[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 6 สูตรลับ
หมิงเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนเคยเป็นเพียงสาวใช้ขั้นสอง พวกนางจะเคยได้รับโอกาสทานอาหารดี ๆ ได้อย่างไรเล่า? ของเหล่านี้จะถูกยกขึ้นโต๊ะของเหล่าขุนนางเท่านั้น!
พวกนางทั้งสี่หยิบขนมอบคนละชิ้น ก่อนจะบรรจงชิมอย่างระมัดระวัง ทำท่าราวกับต้องหักห้ามมิให้ตนรีบกลืนเข้าไปทั้งชิ้นในคราวเดียว พวกนางทำได้เพียงค่อย ๆ กัดเป็นคำเล็ก ๆ ราวกับขนมอบเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่า
หมิงเยี่ยนและจิ่งเยี่ยนแสดงสีหน้าสุขล้นออกมาโดยไม่สำรวมแม้แต่น้อย
ฉู่เหลียนมองพวกนางอย่างสงสัย หากมิได้ลองชิมมาก่อน นางคงต้องคิดว่าต่อมรับรสของนางผิดเพี้ยนไปแล้วเป็นแน่
“เป็นไง?” ฉู่เหลียนถามเสียงเบา นางไม่อยากรบกวนช่วงเวลาผาสุขของการชิมอาหารของเหล่าสาวใช้นัก
หมิงเยี่ยนพยักหน้ารัวเร็วขณะที่กำลังเลียคราบน้ำตาลที่ติดตามปลายนิ้ว “นายหญิงสามเจ้าคะ สิ่งนี้อร่อยมาก!” เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว ดวงตาของนางก็ยังกวาดมองขนมที่เหลืออยู่บนจานอีกครั้ง ชัดเจนยิ่งว่านางยังต้องการจะกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
ฉู่เหลียน: …
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากบรรดาสาวใช้ว่าสำหรับพวกนางแล้ว ขนมฟักทองนี้อร่อยมาก ฉู่เหลียนก็เริ่มรู้สึกถึงความสิ้นหวัง
ไม่ใช่แล้ว! ขนมฟักทองแค่ชิ้นเดียวก็หวานจนแทบฆ่าคนได้นี่่อร่อยสำหรับสาวใช้พวกนี้งั้นหรือ?
สาวใช้ทั้งสี่ล้วนมาจากจวนอิ้งกั๋วกง แม้อาหารแต่ละมื้อจะไม่ดีเท่าคุณหนูคุณชาย ทว่าก็ยังเทียบกับมื้ออาหารของสามัญชนที่ร่ำรวย หากนี่คือรสนิยมของสาวใช้เหล่านี้ และรสนิยมของพวกนางก็เทียบได้กับมาตรฐานของคนมีเงินในยุคราชวงศ์อู่… แปลว่านี่คือระดับของอาหารดี ๆ ในยุคนี้ใช่ไหม? เลวร้ายไปหน่อยไหม?
ฉีเยี่ยนเห็นว่านายหญิงของนางคล้ายจะเป็นลมเสียให้ได้ จึงขมวดคิ้ว และทึกทักไปเองว่าฉู่เหลียนคงไม่พอใจ จึงกล่าว “นายหญิงสาม พวกบ่าวทำให้ท่านเสียหน้าหรือเจ้าคะ?” เนื่องจากเมื่อครู่พวกนางได้ลิ้มรสขนมหวานแสนอร่อยไป และมิได้เก็บอาการใด ๆ แม้แต่น้อย อาจทำให้นายหญิงเข้าใจตนผิดไป
ฉู่เหลียนส่ายหน้า ฉีเยี่ยนคนนี้เก่งไปเสียทุกเรื่อง ซ้ำยังใส่ใจกับการทำงานอย่างเต็มที่ ทว่านางกลับเป็นคนที่คิดมากจนเกินไป
“จะได้อย่างไรกัน? ก็แค่ของว่างธรรมดา ในใจพวกเจ้า นายหญิงเป็นคนขี้หวงหรือ”
พวกนางรีบส่ายศีรษะ เกรงว่าฉู่เหลียนจะเข้าใจผิด
“ไม่มีอะไรผิดหรอก เหตุใดต้องทำหน้าเหมือนคนกำลังทำความผิดด้วยเล่า? หากพวกเจ้าชอบ ก็เอาที่เหลือไปแบ่งกันกินเสีย” ฉู่เหลียนยิ้ม
ดวงตาของจิ่งเยี่ยนเบิกกว้าง นางมีเขี้ยวเล็ก ๆ จึงแลดูน่ารักเป็นพิเศษยามนางยิ้ม “นายหญิงสาม หากท่านมอบสิ่งนี้ให้พวกเรา แล้ว… ท่านจะทานอะไรเจ้าคะ?”
ฉีเยี่ยนที่อุตส่าห์ไปร้องขอของว่างแสนพิเศษจากในครัวมาให้นายหญิงของตน พลันหวาดวิตกและไม่อาจปล่อยให้นางหิวโซได้
ฉู่เหลียนเท้าคางบนมือเรียวเล็ก ตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ “ข้าไม่ชอบ รสชาติของสิ่งนี้ไม่ถูกปากข้า”
“แต่… นายหญิงสามเจ้าคะ ตอนท่านอยู่จวนอิ้ง ท่านชอบขนมอบเช่นนี้มากมิใช่หรือ?” ฉีเยี่ยนถามเมื่อรู้สึกแปลกไป
สีหน้าของฉู่เหลียนตะลึงงันไปชั่วขณะ บ้าเอ๊ย นางลืมไปเลยว่าฉีเยี่ยนกับฝูเยี่ยนเป็นสาวใช้ส่วนตัวของนางเอก จึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวนางเอกด้วย
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบของหวาน แต่ขนมพวกนี้ไม่ได้อร่อยถึงเพียงนั้น” ฉู่เหลียนทำได้เพียงตอบอย่างซื่อสัตย์ต่อพวกนาง
ฝูเยี่ยนแอบแค่นเสียงหัวเราะอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย
ในฐานะที่นางเป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูหก ฝูเยี่ยนรู้ดีว่ายามที่คุณหนูหกอยู่จวนอิ้งนั้นเป็นเช่นไร หากห้องเครื่องมอบของว่างให้เล็กน้อยก็นับว่าดีแล้ว พวกนางเคยมีโอกาสเลือกทานด้วยหรือ?
ตอนนี้เมื่อนางแต่งเข้าสู่จวนขุนนางเป็นนายหญิงสาม นางกลับเริ่มเลือกทานหรือ?
นางจะวางท่าให้ใครดูกัน?
ฉีเยี่ยนและสาวใช้อีกสองนางต่างมองฉู่เหลียนอย่างแปลกใจ แทบไม่อยากเชื่อว่านายหญิงจะกล่าวเช่นนั้น
สวรรค์! นายหญิงของพวกนางเลอะเลือนไปแล้วหรือ นางคิดจริง ๆหรือว่าของว่างของจวนจิ่งอันไม่อร่อยพอ?
แม้กระทั่งฮองเฮายังไม่อาจกล่าวเช่นนั้น
แม่ครัวที่ทำของว่างในจวนจิ่งอันนั้นมีชื่อเสียงในวงขุนนางไปทั้งเมืองหลวง มีเพียงโอกาสพิเศษเท่านั้นที่ครอบครัวขุนนางผู้ใกล้ชิดกับจิ่งอันป๋อจะได้รับเกียรติรับของขวัญเป็นกล่องของว่างจากจวนจิ่งอัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจวนจิ่งอันจะไม่ส่งของขวัญเช่นนี้ให้ใคร หากต้องการรับโอกาสชิมของว่างแสนอร่อยเหล่านี้ คนคนนั้นจำต้องมาเยือนจวนจิ่งอันในฐานะแขกเท่านั้น
แน่นอนว่าฉู่เหลียนไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แม้นี่จะเป็นจักรวาลในนิยายที่นางอ่าน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เพราะนิยายนั้นไม่อาจบรรยายทุกสิ่งลงไปได้ ดังนั้นเรื่องอย่างเช่นพ่อครัวขนมหวานผู้มีชื่อเสียงนี้จึงไม่ได้ถูกกล่าวถึง
“นายหญิงสามล้อเล่นอยู่หรือเจ้าคะ?” หมิงเยี่ยนถามเสียงเบา
ฉู่เหลียนส่ายหน้าและยืนขึ้น นางมองไปรอบห้อง เหลือบเห็นส้มกิมจ้อที่ยังจัดเรียงอยู่บนโต๊ะตั้งแต่ตอนพิธีแต่งงาน นางจึงเดินไปหยิบขึ้นมาผลหนึ่ง ก่อนจะเรียกหาสาวใช้คนสนิท
“ฉีเยี่ยน มานี่”
ฉีเยี่ยนเดินมาอยู่ข้างนางโดยทันที
ฉู่เหลียนแกว่งส้มกิมจ้อผลเล็ก ๆ ที่เบื้องหน้าของฉีเยี่ยน “เห็นส้มกินจ้อนี่ไหม?”
ฉีเยี่ยนไม่รู้ว่านายหญิงสามต้องการอะไร จึงได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ
“เอาพวกนี้ไปล้าง แล้วเอาเกลือขัดผิวส้มสักครู่แล้วล้างอีกที ใช้มีดเล่มเล็กบากส้มกิมจ้อแต่ละผลเป็นสี่แฉก แล้วแกะเม็ดออกมาให้หมด หลังจากนั้นก็เอาส้มไปเคี่ยวในน้ำเชื่อมจนกว่าจะเริ่มเป็นสีใส จากนั้นก็ยกขึ้น เอาไปดองในน้ำผึ้งสักสองชั่วโมง” ขณะกล่าวฉู่เหลียนก็ชี้ให้ดูว่าต้องผ่าส้มตรงไหน และสอนวิธีแกะเมล็ดให้แก่ฉีเยี่ยน
เหล่าสาวใช้ต่างตกตะลึง เมื่อฉู่เหลียนสอนเสร็จ พวกนางจึงได้สติอีกครั้ง ฉีเยี่ยนมิได้รีบนำส้มกิมจ้อออกไปทำของว่างทันที ทว่านางกลับนั่งลงคุกเข่ากระแทกพื้น
ฉู่เหลียนตกใจ “เป็นอะไรไป เจ้าจะคุกเข่าทำไม?” ไม่ว่าอย่างไรนางก็มาจากยุคปัจจุบัน และไม่อาจทำใจให้ชินกับการที่ผู้คนในยุคราชวงศ์อู่ที่ชอบคุกเข่ากับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
สาวใช้อีกสามคนที่เหลือมองฉีเยี่ยนอย่างอิจฉา
ฉีเยี่ยนเงยหน้าขึ้นที่ปลายหางตานั้นกลับมีสีแดงระเรื่อ “ฉีเยี่ยนขอบคุณนายหญิงสามที่สอนสูตรลับนี้ให้บ่าวเจ้าค่ะ! ฉีเยี่ยนจะเก็บสูตรนี้เป็นความลับตลอดกาล! ปากของบ่าวจะปิดสนิทเจ้าค่ะ!”
ฉู่เหลียน: …
ฉู่เหลียนไม่รู้จะเอ่ยคำใด นางแค่อยากทานส้มกิมจ้อเชื่อม ผนวกกับความขี้เกียจที่มี จึงเลือกสอนวิธีทำให้แก่ฉีเยี่ยน สูตรการทำส้มกิมจ้อเชื่อมนี้ก็ง่ายแสนง่าย ดูเพียงครั้งเดียวก็ทำได้แล้ว ทว่าสาวใช้เหล่านี้กลับแสดงท่าทีออกมาราวกับมันเป็นสูตรลับอันยิ่งใหญ่ของโลกอย่างไรอย่างนั้น จึงอดมิได้ที่เจ้าของสูตรลับกิมจ้อเชื่อมที่ลักจำมาอีกทีจะรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ในโลกยุคปัจจุบัน คุณสามารถค้นหาสูตรอาหารอะไรก็ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งผลการค้นหาก็น่าจะขึ้นมาเยอะเสียจนทำให้หัวหมุนเอาได้ เพราะไม่รู้ว่าจะใช้สูตรไหนดี สาระอยู่ที่คุณจะขี้เกียจเกินกว่าจะทำอาหารเองหรือไม่
สิ่งที่ฉู่เหลียนไม่รู้ก็คือ ในยุคสมัยราชวงศ์อู่ การรับประทานอาหารที่ถูดจัดมาอย่างประณีตสวยงาม พร้อมกับการฟังดนตรีสดนั้นเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยยิ่ง และเป็นอภิสิทธิ์เฉพาะสำหรับเหล่าชนชั้นสูงเท่านั้น
ฝีมือการทำครัวจะถูกตัดสินด้วยคุณภาพ มิใช่ปริมาณ สูตรอาหารลับต่าง ๆ จะถูกสืบทอดต่อกันแค่ในตระกูลขุนนางที่ยิ่งใหญ่ โดยถือเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการสร้างสรรค์อาหารที่หรูหรา ใช้แสดงถึงชีวิตอันร่ำรวยของแต่ละตระกูล
ในแต่ละตระกูลต่างก็มีสูตรอาหารลับของตนเพียงหนึ่งหรือสองสูตร ภริยาของขุนนางที่สนิทสนมกันก็อาจมีการแลกเปลี่ยนสูตรลับต่อกัน ซึ่งถือเป็นการแสดงความเป็นมิตรไมตรี
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสูตรอาหารลับนั้นล้ำค่าถึงเพียงใดสำหรับผู้คนในยุคสมัยราชวงศ์อู่ ด้วยเหตุนี้ตระกูลที่ได้รับของว่างอันเป็นสัญลักษณ์ของจวนจิ่งอันจึงได้ภาคภูมิใจยิ่ง และแม้ว่าของว่างเหล่านี้จะถูกส่งให้แก่จวนขุนนางแทบทุกจวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทว่าจวนจิ่งอันป๋อก็ยังสามารถรักษาสูตรลับเหล่านี้ไว้ได้
ดังนั้นสิ่งที่ฉู่เหลียนสอนแก่สาวใช้อยู่นี้จึงนับว่าเป็นสูตรลับด้วยเช่นกัน
มารดาของคุณหนูหกตระกูลฉู่จากไปตั้งแต่นางยังเยาว์วัย หญิงรับใช้ทั้งสี่ต่างก็เติบโตในจวนอิ้ง แต่กลับแทบไม่เคยได้ยินเรื่องราวของฮูหยินสามแห่งจวนอิ้งกั๋วกง
ฮูหยินสามเป็นภรรยาคนแรกของนายท่านสอง นางเกิดในตระกูลบัณฑิต ทว่าโชคไม่ดีนัก ท่านตาและท่านยายของฉู่เหลียนนั้นมีส่วนพัวพันกับการกบฏของแม่ทัพเฉิงผิง ส่งผลให้สถานะของตระกูลตกต่ำลง
ในช่วงเวลานั้นฮูหยินสามกำลังตั้งครรภ์ฉู่เหลียนอยู่ เมื่อนางได้ยินว่าตระกูลของนางตกต่ำลงเพียงไร ก็พลันล้มป่วยจากอาการตกใจ ส่งผลให้กระทบกระเทือนต่อครรภ์ ภายหลังนางคลอดบุตรีผู้นี้ออกมาอย่างยากลำบาก และเมื่อฉู่เหลียนอายุได้เพียงหนึ่งปี ฮูหยินสามก็ละทิ้งสายใยต่อโลกนี้ไป
แม้จะจากไปแล้ว ทว่าก็มีคำร่ำลือว่านางได้ทิ้งสมบัติล้ำค่าไว้ให้แก่คุณหนูหก
ดังนั้นหญิงรับใช้ทั้งสี่จึงมิได้เคลือบแคลงสงสัยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดฉู่เหลียนจึงรู้วิธีทำส้มกิมจ้อเชื่อม พวกนางต่างคาดว่าสิ่งที่ฮูหยินสามทิ้งไว้ให้ฉู่เหลียนคงเป็นสูตรลับนี้เป็นแน่
นักทำขนมหวานชื่อดังแห่งจวนจิ่งอันนั้นโด่งดังจากขนมแค่สองสามชนิด จึงเป็นเหตุให้สาวใช้ทั้งสี่ปฏิบัติราวกับการที่ฉู่เหลียนสอนสูตรลับให้ฉีเยี่ยนนั้นเป็นเรื่องจริงจังยิ่ง
แน่นอน ฉู่เหลียนก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อยอยู่ดี หากนางรู้เข้าคงได้ระเบิดหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่เป็นแน่
นางแค่บังเอิญทะลุมิติเข้ามาในหนังสือบ้านี่โดยไม่ได้เอาอะไรจากยุคปัจจุบันติดตัวมาด้วย แม้นางไม่มีสิ่งของอื่นใดที่จะช่วยเหลือนางได้ แต่นางยังมีเจ้า ‘สูตรลับ’ พวกนี้นอนกลิ้งไปมาอยู่ในสมองอีกเป็นตัน!
ฉู่เหลียนยังไม่เข้าใจว่าทำไมฉีเยี่ยนจึงได้ดีอกดีใจกับสูตรอาหารง่าย ๆ อย่างส้มกิมจ้อเชื่อมนี่นัก แต่นางก็ไม่ได้คิดหาเหตุผลอื่นใด นับตั้งแต่มายังโลกใบนี้ ก็หาใช่เรื่องดีนัก หากนางจะสงสัยเรื่องนู้นเรื่องนี้จนมากเกินไป ทั้งที่ความจริงก็ควรรู้อยู่แล้ว
นางโบกมือไล่ฉีเยี่ยน “เอาล่ะ หยุดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้แล้ว เจ้ารีบไปทำส้มกิมจ้อเชื่อมมาให้ข้าเสีย”
ฉีเยี่ยนปาดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดมือพลางสูดจมูกฟุดฟิด แล้วตอบกลับนายหญิงอันเป็นที่รักอย่างมีความสุข “เจ้าค่ะนายหญิงสาม โปรดนั่งรอเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะรีบกลับมา”
ฝูเยี่ยนมองฉีเยี่ยนจากไปอย่างอิจฉาสุดขีด ดวงตาเปี่ยมด้วยโทสะ และหันมารับใช้ฉู่เหลียนต่อด้วยความอิจฉาระคนหงุดหงิด
นางพลั้งปากอย่างเป็นนัย “นายหญิงสามเจ้าคะ ท่านเอาใจใส่ฉีเยี่ยนดีนัก! กระทั่งสอนสูตรลับให้นางเช่นนั้น!”
ฉู่เหลียนเลิกคิ้วขึ้นขณะจิบน้ำอุ่น นางหันไปทางฝูเยี่ยน “หืม ฝูเยี่ยนก็อยากเรียนวิธีทำขนมด้วยหรือ?”
ดวงตาของฝูเยี่ยนเบิกกว้างขึ้น ทว่าเสียงเอื้อนเอ่ยถามจากผู้เป็นนายฉุกให้นางได้สติ นางจึงรีบกดความละโมบลงในใจ แล้วกล่าว “บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนไม่ได้พูดอะไรอีก นางเห็นแววผิดหวังที่วาบขึ้นในตาของฝูเยี่ยน
นางไม่อยากตัดสินนิสัยของบ่าวรับใช้คนใด เพียงเพราะแค่อ่านจากในนิยาย บางครั้งเส้นแบ่งระหว่างคนดีและคนชั่วก็ไม่ได้มีอยู่จริง คนชั่วอาจกลายเป็นคนดี หากเขาเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นนางจึงไม่อยากจะตัดสินบ่าวรับใช้เหล่านี้เร็วจนเกินไป นางเพียงต้องการนำทางหญิงรับใช้เหล่านี้ให้ดีที่สุด ก่อนที่พวกนางจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไป
ฉีเยี่ยนรีบเร่งดำเนินงานอย่างรวดเร็ว ก่อนยามอู่[1] ส้มกิมจ้อเชื่อมก็เป็นอันสำเร็จ
ของหวานชนิดนี้ทำได้ค่อนข้างง่าย
ฉีเยี่ยนวางชามกระเบื้องที่เต็มไปด้วยส้มกิมจ้อเชื่อมลงตรงหน้าฉู่เหลียน แก้มแดง ๆ ของฉีเยี่ยนถูกฉาบไปด้วยความเขินอาย นางกล่าวกับฉู่เหลียนด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น “นายหญิงสาม ท่านลองรับประทานดูเจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งลองทำเป็นครั้งแรก เกรงว่าจะทำได้ไม่ดีนัก”
โดยปกติแล้ว ส้มกิมจ้อนั้นจะมีสีทอง ทว่าหลังจากเชื่อมและแช่ในน้ำผึ้งแล้ว พวกมันก็กลายเป็นสีส้มใส เนื่องจากต้องบากเป็นสี่แฉกเพื่อเอาเมล็ดออก มันจึงแบะอ้าออกเล็กน้อยหลังเชื่อมเสร็จ รอยบากนี้ยังตัดส้มกิมจ้อหนึ่งผลออกเป็นสี่ชิ้น ทำให้ส้มกิมจ้อเชื่อมที่วางอยู่ในชามกระเบื้องสีขาวนั้นแลดูงามราวกับดอกไม้ที่กำลังจะผลิบาน เมื่อถูกวางลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมหวานรัญจวนที่เจือด้วยกลิ่นซิตรัสและน้ำผึ้งก็ลอยอบอวลไปทั่ว
…………………………………………………………………………….
[1] ยามอู่ คือช่วงเวลา 11 โมงเช้า
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816