[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 64 หยกเครื่องรางนำโชค
ฉีเยี่ยนรีบนำกล่องไม้ออกมา “นายหญิงสาม เครื่องประดับทั้งหมดอยู่ในนี้แล้วเจ้าค่ะ ส่วนเสื้อผ้า สาวใช้ขององค์หญิงกล่าวว่าเปรอะเปื้อนความโชคร้ายเสียแล้ว พวกนางจึงได้นำไปเผาทิ้งพร้อมฉลองพระองค์ขององค์หญิงแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนพยักหน้า รับกล่องไม้จากมือฉีเยี่ยน พร้อมทั้งลอบมองฉีเยี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยบริเวณข้อศอกและขา ส่วนที่เหลือยังดูปกติดี
เมื่อรับกล่องไม้มา นางก็เปิดออกดูของด้านใน ก่อนที่สีหน้าฉู่เหลียนจะหม่นลง ค้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เครื่องประดับทุกชิ้นอยู่ครบ ยกเว้นหยกเครื่องรางนำโชค!
“ฉีเยี่ยน ตอนเจ้าเก็บของมา ได้เห็นหยกเครื่องรางที่ข้าสวมติดเอวไว้เมื่อเช้านี้หรือไม่?”
ฉีเยี่ยนที่ทั้งเหนื่อยและตื่นตระหนกเต็มที่ เมื่อได้ยินคำฉู่เหลียนนั้น สีหน้านางพลันซีดขาวและมองของในกล่อง ก่อนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้นายหญิงสามสวมหยกเครื่องรางจริง ๆ ทว่ายามนี้กลับไม่อยู่ในกล่องเสียแล้ว
“นายหญิงสาม ตอนบ่าวเก็บเครื่องประดับ บ่าว… บ่าวไม่เห็นหยกเครื่องรางเลย…”
อะไรนะ!
ฉู่เหลียนล้มพิงผนังรถม้า เหตุการณ์ในนิยายต้นฉบับแล่นเข้ามาในใจ หยกเครื่องรางนำโชคเป็นของขวัญจากเฮ่อเหล่าไท่จวินในวันยกน้ำชา หลังจากนั้น ‘ฉู่เหลียน’ ก็มอบมันให้แก่เซียวป๋อเจี้ยน เป็นของแทนตัวนางและสัญลักษณ์แห่งความรักของคนทั้งสอง
หลังจากวันนั้น เซียวป๋อเจี้ยนก็ห้อยมันติดเอวตลอดเวลา แน่นอนว่าเฮ่อฉางตี้บังเอิญไปเห็นเข้า จึงทะเลาะกับ ‘ฉู่เหลียน’ ทันทีที่ถึงจวน
ทว่า ‘ฉู่เหลียน’ กลับไม่ใส่ใจความเกรี้ยวกราดของเฮ่อฉางตี้แม้แต่น้อย ทั้งนางยังลอบนัดพบกับเซียวป๋อเจี้ยนอีก
ฉู่เหลียนเริ่มปวดหัว เซียวป๋อเจี้ยนคงไม่บังเอิญเก็บเครื่องรางหยกนั่นได้หรอกจริงไหม? ถ้าเหตุเกิดขึ้นจริง นางคงล้างบาปตัวเองไม่หมดแน่ ต่อให้ต้องกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ตาม
ทว่า เมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ระยะทางที่นางวิ่งหนีและหลีกเร้นกายซ่อนตัวจากนักฆ่านั้น ก็อาจไปเป็นได้ว่าคงทำร่วงระหว่างทางกระมัง ถ้ากองกำลังรักษาเมืองเก็บได้คงเอามาคืนนางเอง
ความคิดนี้ทำให้ฉู่เหลียนพอจะใจเย็นลงบ้าง
ทั้งที่ยามนี้ใจนางยังคงปั่นป่วน ขณะที่ฉีเยี่ยนกลับคุกเข่าลงเบื้องหน้านางกะทันหันด้วยความสำนึกผิด “นายหญิงสาม เป็นความผิดบ่าวเจ้าค่ะ! บ่าวรักษาทรัพย์ของท่านได้ไม่ดี โปรดลงโทษบ่าวด้วย!”
ฉู่เหลียนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง แล้วจึงถอนใจ ก่อนจะใช้มือฉุดดึงตัวฉีเยี่ยนขึ้น “เรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับเจ้า เป็นข้าที่ไม่ระวังจนทำเครื่องรางหายไป เพราะตัวเจ้าคงไม่สามารถเฝ้าระวังของทุกชิ้นของข้าได้ตลอดเวลาหรอก ลืมไปเถิด เพียงแค่หยกเครื่องรางชิ้นเดียวเท่านั้น ประเดี๋ยวข้าจะลองถามองค์หญิงต้วนเจี่ยยามไปเข้าเยี่ยมในครั้งหน้า ข้าอาจจะหาเจอก็ได้!”
ฉีเยี่ยนลอบสังเกตสีหน้าฉู่เหลียน พบว่านางไม่โมโหจริง ๆ ทำให้ในใจยิ่งรู้สึกผิด พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่าอารมณ์ของนายหญิงสามดีกว่าแต่ก่อนมากนัก
หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นยามอยู่จวนอิ้ง นายหญิงสามทำอะไรหายไป ย่อมนับเป็นความผิดของสาวใช้ที่ไม่ดูแลสิ่งของของนางให้ดี พวกนางล้วนต้องโทษทัณฑ์ที่รุนแรงมากทีเดียว
ในยามนั้น นายหญิงสามคงถูกเงินทองครอบงำจิตใจเป็นอย่างมาก ทว่ายามนี้นางดูคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องเครื่องประดับเงินทองถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว อาจเพราะนางใจกว้างขึ้นหลังจากออกเรือนกระมัง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉีเยี่ยนก็เริ่มรู้สึกสงสารนายหญิงสามขึ้นมา
ฉู่เหลียนไม่ได้ใส่ใจว่าฉีเยี่ยนจะคิดอะไรต่อ ตอนนี้นางตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ เหตุการณ์ในวันนี้ช่างน่ากลัวนักที่บังเอิญเจอกับเซียวป๋อเจี้ยน ทั้งที่นางเองก็พยายามหลบเลี่ยงเขามาโดยตลอด นางรู้สึกแปลกๆ คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นคอยชักนำเหตุการณ์เหล่านี้ให้เกิดขึ้น
ฉู่เหลียนยื่นปากเล็กน้อย คราวหน้าต้องระวังกว่านี้แล้ว! นางไม่เชื่อหรอกว่าจะหลบเซียวป๋อเจี้ยนนั่นไม่ได้!
นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนโรคจิตอย่างเซียวป๋อเจี้ยนนั่นแม้แต่น้อย วันสบาย ๆ ต่างหากถึงจะสำคัญกว่ามาก และหากใครกล้าทำลายวันสบาย ๆ ของนางย่อมหมายถึงการประกาศตัวเป็นศัตรูกับนาง!
รถม้าเคลื่อนผ่านถนนไปช้า ๆ เมื่อใกล้ถึงจวนจิ่งอัน ฉู่เหลียนก็สั่งเวิ่นหลานให้ทำผมให้นางใหม่ และเปลี่ยนกลับไปสวมใส่เครื่องประดับเมื่อเช้า
ยามอยู่จวนเว่ยอ๋องนางทำผมทรงเดียวกับสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ย่อมต้องเปลี่ยนกลับเมื่อถึงบ้านสามี รวมถึงปิ่นเฟิ่งหวงที่องค์หญิงต้วนเจี่ยมอบให้ก็ถูกนางดึงออก มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นที่ครหาได้
ทว่านางมิได้เปลี่ยนชุดที่องค์หญิงต้วนเจี่ยมอบให้ เนื่องจากไม่มีชุดเก่าให้เปลี่ยน
ข่าวฉู่เหลียนกลับถึงจวนไปถึงเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่ออย่างรวดเร็ว และฉู่เหลียนก็ทราบดีว่านางคงปิดบังเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ได้ จึงนำเวิ่นหลานและฉีเยี่ยนไปยังเรือนชิ่งสี่
โจวซื่อที่รออยู่ได้นำสาวใช้มุ่งหน้าสู่เรือนชิ่งสี่เช่นกัน
ทั้งคู่พบกันที่หน้าทางเข้าโดยบังเอิญ
ฉู่เหลียนสัมผัสได้ว่าโจวซื่อดูจะมีบางอย่างกับนาง จึงยิ่งระมัดระวังการกระทำเสียยิ่งกว่าเดิม
“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ฉู่เหลียนยอบกายคารวะให้แก่โจวซื่อ
โจวซื่อก้าวเข้ามาเพื่อช่วยพยุงอีกฝ่ายลุก ทว่าเมื่อสายตากวาดมองฉู่เหลียนปราดหนึ่งก็จดจำผ้าที่ฉู่เหลียนกำลังสวมใส่อยู่ได้ทันที ร่องรอยสั่นสะเทือนปรากฏในแววตา แต่นางกลับทำเพียงยิ้มกว้าง “น้องสะใภ้สาม ดูคล้ายเจ้าจะใส่เสื้อผ้าคนละชุดกับเมื่อเช้านี้”
ผ้าไหมชนิดนิ่ม!
เครื่องบรรณาการของราชวงศ์!
กระทั่งเชื้อสายราชวงศ์ก็ใช่ว่าจะมีผ้าชนิดนี้ไว้ในครอบครองมากนัก เนื่องจากสิ่งนี้เป็นเครื่องบรรณาการจากดินแดนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของซีหนาน มีเพียงฮูหยินบรรดาศักดิ์เท่านั้นจึงจะสามารถสวมใส่ได้
เต๋อเฟยได้รับผ้าชนิดนี้มาสองพับเมื่อปีก่อน และมอบครึ่งพับให้แก่หวงฮูหยิน ผู้เป็นฮูหยินของติ่งอันซื่อจื่อ หวงฮูหยินได้ใช้ผ้าทั้งหมดมาตัดเป็นชุดเพื่อสวมใส่ไปงานชมกล้วยไม้ ยามนั้นนางจึงดูโดดเด่นเกินใครในหมู่มวลฮูหยินบรรดาศักดิ์ ทั้งยังได้รับคำชื่นชมอีกมาก ทว่ายามนี้ฉู่เหลียนกลับสวมใส่ชุดที่ทำจากผ้าชนิดเดียวกัน
ความปวดตุบก่อขึ้นในหัวฉู่เหลียนอีกครั้ง รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น นางรวบรวมความอดทนทั้งหมดที่มี แล้วค่อย ๆ อธิบายให้โจวซื่อฟัง
“พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นที่จวนเว่ยอ๋อง เข้าเรือนชิ่งสี่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายทุกสิ่งให้ท่านและท่านย่าฟัง ชุดนี้เป็นองค์หญิงต้วนเจี่ยที่ให้ข้ายืมมาสวมใส่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
โจวซื่อตกตะลึง! ชุดขององค์หญิงต้วนเจี่ย!
ฉู่เหลียนไปสนิทสนมกับองค์หญิงต้วนเจี่ยตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดองค์หญิงจึงให้นางยืมชุดที่มีมูลค่ายิ่งเช่นนี้ได้? ดูจากความใหม่นี้แล้ว คาดว่าองค์หญิงเองคงยังไม่เคยสวมมาก่อนแน่
โจวซื่อข่มความตกตะลึงไว้ในใจ เดินตามฉู่เหลียนเข้าเรือนชิ่งสี่
เมื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อฟังแล้ว ฉู่เหลียนก็ลากสารร่างของตนกลับไปเรือนซงเถาเพื่อพักผ่อนโดยมีเหลียวหมัวมัวประคองไปส่ง
ในใจโจวซื่อเมื่อกลับถึงเรือนตนก็รู้สึกถึงความปั่นป่วนที่ถาโถมเข้ามา ไม่คาดว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้กับฉู่เหลียนเพียงแค่ออกไปข้างนอก ยามนี้นางไม่เพียงจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับจวนเว่ยอ๋องได้ ทว่ากระทั่งจิ่นอ๋องผู้ไม่คบหาใครผู้นั้นยังถึงกับเป็นหนี้บุญคุณนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ช้าไม่เร็วฉู่เหลียนคงต้องไปเยือนจวนเว่ยอ๋องอีกแน่ โจวซื่อเริ่มวางแผนในใจ
เมื่อเหลียวหมัวมัวส่งฉู่เหลียนเสร็จ ก็กลับมาเห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขก เทียนส่องประกายก่อเกิดเป็นเงาบนใบหน้า คล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
เหลียวหมัวมัวเดินมาข้างกายเฮ่อเหล่าไท่จวิน และบีบนวดไหล่นางอย่างนุ่มนวล “เหล่าไท่จวินเจ้าคะ ท่านกำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดกับนายหญิงสามวันนี้อยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เหล่าไท่จวินถอนใจยาว “ข้าไม่คาดว่าเด็กคนนั้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงถึงเพียงนี้”
“บางทีอาจเพราะความกล้าหาญ ความเฉลียวฉลาด ความอ่อนโยน และการให้ความสำคัญกับมิตรภาพของนายหญิงสาม มิเช่นนั้นคงมิอาจคิดแผนช่วยเหลือองค์หญิงต้วนเจี่ยในเหตุการณ์เช่นนั้นได้เจ้าค่ะ หากบ่าวได้รับอนุญาตให้เอ่ยต่อ คงต้องขอเอ่ยว่าจิ่นอ๋องปลอดภัยได้ในวันนี้ย่อมต้องขอบน้ำใจนายหญิงสามนัก! เพราะหากมิใช่นายหญิงสามที่ได้ส่งเวิ่นหลานไปตามกองกำลังรักษาเมืองมาช่วยเหลือ พวกเขาจะจับนักฆ่าได้รวดเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร?”