่” เทพแห่งดาวศุกร์กล่าวเสียงดังลั่น
“ท่านเทพ ท่านเทพผู้เป็นสหายสนิทของข้า ได้โปรดเบาเสียงหน่อย ท่านไม่กลัวแต่ข้ากลัว อย่าว่าแต่เทพเอ้อร์หลางเลยแม้แต่สุนัขเทพข้างกายเขาข้าก็สู้ไม่ไหว” เทพแห่งจิตรีบปิดปากเทพแห่งดาวศุกร์ทันที
“น่าเบื่อ น่าเบื่อจริงๆ ไม่ดื่มแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ หากเจอเทพเอ้อร์หลางแล้วเขากล้าขวางเจ้า ก็นำชื่อข้าไปอ้างได้” พูดจบเทพแห่งดาวศุกร์ก็สลบไสลไป
วันนั้นเทพแห่งจิตกลับไปยังจวนของตนอย่างปลอดภัย ทว่าในวันที่สอง หลังจากที่เทพแห่งดาวศุกร์สร่างเมาแล้ว เขาก็ใช้คันฉ่องย้อนเวลาดูสภาพเมาเละของตนในหนึ่งวันก่อน ในใจเกิดความกริ่งเกรง จึงไปหาเทพแห่งจิตด้วยตนเอง และบอกกับเขาว่าห้ามเล่าคำพูดตอนเมาให้ผู้อื่นรู้โดยเด็ดขาด
“เรื่องที่เทพแห่งจิตลอบดูครานี้ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ในกฎแห่งสวรรค์ไม่มีวิธีลงโทษชัดเจน” เทพแห่งดาวศุกร์กล่าวเสียงค่อย “ไม่ทราบว่าครั้งนี้เขาลอบดูผู้ใดหรือ” เทพแห่งดาวศุกร์นึกคิด หากเป็นเทพเซียนธรรมดาก็ปล่อยเลยตามเลย ลดพลังชีวิตเทพแห่งจิตไปสักหมื่นปี หากเป็นบุคคลสำคัญ เช่นนั้นก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วน”
“ผู้ที่เขาลอบดูคือเทพธิดาฉางเอ๋อ!” เง็กเซียนฮ่องเต้ตะคอกเสียงดัง กลุ่มผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวที่อยู่ด้านล่างก็พลันเข้าใจ เทพธิดาฉางเอ๋อคือใครน่ะหรือ แรกไปถึงวังแห่งจันทราครานั้นก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่าเง็กเซียน… อะแฮ่ม เรื่องนี้พูดเพ้อเจ้อไปไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนตัดหัวเอา
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ เทพแห่งจิตทำผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ สมควรตัดหัว สมควรตัดหัว” เทพแห่งดาวศุกร์กล่าวเสียงดัง ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าทำไมเง็กเซียนฮ่องเต้ถึงมีโทสะขนาดนี้ คราก่อนนั้นแม่ทัพเทียนเผิงถูกไล่ให้ไปเกิดในภพเดรัจฉานนั้นเหตุก็เพราะล่วงเกินเทพธิดาฉางเอ๋อเข้า จึงต้องไปจุติเป็นสุกร
“ขุนนางทุกท่าน อาจจะมีความเห็นอื่นที่แตกต่าง ลองมาฟังกันสักหน่อย” เมื่อเง็กเซียนฮ่องเต้ฟังคำพูดของเทพแห่งดาวศุกร์จบก็ดูพึงพอใจ พยักหน้าเบาๆ พลางพูดยิ้มๆ
“ฝ่าบาท นี่เป็นความผิดครั้งแรกของเทพแห่งจิต เขาขึ้นสวรรค์มาได้นานกี่วันเชียว อีกอย่างในกฎแห่งสวรรค์ก็ไม่มีบทลงโทษตัดหัวผู้ลักลอบดูสักหน่อย หากตัดสินเช่นนี้ยากจะเลี่ยงคำครหา หม่อมฉันคิดว่าให้เขาไปจุติในแดนมนุษย์ อย่างแม่ทัพเทียนเผิงในปีนั้นเถิด” ทุกคนไม่ได้เสนอความเห็นคัดค้าน ในช่วงขณะที่เง็กเซียนฮ่องเต้เตรียมจะลงโทษประหารเทพแห่งจิต เจ้าแม่หวังหมู่ที่อยู่ข้างกายก็ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น
“หวังหมู่กล่าวได้ถูกต้อง เช่นนั้นก็เนรเทศให้เขาไปยังแดนมนุษย์เถอะ” พูดจบ เง็กเซียนฮ่องเต้ก็หมุนพระองค์ออกจากตำหนักกระดิ่งทองไป
เทพแห่งจิตมองเจ้าแม่หวังหมู่ที่อยู่ด้านบนไม่ไกลนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เมื่อก่อนตนเองฝึกฝนวิชาอยู่หมื่นปีจึงจะได้มาเกิดเป็นเซียน หากถูกตัดหัวที่ประตูสวรรค์ทางทิศใต้ เกรงว่าแม้แต่ปิงเจี่ย[8] ก็ไม่มีโอกาสจะได้เป็น ถึงจะถูกเนรเทศไปยังแดนมนุษย์ก็เนรเทศไปสิ อย่างน้อยก็รักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้
“พี่สาม ฝ่าบาทให้พวกเราโยนเทพแห่งจิตไปยังแดนมนุษย์ เช่นนั้นในกงล้อวัฏสงสารควรจะไปภพไหนดี” เทพทหารที่จับตัวเทพแห่งพลังจิตไว้พูดด้วยเสียงค่อย
“เหมือนว่าเมื่อครู่เจ้าแม่หวังหมู่บอกว่าให้เหมือนกับแม่ทัพเทียนเผิงครานั้น เช่นนั้นก็คงเป็นภพเดรัจฉานกระมัง” หัวหน้าเทพทหารกล่าวขึ้น
“ทุกท่านช้าก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะกล่าวกับเทพแห่งจิตสักหน่อย” ทั้งสี่คนถูกขวางไว้ ผู้มาเยือนก็คือหนึ่งในกลุ่มดาวทั้งยี่สิบสี่ คั่งจินหลง[9]
“ใต้เท้าคั่งจินหลง เทพแห่งจิตผู้นี้กระทำผิดไม่น้อย ท่านอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย” หัวหน้าเทพทหารกล่าวเสียงค่อย
“วันก่อนดื่มสุราท่านหนึ่งเหยือก วันนี้คืนไมตรีท่านหนึ่งครา” คั่งจินหลงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้ม “เมื่อครู่ได้ยินที่พวกท่านพูด ฝ่าบาทแค่ให้เนรเทศเทพแห่งจิตไปยังแดนมนุษย์ ข้าคิดว่าในกงล้อวัฏสงสาร ภพมนุษย์เหมาะสมกับเขามากกว่า แม้เจ้าแม่หวังหมู่จะกล่าวถึงแม่ทัพเทียนเผิง แต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าให้เทพแห่งจิตไปภพเดรัจฉานหรอกกระมัง ทุกท่านโปรดตระหนักให้ดี เป็นบ่าวรับใช้ในสรวงสวรรค์ไม่ง่ายนัก อย่าโยนชีวิตทิ้งเพราะเรื่องนี้เสียจะดีกว่า”
“คือว่า…” ทั้งสี่ฟังคำพูดขอคั่งจินหลงจบ ในใจก็พลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักกระดิ่งทองเมื่อครู่ทั้งหมด
[1] ตามตำนานเมื่อซุนหงอคงฝึกวิชาสำเร็จแล้ว เกิดความลำพองใจจึงไปอาละวาดอวดวิชาตามที่ต่าง ๆ ไปแม้กระทั่งบนสวรรค์ ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา
[2] อุปมาว่าถึงตายไปก็ไม่แก้ไขปรับปรุง ยังคงดื้อด้านหัวแข็ง
[3] เป็นตำแหน่งที่ตือโป๊ยก่ายได้รับแต่งตั้งภายหลังผลบุญครบถ้วน
[4] เป็นหนึ่งในฉายาของซุนหงอคง
[5] อุปมาว่าจงสร้างบุญกุศลด้วยตนเอง
[6] หน่วยนับเวลาในอดีตของจีน หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมงในเวลาปัจจุบัน
[7] เทพเอ้อหลางหรือที่คนไทยรู้จักกันในนามหยี่หลองจิ้นกุ้น
[8] หมายถึงนักพรตที่ตายจากอาวุธ จากนั้นก็ถือโอกาสนี้สละร่างไต่เต้าเป็นเซียน
[9] เทพมังกรทอง
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^
https://www.kawebook.com/story/6815