[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 71 จดหมายจากทางบ้าน
แม้นว่าฉู่เหลียนจะไม่รับตั๋วเงินเหล่านั้นในวันนี้ ขันทีน้อยก็ยังคงดูถูกนางอยู่ดี ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน เช่นนั้นทำไมไม่ทำให้เขารู้ไปเลยเล่า ว่านางไม่ใช่คนที่จะมารังแกได้โดยง่าย ต่อให้เขาอยากเล่นลูกไม้อะไรอีกในภายหน้า ย่อมต้องไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
คำกล่าวของฉู่เหลียนทำให้ฉีเยี่ยนคิดได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดาแม้แต่น้อย ภายในกลับมีปมที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
ฉู่เหลียนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย หากเป็นผู้อื่นคงดีใจไม่น้อยที่ได้รับบรรดาศักดิ์ ทว่านางกลับไม่ได้สนใจ ในทางตรงกันข้าม นางกลับเริ่มกังวลอยู่ลึก ๆ
ใครจะอยากได้บรรดาศักดิ์นี่กัน? การกระทำขององค์หญิงต้วนเจี่ยในครั้งนี้กลับทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในอันตราย
สิ่งหนึ่งที่ฉู่เหลียนยังไม่ทราบก็คือ ของขวัญนี้ไม่ได้เป็นผลจากพระชายาเว่ยอ๋องและองค์หญิงต้วนเจี่ยเท่านั้น แต่ยังมีจิ่นอ๋องที่ช่วยผลักดันให้นางได้รับบรรดาศักดิ์นี้ด้วย!
ยามนางกลับถึงเรือนซงเถาก็เห็นของพระราชทานวางอยู่เต็มห้องรับแขก นางโบกมือให้กุ้ยหมัวมัวและจงหมัวมัวรับผิดชอบดูแลสิ่งเหล่านี้ไป
แม้นางจะไม่ได้รับเหรียญตราใดควบคู่กับบรรดาศักดิ์ ทว่าฮ่องเต้เป็นผู้พระราชทานนามให้แก่นางด้วยองค์เอง เกียรติยศนี้จึงทำให้นางมีศักดิ์เทียบเท่ากงจู่ทั้งหลาย
ฉู่เหลียน หรืออาจจะเรียกใหม่เป็นท่านหญิงจินอี่ นางได้รับพระราชทานชุดพิธีการและเครื่องประดับศีรษะที่เข้ากันสำหรับเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ นอกจากนั้นยังได้รับพระราชทานจวนเล็ก ๆ ในเมืองหลวง มีที่นาราวสามสิบห้าไร่ และทองคำอีกหนึ่งร้อยแท่ง ซึ่งนับเป็นรางวัลมาตรฐานสำหรับการแต่งตั้งท่านหญิง แต่สิ่งที่พิเศษกว่าปกติมีเพียงราชทินนาม ‘จินอี่’ เท่านั้น
ฉู่เหลียนชี้ไปยังเครื่องประดับศีรษะ กล่าวอย่างไร้ทางเลือก “เอาของพวกนี้ไปเก็บไว้กับปิ่นหางเฟิ่งหวงที่องค์หญิงมอบให้ข้า”
ตอนนี้นางเป็นท่านหญิงแต่งตั้งแล้ว จะปักปิ่นหางเฟิ่งหวงธรรมดา ๆ เช่นนี้ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้
กุ้ยหมัวมัวถือกองชุดพิธีการขึ้นมา “นายหญิงสามเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ลองสวมชุดนี่เสียหน่อย หากไม่พอดีจะได้นำส่งไปปรับแก้เจ้าค่ะ”
เช้านี้ฉู่เหลียนเจอเรื่องที่น่าตื่นตะลึงมามากแล้ว นางจึงไม่มีอารมณ์จะทำสิ่งใดต่อ นอกจากนั้นชุดพิธีการเหล่านี้ยังทำมาจากผ้าปักลายเมฆาที่หนามาก หากสวมใส่ตอนนี้คงต้องเหงื่อท่วมเป็นแน่
“ข้าจะลองวันพรุ่งนี้!”
กุ้ยหมัวมัวได้แต่เก็บชุดกลับไป
ฉู่เหลียนกลับไปยังห้องหนังสือเล็กของตนและนำเอาถุงเงินที่ขันทีคนนั้นส่งให้ออกมา คราแรกนางทำทีเพียงดู ๆ ไป และกะประมาณการเอาว่าน่าจะมีอยู่สักแปดร้อยตำลึงได้ แต่เมื่อมานับดูดี ๆ กลับกลายเป็นตั๋วแลกเงินกว่าพันสองร้อยตำลึงอยู่ข้างใน
เว่ยกุ้ยเฟยร่ำรวยจริง ๆ! แค่แลกเปลี่ยนกิเลนทองคำกับนางก็ได้เงินมามากพอตัวทีเดียว
นางส่งตั๋วแลกเงินไปให้ฉีเยี่ยนนำไปเก็บรักษารวมกับเงินออมที่มี
จากนั้นฉู่เหลียนจึงดื่มซุปหวานไปถ้วยหนึ่ง อาบน้ำไว ๆ แล้วเข้าไปงีบหลับในห้องพัก
เฮ่อเหล่าไท่จวินสั่งการเหลียวหมัวมัวขณะดื่มรังนก “ส่งคนไปหาภรรยาต้าหลาง ให้นางสั่งตัดชุดที่เหมาะสมกับบรรดาศักดิ์ฮูหยินตราตั้งขั้นห้าเพิ่มอีกสองชุด และปิ่นหางเฟิ่งหวงอีกสองชิ้นแก่ภรรยาซานหลาง”
เหลียวหมัวมัวส่งเสียงรับทราบ ทว่ากลับมิได้รีบส่งคนไปในทันที นางยืนข้างกายเฮ่อเหล่าไท่จวินคล้ายมีสิ่งใดที่ต้องการกล่าว
เฮ่อเหล่าไท่จวินหันไปจ้องมองนาง “ทำไมหรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่ยุติธรรมต่อภรรยาต้าหลางหรือ?”
“บ่าวมิกล้าสงสัยฮูหยินเจ้าค่ะ!”
เฮ่อเหล่าไท่จวินวางถ้วยหยกในมือลงแล้วกล่าว “เซียงหยุน ข้าให้เวลานางมานานพอแล้ว ในตอนนี้ต้าหลางเองก็ไม่อาจมีบุตรชายได้ หากภรรยาต้าหลางรับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ไม่ได้ นางจะสามารถเผชิญหน้าในวันที่ต้าหลางรับอนุภรรยาได้อย่างไร? ถึงอย่างไรต้าหลางก็มีหน้าที่ที่ต้องสืบทอดตระกูลต่อไปในอนาคต”
ได้ยินเฮ่อเหล่าไท่จวินกล่าวดังนั้น เหลียวหมัวมัวข่มกดความกังวลที่อยากกล่าวกลับลงไป นางรับคำเหล่าไท่จวินแล้วออกไปทำตามคำสั่ง
……
เมื่อโจวซื่อได้รับข่าว นางก็สะกดกลั้นความเกรี้ยวกราดมิได้และขว้างถ้วยชาลงพื้นทันที ทำให้สาวใช้ผู้ถ่ายทอดคำสั่งหวาดกลัวเสียจนตัวสั่น ทว่าไม่ว่านางจะโมโหเพียงใด ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของเฮ่อเหล่าไท่จวินได้ จึงพยายามดับไฟในใจลง
คืนนี้ ยามต้าหลางพยายามเข้าชิดใกล้ นางกลับไม่มีอารมณ์โอนอ่อนตามเขาแม้แต่น้อย สองสามีภรรยาจึงร่วมนอนอยู่เคียงกัน ทว่าห้วงความคิดของพวกเขาต่างห่างกันไปไกล
ที่ชายแดนเหนือในเหลียงโจว อากาศเริ่มหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ และเป็นเช่นนั้นตั้งแต่เริ่มเข้าเดือนสิงหาคม ขณะที่เหล่าขุนนางในเมืองหลวงล้วนแต่ยังสำราญกับชุดฤดูร้อน แต่ผู้คนในเหลียงโจวกลับต้องสวมใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆ ยามออกนอกเรือน
ที่เมืองแห่งหนึ่งของเหลียวโจว ยังมีจวนเล็ก ๆ ที่มีเพียงสามห้องและครัวเปิดพร้อมกองฟืนตั้งอยู่ไม่ไกล
กองไฟเล็ก ๆ ที่อยู่ในเขตครัวมีควันขาวพวยพุ่งลอยขึ้นสู่ฟ้า กลิ่นแปลกประหลาดลอยออกจากหม้อที่อยู่เหนือเตา ทั้งยังมีคนผู้หนึ่งยืนติดหม้อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเขม่า
ประตูจวนถูกผลักเปิดออกเผยกายชายหนุ่มเยาว์วัยผู้มีหนวดเครารกครึ้มก้าวเข้ามา เขาสวมชุดสีดำ และเหน็บดาบไว้ที่เอว แม้จะดูเปรอะเปื้อนไปบ้างจากการเดินทาง ทว่าในดวงตานั้นยังมีประกายแสงแวววาว
ชายหน้าเปื้อนเขม่ารีบวิ่งมาต้อนรับ “คุณชายสาม ในที่สุดท่านก็กลับมา! รีบเข้ามาพักเถอะขอรับ อีกประเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว”
ไหลเยว่ดึงเอาสัมภาระบนหลังและดาบที่เอวของเฮ่อฉางตี้ออก ก่อนจะเดินนำคุณชายไปที่ห้องหลัก
เฮ่อฉางตี้อยู่เหลียงโจวมาได้สิบวันแล้ว
จวนที่พักอยู่นี้เขาเพิ่งซื้อมาเมื่อสิบวันก่อน ยามนี้เฮ่อฉางตี้มีผิวกายเข้มขึ้นกว่าคราวแรกที่มาถึงเหลียงโจวมาก โครงหน้าสง่างามถูกปกคลุมด้วยหนวดเครา ทว่าดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นกลับเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณและความแน่วแน่ยิ่งกว่าเคย
ช่วงหลายวันมานี้เขาต้องวิ่งไปรอบเมือง เพื่อทำให้ร่างกายดูผอมลง แต่กลับกัน ตอนนี้ทั่วร่างของกลับกระชับและมีกล้ามเนื้อมากขึ้น หากเฮ่อซานหลางหน้าหยกคนนั้นเปรียบเป็นหนุ่มรูปงามดังต้นไผ่สูง เฮ่อซานหลางในยามนี้คงเปรียบเป็นต้นสนที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมผา
เมื่อไหลเยว่เห็นฝุ่นที่ปกคลุมกายผู้เป็นนาย ก็อดเจ็บปวดใจไปด้วยเสียมิได้ เขายกน้ำและน้ำชามาให้ก่อนจะกล่าว “คุณชาย พักที่ห้องนี้ก่อน เดี๋ยวบ่าวจะนำอาหารมาให้ขอรับ”
ตอนนี้เฮ่อซานหลางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เขาล้างหน้าล้างมือก่อนจะนั่งพักบนเก้าอี้ไผ่และหลับตาลง กระทั่งได้กลิ่นประหลาดลอยอวลเข้ามาในห้อง เฮ่อฉางตี้จึงหรี่ตามองไปยังโต๊ะ
“นั่นอะไร”
ไหลเยว่มองไปยังอาหารบนโต๊ะด้วยสีหน้ารู้สึกผิดแล้วตอบ “คุณชาย นี่โจ๊กขอรับ”
หางตาเฮ่อฉางตี้กระตุก เจ้าของสีขาว ๆ เหลือง ๆ ที่ทำจากรำข้าวสาลีต้มเช่นนี้จะเรียกว่าโจ๊กได้หรือ? เพียงหน้าตาก็พิลึกพิลั่นมากพอแล้ว ทั้งยังส่งกลิ่นแปลก ๆ มาเสียอีก สิ่งนี้เรียกว่า ‘โจ๊ก’ หรอกหรือ
สีหน้าไหลเยว่ดูหดหู่ยิ่ง “คุณชาย ท่านก็ทราบดีว่าบ่าวไม่รู้วิธีทำอาหาร และที่เหลียงโจวนี้ก็มีอาหารอยู่น้อยนัก บ่าวทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้จริง ๆ ขอรับ”
สิ่งที่ไหลเยว่มิได้กล่าวคือพวกเขาไม่มีเงินเหลือมากพอจะซื้ออาหารดี ๆ เสียด้วยซ้ำ
ข้าวสารในเมืองหลวงราคาชั่งละหนึ่งพันเหรียญ ทว่าที่ชายแดนแห่งนี้ ข้าวสารหนึ่งชั่งราคาถึงสิบตำลึง!
เดิมทีข้าวของในเมืองนี้มีราคาแพงก็ดูเลวร้ายอยู่แล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือคนทั่วไปไม่อาจซื้อข้าวสารได้ต่อให้มีเงิน ในช่วงนี้เหลียงโจวยังถือว่าตกอยู่ในสภาวะของสงครามที่ชายแดนมาตลอดหลายปี ทั้งยังมิได้รับการพัฒนานัก แล้วจะคาดหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีที่นี่ได้อย่างไร?
เนื่องจากของใช้ใกล้หมด วันนี้ไหลเยว่จึงออกไปหาซื้อของไวกว่าเดิม ทว่ากลับซื้อมาได้เพียงข้าวเดือย ข้าวฟ่าง และข้าวสาลีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งผักสด ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ป่า เขาก็ไม่สามารถหามาได้
ที่ห่างไกลโดดเดี่ยวเช่นนี้ยังมีร้านขายสุราอยู่หนึ่งร้าน ซ้ำร้ายยังเป็นสุราที่มีคุณภาพต่ำ
ไหลเยว่ไม่เคยต้องทำอาหารเองมาก่อนยามดูแลรับใช้คุณชายที่เมืองหลวง ความสามารถในการทำอาหารจึงเรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่น้อย เพียงทำของที่ทานเพื่อประทังชีพได้ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว
นอกจากนี้ยังมีพวกทหารถูหุนบุกโจมตีเมืองแห่งนี้เกือบทุกเดือนจนทั้งเมืองแทบจะว่างเปล่า ช่วงเวลานี้พวกเขาลำบากเหลือแสน
เฮ่อฉางตี้มองไหลเยว่อย่างดุดัน บ่าวรับใช้ผู้นี้ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว เหตุใดบ่าวไพร่จึงดูคล้ายอยู่สุขสบายกว่านายของตนไปได้เล่า?
ขาของไหลเขว่อ่อนปวกเปียกเมื่อถูกจ้องเช่นนั้น เขาจึงรวบรวมความกล้าและเอ่ยขึ้น “คุณชาย หากว่าบ่าวทำอาหารไม่ดี เช่นนั้นให้บ่าวไปซื้อสาวใช้มาให้ท่านดีหรือไม่ขอรับ?”
ที่นี่มีครอบครัวยากจนมากมายที่ขายลูกชายลูกสาวเพื่อเอาชีวิตรอด ดังนั้นการซื้อเด็กสาวมาทำความสะอาดและทำอาหารให้นั้นจึงมีราคาถูกมากทีเดียว
เฮ่อฉางตี้หยิบตะเกียบไม้ขึ้น แค่นเสียงถาม “ซื้อสาวใช้? เช่นนั้นเจ้าจะเลี้ยงนางหรือ?”
ได้ยินคำของเฮ่อฉางตี้ ไหลเยว่ก็หุบปากทันที ต่อให้เป็นเพียงสาวใช้คนเดียว เขาก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงนางได้ เขายังต้องดื่มกินอยู่! เงินที่นำมามีเพียงพอสำหรับสองคนเท่านั้น
เนื่องจากคร้านจะพูดกับบ่าวไร้ประโยชน์ผู้นี้แล้ว เฮ่อฉางตี้จึงยกถ้วยขึ้นจิบทั้งที่ขมวดคิ้ว ดังคาด ‘โจ๊ก’ นี้รสชาติเลวร้ายพอ ๆ กับกลิ่น กระทั่งโจ๊กหนำเลี้ยบที่คนเถื่อนนั่นทำยังนับว่ารสชาติดีกว่า…
ทว่าเพื่อให้ร่างกายได้มีพลังงาน เฮ่อฉางตี้จึงบังคับตนเองให้ดื่มมันลงไปทั้งถ้วย ยามนี้ไม่ใช่เวลาเลือกกิน ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นตลาดเช้าเหลียงโจว ร้านค้าแผงลอยหรือร้านขายของต่าง ๆ ก็ไม่เปิด หรือหากพวกเขาอยากทานอะไรดี ๆ ก็ไม่มีเงินให้ซื้ออีก
ไหลเยว่ดื่ม ‘โจ๊ก’ ด้วยสีหน้าขมขื่น เมื่อดื่มเสร็จก็จับจ้องถ้วยเปล่าด้วยสายตาเลื่อนลอย เริ่มคุยกับตัวเอง “หากว่านายหญิงสามอยู่ที่นี่ด้วย… แม้แต่ของที่ย่ำแย่ที่สุดยังกลายเป็นอาหารชั้นเซียนได้ด้วยมือนาง…”
ขณะฝันกลางวันถึงหมูสามชั้นพูนถ้วย ไหลเยว่ก็รู้สึกได้ว่าช่วงนี้ตนเลือกกินมากขึ้นทีเดียว…
“เจ้าว่าอะไร?” ได้ยินไหลเยว่พึมพำ เฮ่อฉางตี้หันมองบ่าวด้วยสายตาน่าหวาดกลัว
ไหลเยว่สะดุ้ง รีบเงียบปากทันที
เฮ่อซานหลางมองเขาอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นออกจากห้องไป เขาอยู่ข้างนอกทั้งวัน ยามนี้เหนื่อยมากแล้วจริง ๆ
เขานอนเท้าแขนข้างหนึ่งบนเตียงที่ทำจากดินอย่างง่าย ๆ อีกมือวางทาบอยู่ที่อก อาจด้วยถ้อยคำของไหลเยว่ สิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจเขากลับไม่ใช่ความโกรธแค้น ไม่ใช่ความเสียใจ หรือความเกลียดชังจากชาติก่อน แต่กลับเป็นความทรงจำเกี่ยวกับฉู่เหลียนยามทานอาหารเช้าที่เรือนซงเถา
ท่ามกลางไอน้ำจากอาหาร ใบหน้านางดูไร้ซึ่งความอำมหิตโหดร้ายดังที่เคยเห็น นางดูคล้ายเป็นคนละคนกับสตรีแพศยาในชาติที่แล้วของเขา แม้ใบหน้าจะเหมือนกัน ทว่าเขากลับรู้สึกว่าพวกนางล้วนเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
การล่อลวงด้วยอาหารได้ผลดีเพียงนั้นเชียวหรือ? และดีเสียจนเขาเปลี่ยนใจจากคนที่เลวร้ายเต็มไปด้วยพิษสงได้เชียวหรือ?
หัวใจแกว่งไกว เขาปิดตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความคิดกระหวัดถึงอาหารเช้าไม่กี่มื้อที่เขาได้ร่วมทานในเรือนซงเถา
เขาทราบว่าสตรีร้ายกาจผู้นั้นสามารถใช้ของที่เรียบง่ายที่สุดทำอาหารแสนอร่อยได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปเกี๊ยวและแป้งทอดใส่หอมที่เขาทานในวันนั้นทำขึ้นจากของง่าย ๆ ที่เป็นเพียงแป้ง ผัก และเนื้อเล็กน้อยเท่านั้น
หากยามนี้มีฉู่เหลียนอยู่ข้างกาย นางจะทำอาหารน่าอร่อยเช่นไรจากข้าวเดือย ข้าวฟ่าง และข้าวสาลีกันหนอ? แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ย่อมต้องเป็นของอร่อยแน่นอน
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทั่วร่างของเฮ่อฉางตี้ก็แข็งทื่อ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปในทันที ทั้งเป็นน่าเกลียดน่ากลัวและหม่นเศร้าในเวลาเดียวกัน เขาถูหน้าผากด้วยความโมโห ต้องเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยและคำพูดของไหลเยว่โดยแท้ มิเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงลืมไปได้ว่าสตรีแพศยาผู้นั้นเองเป็นผู้กล่าวว่าเขาไร้ค่าเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่!
บางครั้ง การพูดคุยกับผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องดี ขณะที่เฮ่อซานหลางพยายามข่มตานอนนั้น เสียงเคาะประตูรัวแรงอย่างบ้าคลั่งก็ดังขึ้น
“คุณชาย คุณชาย! ทางจวนส่งจดหมายมาให้ท่านขอรับ!” ไหลเยว่รายงานด้วยความตื่นเต้น