[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 77 ไม่เชื่อ
ดวงตาของมือปราบหน้าหนวดกลอกไปมาอย่างรวดเร็วขณะครุ่นคิด เมืองหลวงทั้งกว้างใหญ่และมีผู้คนมากมาย หากมีผู้ใดปล่อยข่าวหรือเรื่องซุบซิบออกไป ไม่นานนักย่อมแพร่ลามเร็วยิ่งกว่าไฟป่า
นอกจากนี้จวนจิ่งอันก็เป็นหนึ่งในจวนขุนนาง สำหรับสามัญชนแล้วยามไม่มีอะไรทำ พวกเขาย่อมสนุกสนานกับการพูดคุยเรื่องลับ ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจวน
ไม่กี่วันก่อน ยามฉู่เหลียนได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นท่านหญิงจินอี่ จวนจิ่งอันก็มิได้ปิดบังข่าวแม้แต่น้อย ฉู่เหลียนที่อยู่แต่ในจวนก็มิได้สนใจโลกภายนอกเท่าไร จึงยังไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว
แม้ราชนิกุลจะมีมากมายที่ได้รับราชทินนาม ทว่านายหญิงสามจวนจิ่งอันผู้นี้เป็นคนแรกในรอบหลายสิบปีที่มิใช่ราชนิกุลแต่ได้รับพระราชทานราชทินนาม ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนล้วนต้องตกตะลึง ด้วยเหตุนี้ ช่วงนี้ท่านหญิงตราตั้งขั้นห้าผู้ได้รับราชทินนามเช่นฉู่เหลียนจึงกลายเป็นเรื่องที่มีผู้คนพูดถึงมากที่สุด นางถึงกับโด่งดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว
อันที่จริงแล้วยังมีสตรีลูกหลานภริยาขุนนางอีกหลายคนทีเดียวที่กำลังหาโอกาสพบท่านหญิงจินอี่อยู่เช่นกัน!
มือปราบเหล่านี้มิได้โง่งม ผู้เป็นหัวหน้าทราบทันทีว่าฉู่เหลียนเป็นใคร! เขาลอบมองผู้ดูแลหวั่ง นึกอยากผ่าหัวมันออกมาดูเหลือเกิน! เช่นนี้ยังจะกล้าเรียกตนเองว่าเป็นบ่าวไพร่จวนจิ่งอันอยู่อีก! แม้กระทั่งผู้เป็นนายของตนแท้ ๆ ยังจดจำมิได้ ไม่ว่าจะโดนลงโทษเช่นไรก็นับว่าสมควรแล้ว!
ความคิดของหัวหน้าพลันเปลี่ยนไปรวดเร็ว และดูคล้ายพยายามจะเอาอกเอาใจฉู่เหลียนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านหญิงให้ผู้น้อยเป็นคนจัดการกับบ่าวชั่วเหล่านี้เองเถิด มิให้พวกมันต้องทำให้ท่านอารมณ์เสียมากไปกว่านี้ขอรับ”
ฉู่เหลียนมุ่นคิ้ว นางไม่ชอบที่หัวหน้ามือปราบคนนี้รวนเรรวดเร็วเพียงนี้ราวกับพลิกหน้ากระดาษอย่างไรอย่างนั้น นางตอบเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น ข้าจะให้คนส่งพวกเขากลับจวน และให้หัวหน้าพ่อบ้านเป็นผู้จัดการลงโทษพวกเขาเสีย”
ไม่ว่าสกุลหวั่งเหล่านี้จะทำตัวเลวร้ายเพียงใด แต่ก็ยังนับเป็นคนของเหล่าไท่จวินซึ่งเป็นผู้อาวุโสของนาง หากนางสั่งให้มือปราบจัดการพวกเขาย่อมไม่เป็นการสมควรแน่ เรื่องเช่นนี้ควรเก็บไว้เป็นเรื่องภายในบ้าน
หัวหน้าดูคล้ายอับอายเล็กน้อยเมื่อโดนปฏิเสธ ทว่าไม่มีทางเลือกอื่นใดจึงได้แต่ยืนสงบนิ่ง
เมื่อได้ยินที่ฉู่เหลียนกล่าว บ่าวสามคนก็กลัวจนเข่าทรุด อ้อนวอนขอความเมตตาต่อนายหญิงน้อย แต่ฉู่เหลียนที่ไม่อยากยุ่งกับพวกครอบครัวแสนจะน่ารำคาญนี่แล้ว จึงสั่งการให้บ่าวชายอุดปากพวกเขาไว้แล้วส่งกลับไปให้พ่อบ้านที่จวน
เวิ่นฉิงเดินไปส่งมือปราบพวกนั้นที่ประตูภัตตาคารด้วยความเคารพและสุภาพ
ในขณะนี้โถงหลักภัตตาคารกุ้ยหลินกลับมาเงียบงันอีกครา เหลือเพียงกลุ่มฉู่เหลียนที่ยังคงยืนอยู่เท่านั้น
ยามนี้เอง นางได้ยินเสียงฝีเท้าจากเบื้องหลัง ฉู่เหลียนเลิกคิ้ว ไม่คาดว่าจะยังมีผู้อื่นอยู่ในภัตตาคารกุ้ยหลินนี้อีก
ม่านประตูยกเปิด เผยให้เห็นชายชราผมสีดอกเลาในชุดเก่าซอมซ่อ
เมื่อชายชราเงยหน้า ก็เห็นดวงตากลมใสของฉู่เหลียนที่คล้ายกำลังประเมินชายชราแปลกหน้าเยี่ยงเขา เขาจึงนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าหาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“บ่าวชราผู้นี้ขอเรียนถามว่า ท่านคือนายหญิง ผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่?”
เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานมองหน้ากันด้วยความงงงัน ก่อนที่เวิ่นฉิงจะเข้าไปช่วยพยุงเขาเข้ามาใกล้ฉู่เหลียน “ท่านผู้เฒ่า นี่คือนายหญิงสามแห่งจวนจิ่งอัน ตอนนี้เฮ่อเหล่าไท่จวินมอบร้านนี้ให้แก่นายหญิงของข้าแล้ว”
ดวงตาของชายชราเบิกตากว้างจนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นดูคล้ายผลส้มแห้ง ๆ “ในที่สุดภัตตาคารกุ้ยหลินนี้ก็มีหวังแล้ว! รอดแล้ว!” ชายชราหัวเราะทั้งน้ำตาด้วยความยินดี ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา
ฉู่เหลียนสับสน “ท่านผู้เฒ่า ท่านคือใครหรือ?”
ชายชรารีบสงบสติแล้วกล่าว “ขออภัยนายหญิงสาม บ่าวชราผู้นี้ดีใจจนลืมตัวไปเสียแล้ว บ่าวเป็นผู้ดูแลบัญชีของภัตตาคารกุ้ยหลิน…”
ชายชราผู้นี้นามสกุลหวั่งเช่นกัน และเป็นบ่าวของจวนจิ่งอันมาแต่แรกเริ่ม ทว่ามิได้เป็นญาติกับผู้ดูแลหวั่งและครอบครัวแต่อย่างใด
เมื่อยี่สิบปีก่อนชายชราผู้นี้ถูกส่งมาเพื่อดูแลจัดการบัญชีที่ภัตตาคารกุ้ยหลิน เขาตรากตำทำงานหนัก ตั้งอกตั้งใจทำงานเป็นอย่างดีมาเกือบทั้งชีวิต ด้วยวัยนี้แม้ว่าควรจะเกษียณกลับไปอยู่ที่จวนจิ่งอันแล้ว ทว่าเมื่อเห็นภัตตาคารกุ้ยหลินตกไปอยู่ในกำมือของพวกสกุลหวั่งจึงมิอาจตัดใจทิ้งไปได้
ท่านป๋อผู้เฒ่าเคยช่วยผู้ดูแลบัญชีหวั่งผู้นี้เมื่อนานมาแล้วยามเขาเป็นเพียงทหารที่ได้รับบาดเจ็บ หลังจากหายดี ด้วยอายุที่มากจึงมิได้คิดว่าจะมีภริยาอีก ดังนั้นการจะกลับจวนในช่วงวัยเกษียณนั้นก็มิได้มีความหมายต่อเขา เนื่องจากไม่มีญาติมิตรที่รอคอยอยู่ จึงเลือกที่จะอยู่ที่ร้านนี้ต่อไป ทว่าเขาก็มิอาจยืนหยัดคัดค้านในพฤติกรรมของพวกสกุลหวั่งได้เช่นกัน และทำได้เพียงอดทนรอเท่านั้น
“นายหญิงสาม ท่านโปรดรอตรงนี้สักครู่” ชายชรารีบเข้าไปหลังร้าน และกลับออกมาพร้อมกล่องไม้เล็ก ๆ ในมือ เขาถือกล่องนั้นด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม ก่อนจะส่งต่อให้ฉู่เหลียน “นายหญิงสาม สิ่งนี้คือบัญชีของร้านแห่งนี้ที่บ่าวลอบเก็บไว้”
ผู้ดูแลหวั่งขัดขวางมิให้ผู้ดูแลบัญชีหวั่งผู้นี้ส่งมอบบัญชีร้านที่แท้จริงแก่จวนจิ่งอัน ทั้งหมดที่ส่งไปล้วนถูกปลอมแปลงทั้งสิ้น เมื่อผู้ดูแลบัญชีหวั่งคิดว่าคงทำอะไรต่อไปไม่ได้ เขาจึงลอบทำอีกฉบับเอาไว้ และรอคอยมอบให้ผู้เป็นนายด้วยมือของตนเอง
ฉู่เหลียนมิคาดว่าชายชราจะทำเช่นนี้ แม้จะรู้ดีว่าสมุดบัญชีที่เขามอบให้นางยามนี้นับว่าไร้ประโยชน์นัก แต่นางก็ยังคงรับไว้ด้วยความยินดี คนผู้นี้ทุ่มเททำงานหนัก ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ไม่ว่าจะหวานหรือเปรี้ยว เขาก็สมควรได้รับความสำคัญและความเคารพ
“ขอบคุณท่านผู้ดูแลบัญชีที่เหนื่อยยากเพื่อภัตตาคารแห่งนี้มาโดยตลอด” ฉู่เหลียนขอบคุณเขาจากใจจริง
ผู้ดูแลบัญชีหวั่งยิ้มกว้างจนตาหยี “นายหญิงสาม ขอได้โปรดท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของบ่าว”
จากนั้น ผู้ดูแลหวั่งก็พานางเดินชมรอบภัตตาคารกุ้ยหลิน
ที่นั่นยังมีสตรีนางหนึ่งวัยเกินสี่สิบปีผู้รับหน้าที่ทำความสะอาดอยู่หลังร้าน เหตุที่ผู้ดูแลหวั่งยังสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัยล้วนเป็นเพราะนางที่คอยช่วยดูแลมาตลอดในขณะที่พวกสกุลหวั่งเหล่านั้นกำลังแสวงหากำไรใส่ตน
ฉู่เหลียนยืนอยู่ในสวนหลังร้าน สำรวจรูปแบบของอาคาร แม้ภายนอกจะไม่ได้งดงามเตะตา ทั้งยังเทียบไม่ได้กับร้านอาหารหรูหราที่ถนนจูเก่อ ทว่ากลับยังคงเสน่ห์ในแบบของตนเอง
การจัดวางของภัตตาคารกุ้ยหลินมีลักษณะคล้ายทรงน้ำเต้า ทางเข้าเล็กแคบ ภายในใหญ่โต สวนด้านหลังยังแบ่งออกเป็นสองส่วนที่ถูกทำขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในส่วนต่าง ๆ แทนชั้นสอง
ตึกที่รายล้อมสองด้านของภัตตาคารล้วนเป็นบ้านเรือนของผู้คน ตามที่ผู้ดูแลบัญชีหวั่งกล่าว ตั้งแต่ตลาดย้ายออกไป ที่ดินในซอยอันเล่อก็มีมูลค่าตกต่ำลง
ผู้ดูแลบัญชีหวั่งนำฉู่เหลียนไปยังส่วนที่สองของสวนหลังร้านและเริ่มอธิบาย “อันที่จริงเรือนนี้มีไว้สำหรับรับรองแขกขอรับ ทว่าตั้งแต่กิจการย่ำแย่ลง คนสกุลหวั่งก็เก็บเรือนนี้ไว้สำหรับอยู่อาศัยเอง”
เมื่อฉู่เหลียนก้าวเข้าเรือนก็เห็นการออกแบบอันละเอียดอ่อน ทั้งยังมีกอไผ่ที่ถูกปลูกไว้มุมหนึ่งของภูเขาจำลอง ข้าง ๆ กันนั้นมีโต๊ะและม้านั่งหิน ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งก็รายล้อมด้วยต้นกล้วย
บริเวณโถงทางเดินที่นำทางไปสู่อาคารหลักของเรือนล้วนปกคลุมด้วยซุ้มดอกสื่อเถิง ด้านหนึ่งของตึกสามารถมองเห็นต้นกล้วยได้อย่างชัดเจน และยังมีห้องดนตรีเล็ก ๆ สำหรับเล่นพิณอีกด้วย
แม้ยามนี้จะไม่มีพิณหรือกำยาน และทั้งห้องยังเต็มไปด้วยกองขยะ ทว่าฉู่เหลียนยังสามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ภัตตาคารกุ้ยหลินเคยงดงามเพียงไร
กิจการตกต่ำลงเช่นนี้เป็นไปดังที่ฉู่เหลียนคาดไว้ไม่มีผิด
ฉู่เหลียนคุยกับผู้ดูแลบัญชีสกุลหวั่งต่ออีกราวครึ่งชั่วยาม ก่อนจะรับเอากล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสมุดบัญชีขึ้นรถม้าและจากไป
ผู้ดูแลบัญชีหวั่งและสตรีวัยกลางคนผู้นั้นเดินมาส่งฉู่เหลียนที่หน้าประตูร้าน ผู้ดูแลบัญชีผู้มีผมสีขาวโพลนมองตามรถม้าที่จากไปยังถนนสายหลักอันคึกคักจอแจ ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอก ทว่าดวงตาพร่ามัวกลับดูมิได้มีหวังมากนัก
เขาหมุนกาย ใช้ไม้เท้าพยุงร่างโขยกเขยกกลับเข้าไปในร้าน ขณะเดียวกันนั้นสตรีวัยกลางคนก็เข้าช่วยประคองอยู่อีกข้างหนึ่ง ได้ยินเสียงทอดถอนใจเบา ๆ ของชายชรา
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถอนหายใจเช่นนั้นจึงถาม “ท่านหวั่ง ในตอนนี้จวนได้ส่งนายหญิงสามมาช่วยเหลือภัตตาคารแล้ว ท่านไม่ยินดีหรือ?”
ผู้ดูแลบัญชีชราชะงักไปชั่วครู่ หันมองรอบกาย เขายิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูขมขื่นอยู่ภายในใจ “สถานที่เช่นนี้ เราจะฟื้นฟูความรุ่งเรืองกลับมาได้อย่างไร?”
อันที่จริง ผู้ดูแลบัญชีไม่เชื่อว่าภัตตาคารกุ้ยหลินจะกลับไปเป็นดังวันที่เคยรุ่งโรจน์ได้อีกแล้ว เขามีประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์ในฐานะผู้ดูแลบัญชีมายาวนานกว่ายี่สิบปี เขาล้วนผ่านช่วงวันเวลาอันรุ่งโรจน์และตกต่ำ โลกเปลี่ยนผันไปทุกวัน สกุลหวั่งจึงมิใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้กิจการย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นร้านน้ำชา ภัตตาคาร โรงหลอมเหล็ก หรือโรงหลอมทองอันโด่งดังทั้งหลายล้วนตั้งอยู่ในเขตที่มีผู้คนพลุกพล่านทั้งนั้น นอกจากนั้นยังมีคำกล่าวหนึ่งที่เหมาะกับการอธิบายสถานการณ์เช่นนี้อยู่ ‘เขตที่รกร้างคือกิจการที่ตายแล้ว’ ภัตตาคารแห่งนี้จะยังคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้คน
สตรีวัยกลางคนไม่เข้าใจความหมายของผู้ดูแลบัญชี นางมองเหตุการณ์เบื้องหน้าแต่เพียงง่าย ๆ ตราบใดที่ผู้เป็นนายยังมีเงินทอง ไม่ว่าอะไรก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น! จะมีอะไรที่เงินแก้ไขไม่ได้อีกหรือ?
“ท่านผู้เฒ่า ท่านมองในแง่ร้ายเกินไปหรือไม่? วันนี้นายหญิงสามมาที่นี่ นางได้จัดการกับพวกสกุลหวั่งไปแล้ว เพียงเท่านั้นก็นับว่าดียิ่ง!” สตรีวัยกลางคนผู้นี้ต้องอดทนกับการโดนกลั่นแกล้งของพวกสกุลหวั่งเช่นกัน
“แม่นางลี่ เจ้าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? แค่รอดูต่อไปเถิด! อา…” ชายชราคร้านจะอธิบายต่อ เขาเดินกลับเข้าไปในร้านอย่างเชื่องช้า
กล่าวตามตรง นายหญิงสามเป็นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งพ้นวัยเด็ก ต่อให้ถูกเลี้ยงมาให้มีน้ำอดน้ำทนและเปี่ยมพรสวรรค์ดังเช่นบุตรีขุนนาง แต่การชุบชีวิตร้านอาหารที่ตายไปแล้วในเขตพักอาศัยเช่นนี้มิใช่เรื่องง่าย
กระนั้นแม้ว่านางจะมีบรรดาศักดิ์หนุนหลังอยู่ แต่การฟื้นฟูร้านอาหารเก่า ๆ เช่นนี้ย่อมไม่ได้ง่ายดายแน่นอน!
—
ในรถม้า ฉู่เหลียนไม่ทราบเลยว่าผู้ดูแลบัญชีจะไม่ได้คาดหวังในตัวนางแม้แต่น้อย
ระหว่างทางฉู่เหลียนยังคงลอบส่องออกนอกรถม้าอยู่เป็นระยะ ๆ การได้ออกมานอกจวนคนเดียวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าไม่ได้แวะไปเดินเล่น หรือชื่นชมของสวยงามแถวนี้เสียหน่อยก่อนกลับบ้าน นั่นคงจะน่าเสียดายมิใช่น้อย
เวิ่นฉิงและเวิ่นหลานสังเกตเห็นท่าทีที่ดูสนอกสนใจของผู้เป็นนาย ทั้งคู่ยิ้มให้กัน
เวิ่นฉิงเอ่ย “นายหญิงสาม บ่าวนำทางท่านได้นะเจ้าคะ หากท่านต้องการ”
ฉู่เหลียนหันมองเวิ่นฉิง ดวงตาเบิกกว้างอย่างแปลกใจ “เจ้าเคยมาแถวนี้หรือ?”
เวิ่นหลานเม้มปากซ่อนรอยยิ้ม นางเก็บเนื้อเก็บตัวกว่าเวิ่นฉิง ทั้งยังพูดน้อยกว่ามาก หากเลี่ยงได้ นางก็จะไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด ยามอยู่ด้วยกันกับเวิ่นฉิงก็จะมีสหายผู้นี้เท่านั้นที่คอยพูดแทนนางเสมอมา
“นายหญิงสาม บ่าวและเวิ่นฉิงต่างเติบโตมาบนถนนสายนี้ของเมืองหลวง และเพิ่งจะได้เข้าไปอยู่กับจงหมัวมัวที่จวนเมื่อสองปีก่อน ทว่าเรายังได้รับอนุญาตให้ออกมาซื้อของอยู่บ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยกับละแวกนี้ดีทีเดียว”
ฉู่เหลียนกะพริบตา ดวงตาฉายแววความตื่นเต้น ว้าว! งั้นทั้งคู่ก็เป็นเหมือนแผนที่ที่มีชีวิตของนางแล้วล่ะ!
“เล่าเรื่องเมืองหลวงให้ข้าฟังเร็วเข้า!”
แม้ ‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมจะอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่เกิด ทว่านางเป็นบุตรีขุนนางจึงยากนักที่จะได้ก้าวเท้าออกนอกจวน
รถม้าสั่นเบา ๆ เวิ่นฉิงยิ้มขณะอธิบายให้ฉู่เหลียนฟัง “นายหญิงสาม พวกเรากำลังออกจากเขตซอยเฉิงผิง เมื่อผ่านถนนเล็ก ๆ เส้นนี้ไป ก็จะมีซอยผิงคังอยู่เบื้องหน้า…”
ด้านซ้ายของซอยผิงคังคือตลาดตะวันออก ส่วนซอยฉวนหยางอยู่ทางใต้ ทางเหนือคือถนนสายหลักชุนหมิงที่บรรดาเจ้าหน้าที่และขุนนางคนสำคัญอาศัยอยู่ ทั้งยังเป็นสถานที่รองรับสำหรับขุนนางต่างอำเภอต่างเขต และว่าที่บัณฑิตอีกบางส่วน ยกตัวอย่างเช่น ที่พักขุนนางของใต้เท้าหยางก็ตั้งอยู่ที่ถนนผิงคังนี้เช่นกัน
ฉู่เหลียนยกม่านขึ้นมองออกไปด้วยความสงสัย ทันใดนั้น คนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา