[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 70 ท่านหญิงตราตั้ง
คนจากพระราชวังหรือ?
เฮ่อเหล่าไท่จวินและเฮ่อฉางฉีมองหน้ากันอย่างงงงวยทันทีที่ได้ยิน
เจ้านายของจวนยามนี้อยู่ไกลถึงชายแดน ทั้งซื่อจื่อยังเป็นเพียงขุนนางชั้นรองในท้องพระโรง ที่นี่จึงไม่มีผู้เยี่ยมเยือนจากทางวังมากนัก กระทั่งเฮ่อเหล่าไท่จวินที่เป็นพระสหายคนสนิทของไทเฮา ยามแสดงเหรียญตรายังต้องรอเวลาอีกหลายวันจึงจะได้รับคำตอบ
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงแล้ว เหลียวหมัวมัวรีบเอ่ยเพิ่ม “พ่อบ้านกล่าวว่าเป็นขันทีระดับสูงจากท้องพระโรง อัญเชิญพระราชโองการมาเจ้าค่ะ”
อะไรนะ? พระราชโองการ?
เรื่องนี้ยิ่งทำให้ตกตะลึงเข้าไปใหญ่
ไม่มีนายท่านคนใดในจวนจิ่งอันสร้างผลงานจนได้รับพระราชโองการสักคน
แม้จะยังสับสนอยู่ ทว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินก็ส่งข่าวไปยังเจ้านายแต่ละเรือน ให้มารวมตัวกันที่ห้องรับแขกเรือนนอกเพื่อรอฟังประกาศพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้
ไม่นานนัก ตระกูลเฮ่อทั้งตระกูลก็มานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นในห้องรับแขก ฉู่เหลียนคุกเข่าอยู่เบื้องหลังโจวซื่อตามลำดับศักดิ์
นางเหลือบมองเล็กน้อย เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ขันทีระดับสูงผู้นั้นกวาดตามองจนทั่วรอบหนึ่งก่อนจะยืดตัวตรง จัดแขนเสื้อเล็กน้อยแล้วนำเอาพระราชโองการสีเหลืองจากถาดที่มีขันทีผู้น้อยถืออยู่มาอ่านด้วยน้ำเสียงเฉียบคมดังก้องไปทั้งห้องรับแขก
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ฉู่ฮูหยิน ภริยาเฮ่อฉางตี้ บุตรชายคนที่สามแห่งจวนจิ่งอัน มีนิสัยน่ายกย่อง จิตวิญญาณงดงาม กิริยาเรียบร้อยบริสุทธิ์ ทั้งยังฉลาดหลักแหลม และมีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ ฮ่องเต้มีพระกรุณา โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นท่านหญิงขั้นห้า ราชทินนามจินอี่…”
กระทั่งก่อนขันทีผู้นั้นประกาศจบ เพียงประโยคแรกประโยคเดียวก็เพียงพอให้ทุกคนนิ่งอึ้งไป แม้แต่เฮ่อเหล่าไท่จวินผู้มากประสบการณ์ยังทำได้เพียงเบิกตากว้างจ้องมอง เกิดอะไรขึ้น? ภรรยาซานหลางได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิงในชั่วพริบตาได้อย่างไร?
ส่วนฉู่เหลียนนั้นยังแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นและได้ยินเบื้องหน้า
ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่องค์หญิงต้วนเจี่ยเคยเอ่ยกับนางที่จวนเว่ยอ๋องขึ้นได้ “เจ้ารอก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะเอาบรรดาศักดิ์มาให้เจ้าทีหลัง!”
ดูเหมือนพระราชโองการแต่งตั้งกะทันหันนี่น่าจะเป็นฝีมือองค์หญิงต้วนเจี่ยแน่ ๆ
ฉู่เหลียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางคิดว่าองค์หญิงแค่ล้อเล่นเท่านั้น ใครจะคิดว่าจะเอาบรรดาศักดิ์มามอบให้นางได้จริง ๆ เล่า? แม้จะเป็นเพียงท่านหญิงขั้นห้า ทว่าได้รับพระราชโองการแต่งตั้งจากฮ่องเต้นี้ เกียรติยศย่อมเทียบเคียงได้กับตำแหน่งกงจู่ทีเดียว
โจวซื่อที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้ายามนี้รู้สึกโง่งม นางเผลอหันไปจ้องฉู่เหลียนโดยไม่รู้ตัวคล้ายว่าเผื่อจะมีโอกาสที่เป็นคนละฉู่เหลียนกันกับที่ระบุในพระราชโองการ ก่อนจะหันกลับมา สิ่งที่เห็นนั้นไม่พอใจนางแม้แต่น้อย สองมือของนางกำเป็นหมัดแน่น
ความอิจฉาริษยาท่วมท้นจิตใจ
น้องสะใภ้สามได้รับเกียรติสูงส่งมาง่าย ๆ เพียงไปจวนเว่ยอ๋อง หากนางรู้ก่อนหน้านั้นเสียหน่อย นางย่อมต้องตามน้องสะใภ้สามไปจวนเว่ยอ๋องแน่ เช่นนั้นบางทีผู้ถูกเอ่ยนามในพระราชโองการฉบับนี้อาจเป็นนาง
หากนางได้ตำแหน่งท่านหญิงมาและสามารถเชื่อมสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจวนเว่ยอ๋องได้ แม้นางจะไม่อาจคลอดลูกได้อีก ต้าหลางก็ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้มีอนุแม้แต่คนเดียว
ฉู่เหลียนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลังโจวซื่อสัมผัสได้ว่าพี่สะใภ้เริ่มมีอารมณ์แปลก ๆ ต่อนาง ทว่านางไม่อาจสำรวจเพื่อดูเหตุผลได้ในตอนนี้ จึงทำได้เพียงคาดเดาความคิดของโจวซื่อเท่านั้น
เมื่อขันทีระดับสูงผู้นั้นถ่ายทอดพระราชโองการเสร็จสิ้น เขาก็ยกม้วนพระราชโองการขึ้นด้วยสองมือพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ท่านหญิงจินอี่ โปรดยืนขึ้นรับพระราชโองการ!”
ฉีเยี่ยนรีบประคองฉู่เหลียนลุกขึ้น และเดินไปเบื้องหน้าฝูงชนเพื่อรับพระราชโองการฉบับสีเหลืองนั้นจากขันทีด้วยสองมือ
“ลำบากท่านแล้ว”
ขันทีระดับสูงผู้นั้นมองท่านหญิงจินอี่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ความตกตะลึงก็ผุดขึ้นในแววตา มิคาดเลยว่าท่านหญิงจินอี่ที่แท้แล้วยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ คล้ายว่าเพิ่งเข้าสู่วัยสาวได้ไม่นาน ยามนี้ท่านหญิงจินอี่มิได้ผัดแป้งแต่งใบหน้าแต่อย่างใด ช่างดูน่ารักเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยามเผยรอยยิ้มก็ให้ความรู้สึกคล้ายสายลมอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ แค่รูปลักษณ์ภายนอกของนางก็ย่อมได้รับการยอมรับแล้ว ช่างเหมาะสมกันกับเฮ่อซานหลางหน้าหยกผู้นั้นจริง ๆ
ขณะที่ฉู่เหลียนก้าวเข้าไปรับพระราชโองการ เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ได้สาวใช้ช่วยประคองลุกขึ้นยืนแล้ว นางหันไปมองบ่าวชราด้านหลัง เหลียวหมัวมัวจึงนำผ้าสีกรมท่าออกมาจากแขนเสื้อ และส่งต่อให้ขันทีระดับสูงผู้มาประกาศข่าวดีนี้
ขันทีผู้นั้นยิ้มรับของ
เฮ่อเหล่าไท่จวินพูดคุยกับขันทีผู้นั้นอีกเพียงเล็กน้อย ที่แท้เขาเคยรับใช้อยู่ข้างกายไทเฮามาก่อน เฮ่อเหล่าไท่จวินจึงเคยพบเขาครั้งสองครั้งยามเข้าเฝ้าไทเฮานั่นเอง
ยามนั้นเอง ขันทีที่อ่อนวัยกว่าก็ก้าวขึ้นมาเสมอขันทีระดับสูงโค้งเล็กน้อยทักทายฉู่เหลียน
“บ่าวคารวะท่านหญิงจินอี่”
ฉู่เหลียนมุ่นคิ้วเข้าเล็กน้อยหันมามองขันทีน้อยผู้นั้น เขาตัวสูงผอม จมูกโด่งเชิด คล้ายว่าเครื่องหน้าของเขาล้วนงดงามหล่อเหลายามแยกจากกัน ทว่าเมื่อมารวมตัวบนหน้าชายผู้นี้แล้วกลับดูออกจะ… มากไปหน่อย
แม้ถ้อยคำของขันทีผู้นี้จะเต็มไปด้วยความเคารพ แต่ฉู่เหลียนกลับเห็นแววตาเหยียดหยามที่ส่งมา
“ท่านมีธุระเช่นใดกับข้าหรือ”
มุมปากของขันทีน้อยยกขึ้น ทว่าเครื่องหน้ากลับมิได้อ่อนโยนลง และดูเหมือนจะทำให้เขาดูชั่วร้ายกว่าเก่า
“เรียนท่านหญิงจินอี่ บ่าวทำงานอยู่ตำหนักหย่งเหอ ได้ยินว่าองค์หญิงเล่อเหยาบังเอิญทำกิเลนทองคำตกหล่นไว้ที่นี่กับท่าน”
ตำหนักหย่งเหอ! ย่อมเป็นชื่อตำหนักที่เว่ยกุ้ยเฟย มารดาขององค์หญิงเล่อเหยาประทับอยู่
เงาวาบผ่านดวงตาฉู่เหลียน นางคาดไว้แล้วว่าองค์หญิงเล่อเหยาต้องส่งคนมาทวงกิเลนทองคำคืน แต่มิคาดว่าองค์หญิงจะใช้วิธีหน้าไม่อายเพียงนี้ ถึงกับใช้ชื่อตำหนักหย่งเหอมากดดันนาง
นางสงสัยเหลือเกินว่าองค์หญิงเล่อเหยาทำเช่นนี้เพราะประเมินค่านางสูงเกินไป หรือดูถูกนางมากเกินไปกันแน่
ตราบใดที่เฮ่อฉางตี้ยังเป็นสามี นางย่อมไม่สร้างปัญหา แต่ถึงอย่างไรนางก็เคยปะทะกับองค์หญิงไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่านางจะยอมทำตามแต่โดยดีหรือไม่ ผลลัพธ์ก็คงเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องยอมโดนคนรังแกต่อไปด้วย?
หากองค์หญิงอยากได้ของรักของหวงคืน นางย่อมต้องจ่ายค่าชดเชยเสียก่อน ฉู่เหลียนแค่นหัวเราะในใจ
“โอ? มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือเจ้าคะ? เหตุใดข้าจึงจำไม่ได้เล่า? กงกง คล้ายว่าอายุของท่านจะทำให้ความทรงจำเลอะเลือนไปเสียแล้วกระมังเจ้าคะ?” แม้สีหน้าฉู่เหลียนจะยังเป็นมิตร แต่ถ้อยคำหยามเหยียดไร้ซึ่งความปรานี
แม้ขันทีผู้นี้ไม่อาจนับว่าชรา และอาจเรียกได้ว่ายังเยาว์วัยเสียด้วยซ้ำ ทว่าตามมุมมองของฉู่เหลียนที่เป็นเพียงแม่นางน้อย ผู้เพิ่งข้ามพ้นวัยเด็ก เขาจึงนับว่าแก่กว่ามาก
ขันทีผู้นั้นหน้าแดงด้วยความโกรธเคือง ในฐานะผู้ทำงานในตำหนักหย่งเหอ กระทั่งในพระราชวังก็มีคนไม่มากที่กล้าโต้เถียงกับเขา ยกเว้นพวกบ่าวไพร่ นางกำนัล และขันทีของฮ่องเต้และฮองเฮา
หน้าเขาดูบิดเบี้ยวยามกัดฟันกล่าว “ท่านหญิงจินอี่แน่ใจหรือว่าจำมิได้? ท่านลองตรองดูให้ดีเถิด หากท่านทำให้พระสนมและองค์หญิงขุ่นเคืองใจย่อมไม่ดีเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”
ฉู่เหลียนไม่มีทีท่าเกรงกลัวแม้แต่น้อย อย่างไรนางก็ไม่มีเหตุให้ต้องเข้าวัง หากเว่ยกุ้ยเฟยและองค์หญิงเล่อเหยาอยากระบายความโกรธใส่นาง พวกเขาก็จำต้องออกมาจากวังให้ได้ก่อน!
“ตายจริง บางทีกงกงอาจต้องให้ข้าช่วยเตือนความจำกระมัง? ข้าเคยพบองค์หญิงเล่อเหยาเพียงหนเดียวที่จวนติ้งหยวน หากองค์หญิงทรงทำสิ่งใดหล่นหายก็ย่อมต้องอยู่ที่จวนติ้งหยวน กงกง ที่นี่คือจวนจิ่งอัน ยามผ่านเข้ามาท่านมิได้ดูป้ายชื่อจวนเหนือประตูหรือเจ้าคะ?”
ขันทีแทบระเบิดด้วยความเกรี้ยวกราด นี่เป็นครั้งแรกที่พระนามของพระสนมและองค์หญิงกลับใช้ไม่ได้ผล อีกทั้งถ้อยคำเหล่านั้นของฉู่เหลียนที่โต้ตอบกลับมา สื่อเป็นนัยเพื่อเตือนเขาว่าองค์หญิงเล่อเหยาเป็นผู้แพ้พนันเสียกิเลนทองคำให้แก่นางเอง ดังนั้นพระองค์ย่อมต้องยอมรับในความพ่ายแพ้หากมีใจจะวางเดิมพันด้วยของรักนั้นเสียแต่ทีแรก และหากต้องการได้สมบัติคืน ย่อมต้องมีสิ่งของมาแลกเปลี่ยน
ขณะที่ขันทีผู้นี้กลับใช้วาจาพยายามยัดเยียดข้อหาว่านางยึดเอาทรัพย์สมบัติองค์หญิงมาเป็นของตน ทว่าโชคดีที่การเดิมพันครั้งนั้นกระทำต่อหน้าผู้คนมากมายในจวนติ้งหยวน หากข่าวแพร่ออกไปว่าองค์หญิงเล่อเหยาบังคับเอาของเดิมพันคืน ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงของพระองค์เป็นแน่
ในที่สุดเป็นฝ่ายขันทีน้อยที่ต้องกดข่มความโกรธลง พยายามโน้มน้าวใจด้วยวิธีอื่นแทน เขาดึงเอาถุงบางอย่างออกจากแขนเสื้อและถือด้วยสองมือส่งให้ฉู่เหลียนอย่างนอบน้อม “ท่านหญิง สิ่งนี้เป็นของกำนัลที่เว่ยกุ้ยเฟยรับสั่งให้ข้านำมาแลกเปลี่ยนกับกิเลนทองคำขององค์หญิง”
ฉู่เหลียนปรายตามองให้ฉีเยี่ยนรีบกลับไปยังเรือนซงเถาเพื่อหยิบเอากิเลนทองคำขององค์หญิงมาส่งคืนให้ทันที
แท้จริงแล้วฉู่เหลียนไม่จำเป็นต้องทำตัวมีมารยาทกับขันทีผู้นี้แม้แต่น้อย นางรับเอาถุงผ้ามาเปิดดูของที่อยู่ภายใน ก่อนจะยิ้มและกล่าว “กงกงวางใจ แม้จะเป็นของที่องค์หญิงเสียพนันให้แก่ข้า ทว่าข้ายังเก็บไว้อย่างดีมาโดยตลอด ข้าจะส่งคืนให้ท่าน โปรดตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะกงกง”
ฉีเยี่ยนกลับมาพร้อมกิเลนทองคำ ขันทีน้อยรับเอากล่องไม้งดงามจากมือฉีเยี่ยนไป และเปิดออกดูของด้านในด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าใช่กิเลนทองคำขององค์หญิงเล่อเหยาแล้วจึงค้อมกายกล่าว “บ่าวรบกวนท่านหญิงจินอี่แล้ว หวังว่าจะไม่ทำให้ท่านหญิงลำบากใจ”
เมื่อผู้คนจากวังหลวงจากไปแล้ว ฉู่เหลียนก็ถูกเฮ่อเหล่าไท่จวินเรียกไปพบที่เรือนชิ่งสี่ และอยู่ที่นั่นเกือบครึ่งชั่วยาม
ระหว่างทางกลับเรือนซงเถา ฉู่เหลียนคิดถึงสิ่งที่เหล่าไท่จวินกล่าวกับนาง และนั่นก็ทำให้นางรู้สึกเริ่มปวดหัวขึ้นมา
คือ นางยังต้องเข้าวังเพื่อแสดงความขอบคุณที่ได้รับพระราชทานตำแหน่ง…
เมื่อคิดว่าอาจจะบังเอิญเจอกับองค์หญิงเล่อเหยาและเว่ยกุ้ยเฟยระหว่างเข้าวังแล้ว ฉู่เหลียนก็หดหู่ขึ้นมานิด ๆ หรือสวรรค์จะเกลียดนาง?!
ฉีเยี่ยนเดินตามหลังฉู่เหลียนที่ทำหน้ามุ่ยขณะคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า นางอดมิได้ให้ถาม “นายหญิงสามเจ้าคะ เหตุใดจึงกล่าวคำเหล่านั้นยามส่งกิเลนทองคำนั่นให้ท่านขันทีล่ะเจ้าคะ?”
คำเหล่านั้นหรือ? โอ ใช่ นางเตือนขันทีผู้นั้นให้ตรวจสอบกิเลนทองคำนี่
ฉู่เหลียนหันไปจิ้มหน้าผากฉีเยี่ยน “ทำไมกัน เจ้ายังคิดไม่ได้อีกหรือ?”
ฉีเยี่ยนส่งเสียงตอบอย่างงุนงง “เอ๋?”
ฉู่เหลียนถอนใจ “เจ้าดูไม่ออกหรือ การข่มขู่ในทีแรกนั่นเป็นขันทีผู้นั้นที่หลอกลวง? ไม่เช่นนั้นเขาจะเอาถุงผ้าที่เต็มไปด้วยตั๋วแลกเงินออกมาได้อย่างไรเล่า?”
องค์หญิงเล่อเหยาและเว่ยกุ้ยเฟยอาจไม่ชอบนางนัก ทว่าอย่างไรก็ยังนับว่าเป็นคนของราชวงศ์ หากพวกนางต้องการของคืนจริง ย่อมไม่อาจขอสิ่งของคืนโดยไม่มีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนได้หรอก อีกทั้งเว่ยกุ้ยเฟยมีสถานะสูงส่งในวังหลัง หากกระทำสิ่งใดโดยไม่คำนึงถึงเกียรติของท่านหญิงอย่างฉู่เหลียนย่อมเป็นเรื่องเสื่อมเสีย
ขันทีผู้นั้นจึงได้รับตั๋วแลกเงินเพื่อมาไถ่กิเลนทองคำคืน ทว่าเขากลับละโมบต้องการเก็บเงินทั้งหมดไว้ เช่นนี้จึงพยายามอ้างชื่อตำหนักหย่งเหอเพื่อข่มขู่ให้ฉู่เหลียนคืนกิเลนทองคำให้โดยไม่จำเป็นจะต้องเสียตั๋วแลกเงินไป แต่น่าเสียดายที่ฉู่เหลียนไม่ตกหลุมพรางนั่นแม้แต่น้อย?
นอกจากนี้ฉู่เหลียนได้เอ่ยขอให้ขันทีผู้นั้นตรวจสอบกิเลนทองคำก่อนจากไป เพราะนางเกรงว่าเขาอาจกระทำการไม่ดีอันเป็นเหตุให้นางและเว่ยกุ้ยเฟยบาดหมางกันได้เพื่อเป็นการแก้แค้น
แค่วันนี้ที่นางได้ทะเลาะกับขันทีน้อยไป ก็ย่อมไม่เป็นผลดีแก่นาง เขาต้องเติมแต่งเรื่องราวยามกล่าวรายงานแก่เว่ยกุ้ยเฟยและองค์หญิงเป็นแน่
จากสถานการณ์เช่นนี้คงมีคำกล่าวหนึ่งที่เหมาะสม ‘ทะเลาะกับบัณฑิตย่อมดีกว่าทะเลาะกับคนใจแคบ’