[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 90 ถุงขนม
เมื่อฮ่องเต้ทอดเห็นเว่ยกงกงมิได้ขยับกาย พระองค์จึงส่งสายพระเนตรเย็นชาเตือนสติอีกครั้ง เว่ยกงกงไม่กล้าขัด จึงเดินตามทางไปอย่างเชื่อฟัง แม้ในใจจะสับสนเสียจนปกปิดสีหน้ายุ่งยากนั้นไม่มิด
ฉู่เหลียนกำลังกินขนมไหว้พระจันทร์จิ๋วของตนด้วยใจที่เป็นสุข จู่ ๆ ก็ได้ยินซุนกงกงเอ่ยทักใครบางคนเข้า นางหันไปมองด้วยความสงสัย และเห็นเพียงขันทีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง พร้อมถือแส้หางม้าไว้ในมือ
ซุนกงกงยิ้มแนะนำขันทีผู้มาถึงให้ฉู่เหลียน “ท่านหญิงขอรับ ผู้นี้คือหัวหน้าขันทีในวังหลวง นามว่า เว่ยกงกง เป็นผู้ที่รับใช้อยู่ข้างกายองค์ฮ่องเต้ขอรับ”
ฉู่เหลียนยิ้มและพยักหน้า ทักทายเขาอย่างสดใสเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เว่ยสงก่วน-หัวหน้าขันทีเว่ย’
เว่ยสงก่วนคำนับฉู่เหลียนด้วยความเคารพ ดวงตาตวัดมองถุงที่อยู่ในมือนาง เมื่อเห็นมันใกล้หมดแล้วก็ได้แต่ลอบภาวนาในใจ ‘ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ท่านหญิงทานขนมเหล่านั้นช้าลงอีกหน่อยเถิด ฮ่องเต้ทรงรอขนมนั่นอยู่! ’
“ท่านหญิงทราบวิธีใช้ชีวิตอย่างสุขสมโดยแท้ ศาลามี่เซียงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในวังหลวงสำหรับชมดอกไม้แล้วขอรับ เมื่อไม่กี่วันก่อนไทเฮายังตรัสว่าสิ่งที่ดีที่สุดในฤดูใบไม้ร่วงย่อมเป็นการชมดอกเก๊กฮวย พร้อมด้วยชิมขนมตั้นเกา”
ฉู่เหลียนเห็นว่าการพบกันครั้งนี้แปลกนัก เว่ยกงกงผู้นี้น่าจะยุ่งมากแท้ ๆ ดูจากชื่อตำแหน่งก็พอจะรู้ แต่ทำไมถึงได้มีเวลามาคุยเรื่อยเปื่อยกับนางอีกล่ะ?
เมื่อเห็นเว่ยกงกงทำท่าอยากคุยต่อ ฉู่เหลียนก็ได้แต่ตามน้ำไป “เว่ยสงก่วนประเมินข้าสูงไปแล้ว ข้าเพียงแต่บังเอิญผ่านมา จึงได้หยุดทานขนมเล็กน้อยเพราะเกิดหิวขึ้นมาก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” ฉู่เหลียนมองถุงขนมในมือแล้วเอ่ยต่อ “และสิ่งนี้ก็มิใช่ขนมตั้นเกา แต่เป็นเพียงขนมที่ข้าทำขึ้นเองเท่านั้น”
“โอ? บ่าวได้ยินมานานว่าจิตใจท่านหญิงดีงามบริสุทธิ์ดุจกล้วยไม้ แต่บ่าวกลับมิทราบว่าท่านหญิงทำขนมเหล่านี้ขึ้นเอง สงสัยยิ่งนักว่าบ่าวจะมีโอกาสได้ลองทานขนมฝีมือของท่านหญิงบ้างหรือไม่ขอรับ?”
ถ้อยคำเหล่านั้นหลุดจากปากเว่ยกงกง แม้แต่ตัวเขาเองก็ห้ามไม่ทันแล้ว ความอับอายร้อนผ่าวบนสองข้างแก้ม ไม่ว่าจะกระอักกระอ่วนเพียงไร ทว่าเขาก็ขัดรับสั่งฮ่องเต้มิได้!
ฉู่เหลียนนิ่งงันไป อะไรนะ? ขันทีระดับสูงที่นางไม่เคยเจอ หัวหน้าขันทีวังหลวง…กำลังขอ…ขนมของนางจริงหรือ?
โดนฉู่เหลียนจ้องมองด้วยสายตางุนงง เว่ยกงกงก็รับถุงขนมมาอย่างขัดเขิน โค้งคำนับนางจนต่ำ แล้วจากนั้น…เขาก็วิ่งหนีไปด้วยความไวแสง…เหลือเพียงฉู่เหลียนที่ถูกปล่อยยืนทิ้งไว้ในศาลา ในมือยังยืดค้างอยู่ นางเอ่ยเสียงเบา “เว่ยกงกง…กระเป๋าข้า…”
โชคร้ายหน่อย ตอนนี้เว่ยกงกงหนีไปไกลเสียแล้ว
สีหน้าฉู่เหลียนมืดมน นางหันไปถามซุนกงกงที่ยืนตัวแข็งทื่อ “ซุนกงกง อาหารในวังหลวงเลวร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ” ถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุนั้น แล้วทำไมหัวหน้าขันทีถึงต้องขโมยถุงขนมนางแล้ววิ่งหนีจากไปเช่นนี้ด้วยเล่า?!
มุมปากซุนกงกงกระตุก สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้ท่านหญิงจินอี่เชื่อในความคิดตนเองต่อไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำงานใต้บัญชาเว่ยกงกง จะกล้าสงสัยการกระทำของเว่ยกงกงได้อย่างไร? อันที่จริงในใจลึก ๆ เขาก็ยังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย เว่ยกงกงเป็นหนึ่งในขันทีที่ฮ่องเต้ทรงวางพระทัยมากที่สุด เขาย่อมได้ทานรังนกที่ดีที่สุด หอยเป๋าฮื้อที่ดีที่สุดหากต้องการ แล้วจะมายื้อแย่งขนมของเด็กสาวคนหนึ่งได้อย่างไร? แล้วยังขโมยไปซึ่งหน้าเช่นนั้นอีก? หรือดวงอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกกันแล้ววันนี้?
ทว่าเว่ยกงกงจากไปนานแล้ว สิ่งนั้นยังเป็นเพียงถุงที่มีขนมอยู่สองสามชิ้นเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ฉู่เหลียนจึงปล่อยวางและไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก
นางคิดจะพักต่ออีกหน่อยก่อนไปยังตำหนักของไทเฮาเพื่อหาเฮ่อเหล่าไท่จวิน ทว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยกลับปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหัน ดิ่งตรงมาจากที่ไม่ไกลนัก
เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยมาถึงข้างกายฉู่เหลียน นางก็รีบดึงอีกฝ่ายขึ้นโดยไม่รอให้ได้ยอบกายคารวะ “ได้ยินจากไทเฮาว่าเจ้าอยู่ในสวนหลวงนี่ยามข้าเพิ่งจะกลับเข้าวัง ข้าจึงได้มาตามหาเจ้า ไม่คิดเลยว่าจะพบเจ้าที่ศาลามี่เซียงเสียได้!”
ฉู่เหลียนไม่เห็นองค์หญิงต้วนเจี่ยมาหลายวันแล้ว บังเอิญเจอนางที่นี่นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์จริง ๆ
นางกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับเห็นองค์หญิงต้วนเจี่ยมองนางขึ้น ๆ ลง ๆ ก่อนที่สุดท้ายสายตาขององค์หญิงจะไปหยุดอยู่ที่ขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกทานไปแล้วครึ่งหนึ่งในมือข้างซ้าย องค์หญิงกะพริบตาแล้วถาม “ฉู่เหลียน เจ้ากำลังทานอะไรอยู่หรือ? ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ฉู่เหลียนก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางยังถือขนมไหว้พระจันทร์ที่เหลือไว้ในมือ ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เป็นขนมที่หม่อมฉันเพิ่งจะทำมาเมื่อไม่นานมานี้ เรียกว่าขนมไหว้พระจันทร์เพคะ”
“ขนมไหว้พระจันทร์หรือ? ฟังดูน่าอร่อยยิ่ง ฉู่เหลียน เจ้านำขนมเข้ามาในวังได้อย่างไร? แล้วเหตุใดจึงไม่นำมาให้ข้าบ้าง?! ” องค์หญิงต้วนเจี่ยทำแก้มป่องถามสหายตน
ฉู่เหลียนตอบอย่างเฉลียวฉลาดด้วยคำว่า ‘อ่า…’ ก็นางไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าจะรับมือกับความสงสัยขององค์หญิงต้วนเจี่ยอย่างไรดี
ทันใดนั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็แบมือตรงหน้านาง
ฉู่เหลียนมองหน้าองค์หญิงอย่างงุนงง ก่อนจะมองมือที่แบอยู่ตรงหน้า “เอ่อ อะไรหรือเพคะ? ”
“อะไรกันเล่า? ส่งอาหารทั้งหมดที่มีมาเสีย! ”
ฉู่เหลียน: ……
“องค์หญิง พระองค์เสด็จมาช้าไปเสียหน่อย หม่อมฉันเพิ่งจะทานหมดไปเมื่อสักครู่ เหลือเพียงแค่ครึ่งชิ้นเท่านั้น…”
ฉู่เหลียนกุมหน้าผาก ทำไมคนรอบตัวนางถึงมีแต่พวกตะกละแบบนี้เนี่ย?! ก็แค่ขนมธรรมดาเท่านั้น ทำไมถึงได้มีคนดาหน้าเข้ามาแย่งมันไปจากนางนักเล่า? พวกนี้ต้องทำแบบนี้จริง ๆ หรือเนี่ย?
องค์หญิงต้วนเจี่ยนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงฮึ่ม ๆ “ก็ได้ ในเมื่อเจ้าเหลือแค่ครึ่งเดียวก็ช่างเถิด ข้าเพียงอยากลองชิมเล็กน้อยก่อนเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องทำมาให้ข้ามากกว่านี้อยู่ดี ใช่หรือไม่? ”
ฉู่เหลียนจ้องนาง มันเหลือครึ่งเดียวก็เพราะนางทานไปแล้ว น้ำลายนางย่อมเปื้อนไปแล้ว…
สุดท้ายฉู่เหลียนก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ส่งไปให้ “หากองค์หญิงต้วนเจี่ยประสงค์มากกว่านี้ ยังมีอีกหนึ่งกล่องที่สาวใช้หม่อมฉันนำติดมาด้วย”
องค์หญิงต้วนเจี่ยโยนชิ้นขนมไหว้พระจันทร์เข้าปากโดยไม่คิดมาก นางเคี้ยวเล็กน้อยก่อนดวงตาจะเบิกกว้าง “ฉู่เหลียน เจ้า ‘ขนมไหว้พระจันทร์’ นี่อร่อยกว่าขนมตั้นเกานั่นตั้งเยอะ! ”
ซุนกงกงตากระตุกเมื่อเห็นองค์หญิงต้วนเจี่ยผู้มักจะมีทีท่าสงบนิ่งเยือกเย็น และไว้ตัวอยู่เสมอกลับทำตัวราวกับเด็กเอาแต่ใจ
เด็กสาวทั้งสองนั่งที่ศาลามี่เซียงต่ออีกสักครู่ ทว่าเนื่องจากฉู่เหลียนเกรงว่าจะมีคนแปลก ๆ โผล่มาจากพุ่มไม้อีก นางจึงได้ลากองค์หญิงต้วนเจี่ยไปยังตำหนักหนิงเหอของไทเฮา
ที่มุมหลบสายตาจากศาลามี่เซียง เว่ยกงกงยืนอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ พร้อมส่งของที่ได้จากฉู่เหลียนให้ฮ่องเต้ด้วยสองมือ จากนั้นพระองค์ก็รับมันไว้
ถุงใบนั้นมีสีอ่อน ภายในยังมีกระดาษซับมันเย็บติดไว้ ภายนอกถูกปักไว้อย่างเรียบง่าย และมิได้มีสิ่งใดที่พิเศษไปกว่านั้น ดูๆ ไปก็เป็นเพียงถุงขนมที่เหล่าขุนนางมักเตรียมไว้ให้ลูกหลานเท่านั้น
ฮ่องเต้เปิดถุงใบเล็กออกและทอดพระเนตรภายใน เห็นเพียงขนมชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ สิ่งนี้มีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของไข่ไก่ ทรงกลม ทั้งยังสลักคำว่า ‘โชคลาภ’ ไว้ที่ด้านบน ช่างงดงามประณีตยิ่งนัก
ฮ่องเต้ลองชิมเพียงคำเล็ก ๆ ดวงตาลึกล้ำหรี่ลง ไส้ข้างในมีรสเค็มจริง ๆ ด้วย!เมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็พบว่าไส้นั้นทำจากไข่แดงเค็ม
ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมีพรสวรรค์ด้านศิลปะการทำอาหารอยู่ไม่น้อย
เว่ยกงกงยืนอยู่ด้านหลังเฉิงผิงฮ่องเต้ เหงื่อแตกเล็กน้อย หากท่านหญิงจินอี่มิได้แต่งงานกับบุตรชายคนที่สามแห่งจวนจิ่งอันแล้ว เขาย่อมต้องคิดว่ายามนี้พระทัยฮ่องเต้คงสั่นไหวเพราะท่านหญิงน้อยไปเสียแล้ว
“ขนมนี้ดีจริง ๆ จินอี่ทำสิ่งนี้ได้ ย่อมไม่แปลกที่นางจะทำซิ่วท้อได้ดีกว่าคุณชายหวังแล้ว”
“เป็นเช่นที่พระองค์ตรัสพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ท่านหญิงจินอี่ดูจะแตกต่างจากสตรีชั้นสูงอยู่บ้างจริง ๆ! ”
เฉิงผิงฮ่องเต้ทานขนมไหว้พระจันทร์หมดในสองหรือสามคำ และดูเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรออก เขาจึงหัวเราะลั่น “นางแตกต่างจากคนส่วนมากจริง ๆ ทั้งยังกล้าหาญกว่าสตรีชั้นสูงทั่วไปมากนัก! ”
มุมปากเว่ยกงกงกระตุก หรือจะมิใช่เช่นนั้นเล่า? หากเป็นสตรีผู้อื่นพบหนอนสีดำตัวใหญ่น่าขยะแขยงอยู่ในผลท้อสด ย่อมต้องกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเป็นแน่ ทว่าท่านหญิงจินอี่กลับหาญกล้าหยิบหนอนน่าขยะแขยงนั่นมาข่มขู่ผู้ที่พยายามกลั่นแกล้งนางแทนได้ ทว่าเมื่อย้อนกลับไปคิดว่าเว่ยกุ้ยเฟยและนางกำนัลที่พยายามจะวางกับดักให้ท่านหญิงจินอี่เสียกิริยาต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เว่ยกงกงก็คิดว่าการกระทำของท่านหญิงจินอี่นั้นส่งผลให้ออกมาได้อย่างน่าพึงพอใจทีเดียว
ขณะเดียวกัน ในที่สุดฉู่เหลียนก็มาถึงตำหนักหนิงเหอของไทเฮาพร้อมกับองค์หญิงต้วนเจี่ยจนได้
เวลานี้ที่แห่งนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน โดยมากเป็นพระญาติฝ่ายหญิงที่มาถึงแล้ว ฉู่เหลียนมาสายไปบ้างเพราะใช้เวลาอยู่ในสวนหลวงไปครู่ใหญ่ จึงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าไทเฮาเป็นการส่วนตัว และกลับเป็นพระชายาเว่ยอ๋องที่ดึงตัวนางไปข้างหนึ่ง คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำเรื่องมารยาทที่จำเป็นต้องมีสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้
วันนี้ฉู่เหลียนเข้าวังมาในชุดท่านหญิง สาวใช้จึงมิได้เกล้าผมทรงเดียวกับที่เหล่าสตรีออกเรือนมักจะทำกัน เมื่อพระชายาเว่ยอ๋องเห็นต้วนเจี่ยผู้เป็นบุตรสาวยืนอยู่เคียงข้างกับฉู่เหลียน รูปร่างของคนทั้งสองก็ดูคล้ายกันราวกับเป็นพี่น้องแท้ ๆ
พระชายาเว่ยอ๋องยิ้ม ตบหลังมือฉู่เหลียนเบา ๆ “เฮ่อเหล่าไท่จวินกับฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งกงเจว๋ไปเข้าเฝ้าไทเฮา ตอนนี้เจ้าก็ติดตามข้าและต้วนเจี่ยก่อนก็แล้วกัน เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว เหล่าฮูหยินตราตั้งจึงจะได้เข้ามาในวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง”
พระชายาเว่ยอ๋องดีกับฉู่เหลียนมาก แน่นอนว่าฉู่เหลียนก็รู้สึกได้เช่นกัน นางยิ้มอย่างจริงใจและตกลงทันที
เมื่อทานอาหารกลางวันกับเหล่าพระญาติฝ่ายหญิงเสร็จแล้ว ฉู่เหลียนและต้วนเจี่ยก็นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง จิบน้ำผสมน้ำผึ้งเพื่อช่วยย่อยพร้อมกับเฝ้ามองเหล่าบ่าวไพร่ในวังที่คอยนำทางให้เหล่าฮูหยินตราตั้งไปเข้าเฝ้าคารวะไทเฮา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหลียนได้เห็นงานใหญ่โตแบบนี้ นางจึงอดสำรวจทุกสิ่งไม่ได้
“องค์หญิง เหตุใดฮูหยินทุกคนจึงต้องถือกล่องอาหารมาด้วย? ” ฉู่เหลียนถามด้วยความสงสัย
องค์หญิงต้วนเจี่ยวางถ้วยชาในมือ มองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด แต่หญิงสาวตรงหน้าดูแปลกใจจริง ๆ ยามที่เอ่ยถาม “เจ้าไม่รู้จริงหรือ? ”
ฉู่เหลียนส่ายหน้า งุนงง นางไม่รู้อะไรสักอย่าง ในนิยายต้นฉบับ หรืออย่างน้อยในส่วนที่นางอ่านไปแล้ว ฉู่เหลียนไม่เคยมีโอกาสได้เข้าร่วมงานใหญ่โตแบบนี้ในวัง
องค์หญิงต้วนเจี่ยกลอกตาใส่ฉู่เหลียน “หัวเจ้าทั้งหมดคงใช้ไปกับการคิดประดิษฐ์อาหารใหม่ ๆ กระมัง! เหตุใดจึงไม่ทราบเรื่องธรรมดาเช่นนี้ได้?! ฮูหยินเหล่านั้นล้วนนำกล่องใส่ขนมตั้นเกามา”
เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยอธิบาย ฉู่เหลียนจึงได้ทราบว่านี่เป็นธรรมเนียมการแข่งขันขนมตั้นเกาที่จัดขึ้นในวังหลวงสำหรับช่วงงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งถูกจัดขึ้นตั้งแต่สมัยปู่ทวดของฮ่องเต้
ฮูหยินทุกคนที่เข้ามาคารวะไทเฮาหรือฮองเฮาจะต้องนำขนมตั้นเกาที่จัดทำขึ้นในจวนมาเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในนามของจวน นางกำนัลจะนำขนมตั้นเกาเหล่านั้นขึ้นโต๊ะถวายทีละชุด เมื่องานเลี้ยงจบลง ทุกคนจะเลือกขนมตั้นเกาที่อร่อยที่สุด และแน่นอนว่าย่อมมีรางวัลแก่จวนที่ชนะ
นี่ยังเป็นช่วงที่ไทเฮาทรงโปรดปรานที่สุดในงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย
ฉู่เหลียนเห็นว่าดูน่าขบขันอยู่บ้าง นางไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์น่าสนใจแบบนี้ในงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงในพระราชวัง
“แล้วจวนไหนที่ชนะไปเมื่อปีก่อนล่ะเพคะ? ” ฉู่เหลียนถาม
องค์หญิงต้วนเจี่ยจิบชา ก่อนจะมองนางด้วยหางตา “จวนสกุลผาน”
จวนสกุลผาน? จวนของผานเก๋อเหล่าหรือ?
ฉู่เหลียนมีสีหน้าสงสัยปรากฏขึ้น
องค์หญิงต้วนเจี่ยมองสีหน้านาง ก่อนจะยักไหล่แล้วเอ่ย “ฉู่เหลียน ข้าจะบอกเจ้าให้ มิใช่แค่เพียงปีก่อนเท่านั้นนะ แต่เมื่อสองปีก่อน หรือเมื่อปีก่อนหน้านั้น จวนสกุลผานก็ชนะการแข่งในงานเลี้ยงกลางฤดูใบไม้ร่วงมาโดยตลอด! ”
ดวงตาฉู่เหลียนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย หยดแห่งความคิดเหมือนจะรวมเข้าในใจ
องค์หญิงต้วนเจี่ยยังอธิบายต่อ “ปีก่อนผานฮูหยินนำขนมตั้นเการสเจิ้นสื่อมาถาดหนึ่ง” จากนั้นองค์หญิงก็ชี้ไปยังทางที่ไกลออกไป “นั่นไง เห็นคนที่ใส่ชุดคลุมสีม่วงผู้นั้นหรือไม่? นั่นแหละผานฮูหยิน”
มองตามที่องค์หญิงต้วนเจี่ยชี้ไป ฉู่เหลียนก็เห็นสตรีวัยกลางคนใบหน้ากลมผู้มีคิ้วเรียว นางมีใบหน้าขาวผ่อง ริมฝีปากหนาเล็กน้อย ยามที่ยิ้มก็เผยให้เห็นฟันสีขาวไข่มุก ขณะที่นางเอ่ยปากกับใคร นางก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปากนั้น ชวนให้ทุกคนรู้สึกดีด้วย
ฉู่เหลียนอดไม่ได้ให้คิดถึงวันที่ไปภัตตาคารกุ้ยหลินและพบเห็นบิดาที่เบื้องหน้าจวนสกุลผาน
เมื่อฉู่เหลียนกำลังจะดิ่งลงไปในความคิดตน ก็ได้ยินเสียงใสเสียดสีเอ่ยเรียกหญิงสาวข้างกายตนขึ้นมาเสียก่อน