[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 84 ทานเนื้อในกองทัพ (2)
สายตาของเซียวหงอวี่และนายกองกัวหันมามองเฮ่อฉางตี้พร้อมเพรียงกัน เฮ่อฉางตี้เงยหน้าขึ้นลำตัวแข็งเกร็ง แม้ปากจะไม่ได้เอ่ยวาจาใดแต่ในใจกำลังส่งเสียงกรีดร้องว่าตนเองไม่รู้เรื่อง
จางไหม่กระแอมไอใส่กำปั้นเก้อเขินก่อนจะเอ่ยขึ้น “นายกอง ข้ารีบพูดไปหน่อย เนื้อนั่นที่ข้ากล่าวถึงคือสิ่งที่ภริยาจื่อเสียงส่งมาให้ทางคนส่งสาร”
ชีวิตที่ชายแดนนั้นยากลำบาก กระทั่งนายกองยังมิได้ทานเนื้อมากกว่าเดือนละครั้ง หากมีใครต้องการ ย่อมต้องออกล่าเอาเองจากในทุ่งหญ้า ซึ่งมักจะทำได้เพียงในวันหยุดที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าเมื่อฤดูหนาวมาถึง เหล่าสรรพสัตว์ต่างจำศีล ยิ่งทำให้ยากเสียกว่าเดิม การขาดแคลนเนื้อสัตว์จึงเป็นปัญหาธรรมดาของกองทัพชายแดนเหนือ อีกทั้งกองทัพก็มิได้ติดต่อกับพวกตู้หุนหรือพวกคนเถื่อนเร่ร่อนอย่างสม่ำเสมอ หรือเลี้ยงสัตว์ใดในค่ายเพื่อบริโภคเช่นกัน
จางไหม่นอนกระโจมเดียวกับเฮ่อฉางตี้ เขามักคอยดูแลรุ่นน้องเป็นอย่างดี พี่ใหญ่จางอายุมากกว่าเฮ่อฉางตี้เป็นทศวรรษ อยู่ในกองทัพมาอย่างยาวนาน เข้าร่วมรบกับนายกองกัวนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยที่นายกองไว้ใจที่สุด ย่อมมีประสบการณ์มากมายมาร่วมแบ่งปัน ทว่าประสบการณ์หลายปีในกองทัพนั้นต่างละทิ้งบาดแผลไว้ทั่วร่าง สุขภาพจึงอาจไม่ได้ดีเท่าผู้อื่น
นอกจากนั้น เหลียงโจวเพิ่งเข้าฤดูหนาว พอเหงื่อออกจากการฝึกหนัก ซ้ำร้ายยังมาเจอลมจากฤดูหนาว จึงส่งผลให้แผลเก่าของเขาปวดร้าว จางไหม่จึงมีไข้สูงจนต้องนอนติดเตียงไประยะหนึ่ง
หมอชราในค่ายไปดูอาการเขา ทำเพียงจับชีพจรเล็กน้อยก็เขียนใบสั่งยา ส่วนอาหารและน้ำเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยต้องจัดหาเอง
เมื่อนายกองกัวรับทราบก็ได้สั่งพ่อครัวกองทัพให้ทำโจ๊กข้าวขาวไปส่งจางไหม่ ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว
ส่วนเฮ่อฉางตี้ที่นอนกระโจมเดียวกัน เขาจึงรับหน้าที่คอยดูแล เมื่อเห็นจางไหม่ยิ่งดูขาวซีดซูบผอมลงเนื่องจากอาการเจ็บป่วย จึงได้นำเนื้อตากแห้งที่ฉู่เหลียนส่งให้ออกมาบางส่วนใส่ลงในโจ๊ก
จางไหม่ที่เดิมทีเป็นผู้ป่วยติดเตียง ยามเห็นเนื้ออยู่บนโจ๊กที่ปกติเป็นโจ๊กเปล่า ดวงตาก็เบิกกว้างทันที เขาไม่มากพิธีกับเฮ่อซานหลาง รีบดื่มโจ๊กหมดในไม่กี่อึก เมื่อเสร็จแล้วก็รีบเช็ดปาก ชี้นิ้วไปที่ถ้วยโจ๊กถามด้วยความแปลกใจ “นั่นมันมาจากไหนกัน? ”
เฮ่อซานหลางที่ปกติมักเงียบขรึมจึงตอบ “ภรรยาข้าส่งมาให้”
จางไหม่หัวเราะลั่นเสียจนไอค่อกแค่ก “ในเมื่อภรรยาเจ้าส่งมาให้ งั้นเจ้าคงได้ทานไปมากแล้วกระมัง เหตุใดไม่แบ่งที่เหลือให้พี่ใหญ่เล่า? ย่อมดีต่อการฟื้นฟูร่างกายข้าแล้ว”
แม้เฮ่อซานหลางยังมีท่าทีดูใจเย็น จางไหม่กลับมิคาดว่าอีกฝ่ายจะเป็นเหมือนถั่วทุบยากเสียแล้ว เฮ่อซานหลางไม่ยอมตอบคำถาม ทำเพียงมอบเนื้อฉีกให้อีกไม่กี่ครั้ง กระทั่งจางไหม่หายดีเป็นปกติ เขาค้นหาทั่วทุกซอกทุกหลืบของกระโจมว่าเฮ่อฉางตี้ผู้นั้นเอาไหเนื้อฉีกนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน ทว่าก็ไร้ประโยชน์ จางไหม่ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วยิ้มให้กับความพ่ายแพ้นั้น
เมื่อได้ยินเจ้าเด็กเซียวหงอวี่คุยเรื่องทานเนื้อ เขาจึงเอ่ยถึงเนื้อที่เฮ่อฉางตี้เก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด
แม้นายกองกัวจะดูแลกองทหารด้วยความรัก การฝึกฝนเข้มงวด เบื้องหน้าอาจดูเหมือนเปิดใจเข้าหาได้ง่าย ทว่าแท้จริงกลับมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น จางไหม่ทำงานใต้บังคับบัญชาเขามาหลายปีจึงเข้าใจเขามากกว่าทั้งเซียวหงอวี่และเฮ่อฉางตี้
ยามนี้แม้นายกองกัวจะเรียกเด็กทั้งสองว่า ‘น้องชาย’ แต่ในใจกลับมิได้คิดสำคัญอะไร หากต้องการทะลุผ่านกำแพงเหล็กในใจของนายกองกัวย่อมต้องอาศัยลูกเล่นเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเนื้อนี้เป็นต้น
จางไหม่เห็นความสามารถของเฮ่อฉางตี้ เขามีภูมิหลังที่ดี ทั้งยังมีพรสวรรค์และแรงบันดาลใจที่กล้าแข็ง เขาดูเป็นเด็กที่มีจิตใจดี แต่โชคร้ายที่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าร่วมกองทัพ และยังสื่อสารกับคนไม่เก่ง จางไหม่ไม่ทราบเหตุผลในเรื่องเหล่านั้น แต่คิดว่าคงเพราะวิถีที่เด็กหนุ่มผู้นั้นเติบโตมากระมัง รวมไปถึงเรื่องสีหน้าที่เรียบนิ่งดูว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อประสมรวมกับรูปลักษณ์ของเฮ่อฉางตี้ยามนี้ยิ่งทำให้ความประทับใจแรกที่มีค่อนข้างเลวร้ายทีเดียว
ครั้งแรกที่พบและเริ่มสนทนากับเฮ่อฉางตี้ จางไหม่มิได้ชอบเขามากนัก เขาต้องลำบากรับใช้กองทัพมารวมสิบกว่าปีกว่าจะมาถึงตำแหน่งผู้ช่วยนายกองได้ ในขณะที่เฮ่อฉางตี้กลับได้ตำแหน่งมาง่าย ๆ เพียงจดหมายแนะนำจากจิ่นอ๋องฉบับเดียว
ทว่าหลังมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เขาก็ค่อย ๆ ยอมรับในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้ทีละน้อย ยามที่เขาล้มป่วยก็มีเฮ่อฉางตี้คอยดูแล แม้จะมีสีหน้าเย็นชาและท่าทีเงอะงะไปบ้างก็ตาม นั่นจึงทำให้จางไหม่ตระหนักได้ว่าเฮ่อฉางตี้คงไม่เคยดูแลใครมาก่อน ยามนั้นเองที่เขาเปิดใจยอมรับรุ่นน้องผู้นี้ ยามนี้จึงออกปากเรื่องเนื้อเพื่อช่วยเหลือเฮ่อฉางตี้
ดวงตาเซียวหงอวี่เปล่งประกาย เขารีบเดินไปหาเฮ่อฉางตี้ จ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง “พี่เฮ่อ ท่านมีเนื้อจริง ๆ หรือ? ”
แม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปรารถนา และมิได้เอ่ยปากขออย่างตรงไปตรงมา แต่ความต้องการของเซียวหงอวี่กลับสามารถสังเกตเห็นได้ชัด แม้กระทั่งน้ำลายของเขาก็แทบจะรั้งไว้ไม่ให้หยดออกจากปากไม่ได้อยู่แล้ว
นายกองกัวมิได้กดดันเฮ่อฉางตี้แม้แต่น้อย เขากลับทานแป้งทอดแข็ง ๆ ในถ้วยต่อ ทั้งยังเงยหน้าขึ้นยิ้มมองเฮ่อซานหลางครั้งหนึ่ง
จางไหม่เริ่มเสียใจเสียแล้วที่คิดจะช่วยเจ้าคนสมองทึบนี่ที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าควรจะกระทำอย่างไร เขาเตะเก้าอี้เฮ่อฉางตี้ทีหนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าเด็กโง่ จะยังเหม่อหาอะไรอยู่อีก? แค่ของที่ภรรยาส่งมาให้ อดกลั้นไม่แบ่งให้ข้าอีกก็ย่อมไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ยังถึงกับไม่ยอมแบ่งให้นายกองอีกหรือ? ”
เฮ่อฉางตี้เม้มปากเข้าหากันแล้วลุกขึ้น ก้มหัวด้วยความเคารพให้แก่นายกองกัวและกล่าว “ท่านนายกองโปรดรอสักครู่ขอรับ”
เฮ่อฉางตี้กลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมถือไหใบเล็กมาใบหนึ่ง เขาวางมันลงบนโต๊ะแล้วเปิดฝาออก กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อหมักลอยขึ้นอบอวลในห้อง
“นายกอง ของทั้งหมดอยู่นี่แล้ว ลองชิมดูขอรับ”
เฮ่อฉางตี้สั่งคนนำถ้วยมาเพิ่ม เขาเทเนื้อฉีกที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งลงในนั้น
นายกองกัวใช้ตะเกียบของตนคีบเนื้อขึ้นทดลองชิมดู เมื่อสัมผัสรสชาติ ดวงตาก็ทอประกาย เอ่ยชม “หืม ดียิ่ง ฝีมือทำครัวของน้องสะใภ้ดียิ่งนัก” กล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็ใช้ตะเกียบตนชี้ไปยังเฮ่อฉางตี้ “เจ้าเด็กบ้า เจ้าโชคดีนี่ที่ได้แต่งกับภรรยาที่ดีนัก! เจ้าบ้าพอจะอาสาตนมายังชายแดนเหนือ แต่ภริยากลับไม่กล่าวโทษเจ้า ทั้งนางยังส่งของดี ๆ มาให้ทานอีก ข้าได้ยินว่าเจ้าออกเดินทางมาที่นี่เพียงไม่กี่วันหลังแต่งงานอีกด้วย! ”
เซียวหงอวี่ไม่เคยได้ยินข่าวนี้ เขาฟังเรื่องซุบซิบไปพลาง เคี้ยวเนื้อฉีกไปพลางอย่างเมามัน แต่ยังไม่ทันกลืนลงคอก็เอ่ยถามเสียงดัง “พี่เฮ่อ ทำไมหรือ พี่สะใภ้ไม่งดงามพอสำหรับท่านหรือ? ”
นายกองกัวส่งเสียงฮึ่ม “ไม่สวยหรือ? ไม่สวยแล้วอย่างไร? ตราบใดที่นางดูแลบ้านให้เจ้า คลอดบุตรให้เจ้า นางก็ถือว่าเป็นภรรยาที่ดีแล้ว! ข้าได้ยินว่าเขาได้แต่งงานกับบุตรสาวตามกฎหมายจากจวนอิ้ง! ”
เซียวหงอวี่เห็นสายตาตักเตือนจากจางไหม่ เขาก็รู้ตัวในทันทีว่าควรเงียบปากเสีย
ภรรยานายกองเป็นสตรีน่าเกลียด ทว่านายกองกลับเคารพนางมาก และนางยังช่วยให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวให้เขาอีกหลายคน เซียวหงอวี่มาจากครอบครัวสามัญชนธรรมดา ทว่าก็ยังรู้ข่าวคราวพวกนี้มากพอจากแม่และพี่สาว และแน่นอนว่าเขานั้นยังทราบอีกด้วยว่า แม้จวนอิ้งจะค่อนข้างตกต่ำ แต่สตรีสกุลนี้ขึ้นชื่อเรื่องการตั้งครรภ์บุตรชาย นอกจากนั้นเหล่าบุตรีขุนนางในจวนนี้ล้วนมีใบหน้างดงามเป็นอันดับต้น ๆ การตบแต่งภรรยาจากจวนอิ้งย่อมไม่ใช่เหตุที่พี่เฮ่อจะละทิ้งบ้านมารวดเร็วเช่นนี้แน่
เซียวหงอวี่รู้ตัวว่าตนเกินขอบเขตด้วยถ้อยคำสิ้นคิดไปแล้ว จึงรีบหยุดปากก้มหัวลงในถ้วยเนื้อของตน
อีกทางหนึ่ง จางไหม่ก็พยายามปรับแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น “ท่านนายกองพูดถูก อีกหน่อยยามเราได้กลับเมืองหลวงย่อมต้องไปเยี่ยมเยือนพี่สะใภ้บ้างเสียแล้ว”
เช่นนี้เองนายกองกัวจึงได้พอใจ เขายังชี้หน้าเฮ่อฉางตี้สั่งสอนต่อ “ในเมื่อเจ้าออกมาแล้วเช่นนี้ จึงไม่อาจขัดกฎทหาร ย่อมต้องไม่สามารถกลับบ้านได้พักหนึ่ง เจ้าละทิ้งภรรยาไว้ที่บ้าน เจ้ามันโง่เง่าไร้หัวใจ! นางต้องอยู่อย่างหญิงหม้าย ทว่านางยังไม่ลืมปฏิบัติหน้าที่ภรรยาที่ดีส่งของกลับมาให้เจ้าทั้งที่เจ้าทำเช่นนั้นต่อนาง หากมีเวลา เจ้าต้องส่งจดหมายกลับบ้านหานางให้มากกว่านี้ เมื่อมีเงินทองก็อย่าได้ลืมซื้อของท้องถิ่นส่งกลับไปให้ทั้งภรรยาและครอบครัวเจ้า”
เทียบกับตอนที่เขาเรียกพี่น้องยามฝึกฝน ยามนี้กลับมีความจริงใจอยู่ในน้ำเสียง วิธีชี้ข้อบกพร่องของเฮ่อฉางตี้ดูคล้ายพี่ใหญ่ที่สอนน้อง ๆ
จางไหม่ยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อฉางตี้ก็เลิกยืนทื่อเป็นท่อนไม้ รีบก้มหัวคำนับให้นายกองกัวเพื่อขอบคุณในคำชี้แนะ เขายังรู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดนายกองกัวมากขึ้นเพราะเนื้อฉีกไหเล็ก ๆ นั้น
เฮ่อฉางตี้มองไหที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกผสมปนเป
ท่ามกลางบรรยากาศพี่น้อง เซียวหงอวี่ที่ทำตัวกลมกลืนราวกับเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของฉากจนถึงตอนนี้ เขาชี้ไปที่ถ้วยเนื้อ พึมพำ “พี่ ๆ หากพวกท่านไม่ทาน ข้าจะทานทั้งหมดแล้วนะ! ”
ทันทีที่เอ่ยจบ ตะเกียบทุกคนก็พุ่งไปยังถ้วย ยามนี้เมื่อทุกคนร่วมแย่งชิง ถ้วยนั่นก็ว่างเปล่าลงด้วยความรวดเร็ว เหลือเพียงเนื้อชิ้นบาง ๆ เท่านั้น นายกองกัวมองเฮ่อฉางตี้แล้วกล่าว “เจ้ายังจะทานเพื่ออะไรอีก? ภรรยาเจ้าเป็นผู้ทำย่อมต้องได้ทานมาก่อนแล้วมากมาย ยังจะมีหน้ามาแข่งขันแย่งชิงกับพวกเราอีกหรือ?
คราวนี้เฮ่อฉางตี้กลายเป็นคนหน้าหนา เขาคีบเนื้อขึ้นมาอีกชิ้น สีหน้ายังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวเสียงต่ำ “ข้าจากบ้านเพียงไม่กี่วันหลังแต่งงาน ย่อมเป็นครั้งแรกที่ได้ทานอาหารฝีมือภรรยา เหตุใดจึงจะทานมากหน่อยมิได้”
จางไหม่ตบบ่าเฮ่อฉางตี้ หัวเราะลั่น “ดีเหลือเกิน ดูซิคราวนี้ใครกันที่กลายเป็นคนขี้งกไปเสียแล้ว! ”
เนื้อฉีกในถ้วยใบเล็ก ๆ ย่อมไม่พอแบ่งสี่คนทาน ท้ายที่สุดเซียวหงอวี่ก็เทเศษและน้ำมันที่เหลือลงในถ้วยตนผสมกับข้าวต้มเพื่อทานให้อิ่มท้อง
หลังมื้ออาหาร เขายังคงทำตัวติดหนึบกับเฮ่อฉางตี้ “พี่เฮ่อ เมื่อไรพี่สะใภ้จะส่งของมาอีกหรือ? ”
สายตาเฮ่อฉางตี้จับจ้องพื้น เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วจริง ๆ ที่ยอมแบ่งเนื้อให้พวกนี้ชิม! เนื้อนับเป็นของมีค่ามากสำหรับเขา เขายังอดใจทานเพียงครั้งละน้อยเวลานำออกมา หากทราบว่าวันนี้จะมาถึง เขาย่อมต้องทานจนอิ่ม เพื่อไม่ให้ตนเองต้องรู้สึกผิดหวังเช่นวันนี้
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดออกไป ยังคงเหลือเนื้อและหมูแห้งที่ฉู่เหลียนส่งมาพร้อมเนื้อฉีกอยู่อีก
เมื่อได้ยินเจ้าบ้าเซียวหงอวี่ขอเพิ่มอีก เฮ่อฉางตี้ก็เงยหน้าจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา คิดอยู่ในใจ ‘ภรรยาข้าไม่ได้ทำให้ชายตัวเหม็นเช่นเจ้าทาน! ฝันไปเถอะ!’
เซียวหงอวี่ถูจมูกแก้เก้อเขิน ในใจยังคงบ่นด้วยความหงุดหงิด ไม่พอใจ ปกติพี่เฮ่อเข้าหาง่ายจะตาย เหตุใดจึงกลายเป็นคนขี้งกไปแล้วเล่า? เซียวหงอวี่ลอบวางแผนในใจ อีกหน่อยยามเขาต้องแต่งภรรยา เขาจะเลือกบุตรีจากจวนอิ้งที่ทำอาหารอร่อย ๆ บ้าง!
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ทั้งกลุ่มก็เริ่มพูดคุยเรื่อยเปื่อย เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้ทุกคนสนิทสนมกันยิ่งกว่าเดิม
ในขณะเดียวกันนั้น ก็เกิดมีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นจากนอกกระโจม