[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 58 สีซอให้ควายฟัง
ยามบ่าย ช่วงนี้ร้านน้ำชาเต๋อเฟิงไม่ค่อยมีคนมากมายนัก องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนที่เพิ่งมาถึงจึงได้เลือกห้องส่วนตัวที่ต้องการ และยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วยามก่อนการแสดงจะเริ่ม
เวลาเดียวกันกับที่พวกนางมาถึง บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดบนชั้นสอง ห้องนี้ช่วยให้สามารถมองเห็นทุกอย่างในร้านน้ำชาได้เป็นอย่างดี บุรุษผู้นั้นก็คือเซียวป๋อเจี้ยน ดวงตาของเขาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความหวังขณะกวาดตามองไปทั่วทุกซอกหลืบ จับจ้องมองหาเพียงสตรีผู้หนึ่งที่เขารอคอย
นางมาจริง ๆ! เหลียนเอ๋อร์มาจริง ๆ!
เซียวป๋อเจี้ยนจับถ้วยน้ำชาแน่นขึ้น ห้ามความตื่นเต้นของตนแทบไม่อยู่ ของเหลวในถ้วยกระฉอกจากความสั่นสะท้านของมือ เขาจิบน้ำชาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งถ้วย… ก่อนจะมองสตรีที่มากับฉู่เหลียน ทั้งคู่มีส่วนสูงเท่า ๆ กัน ทว่าไม่ผิดคนแน่นอน เมื่อจำได้ว่าผู้นั้นคือใคร รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ จางหาย
ดวงตาหรี่ลง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงต้วนเจี่ยจึงมากับฉู่เหลียนได้ ทั้งคู่ดูคล้ายจะสนิทสนมกัน ทั้งยังพูดคุยและหัวเราะกันแทบตลอดเวลา
อีกทางหนึ่งในร้านเต๋อเฟิง จิ่นอ๋องและถังเหยียนเลือกห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกับขององค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียน ทั้งคู่ค่อย ๆ นั่งลงในห้องโดยไม่ให้เป้าหมายจับได้
ทันใดนั้นเว่ยเจี่ยก็ปรากฏขึ้นจากเงามืดในห้องส่วนตัวของเซียวป๋อเจี้ยน ถามอย่างเคารพ “นายท่าน? ”
เซียวป๋อเจี้ยนมองไปยังห้องของฉู่เหลียน จากนั้นหันไปกระซิบสั่งการกับเว่ยเจี่ย หลังจากนั้นผู้รับคำสั่งก็รุดออกไป
ในห้องส่วนตัวของสองสาว ฉู่เหลียนและองค์หญิงต้วนเจี่ยประคองถ้วยชาไว้ในมือ ก่อนจะยกขึ้นจิบน้ำผสมน้ำผึ้งอุ่น ๆ นั้นเข้าปากด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางมองสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางจึงรู้สึกสนิทสนมกับฉู่เหลียนนัก
เมื่อนึกไปถึงคนชงชาที่พวกนางไล่ออกจากห้องก่อนหน้านี้ ริมฝีปากขององค์หญิงต้วนเจี่ยก็หยักยกเป็นรอยยิ้ม “นี่ ฉู่เหลียน เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบเซนฉะเล่า? ”
“รสชาติซับซ้อนเกินไป หม่อมฉันจึงไม่ชอบเพคะ”
ผู้คนในช่วงนี้ส่วนมากล้วนนิยมเซนฉะ โดยเฉพาะขั้นตอนของการชงเซนฉะ บางคนมีการทำสิ่งที่คล้ายศิลปะบนฟอง ทั้งเติมเครื่องเทศมากมาย แบ่งชาออกเป็นหลากชนิดเพื่อให้เกิดเป็นรสชาติที่แตกต่าง ทว่าฉู่เหลียนกลับกล่าวว่าขั้นตอนเหล่านี้ ’ซับซ้อนเกินไป’ ราวกับการทำเรื่องเล็ก ๆ เช่น การชงเซนฉะนั้นเป็นเรื่องวุ่นวายโง่งมอย่างไรอย่างนั้น น่าสนใจนัก!
องค์หญิงต้วนเจี่ยคิดว่าที่ฉู่เหลียนไม่ชอบเซนฉะ เนื่องด้วยนางรู้จักสิ่งอื่นที่ดีกว่า
“ฉู่เหลียน แล้วชาแบบใดที่เลิศรสกว่าเซนฉะ? ”
องค์หญิงต้วนเจี่ยถามขึ้นกะทันหัน ฉู่เหลียนตอบทันทีโดยไม่คิด “ชาหมิงเฉียนและอวี้เฉียน…”
พูดไม่ทันจบ ฉู่เหลียนก็คิดได้ว่าตนทำเรื่องยุ่งเข้าเสียแล้ว จึงหยุดกลางคัน
ในยุคราชวงศ์อู่นี้ยังไม่มีชาเขียวดี ๆ ด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องพูดถึงชาชั้นสูงดั่งเช่นชาภูเขาอย่างหมิงเฉียนและอวี้เฉียน แต่ในตอนนี้นางเพิ่งจะหาเรื่องใส่ตัวไปหรือไม่นะ?!?
ฉู่เหลียนรู้สึกเสียใจที่ตนพลั้งปากไปเสียแล้ว
องค์หญิงต้วนเจี่ยเห็นฉู่เหลียนหยุดพูดกลางคัน จึงรีบถามต่อทันที “นี่ ฉู่เหลียน เจ้าจะหยุดพูดไปเฉย ๆ เช่นนี้มิได้! ชาหมิงเฉียนที่เจ้าพูดถึงคืออะไรกัน? อธิบายให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้! ”
ฉู่เหลียนงุนงงพลางคิดหาคำอธิบายต่อ ก็จะไปอธิบายได้อย่างไรเล่า? ที่นี่ยังไม่มีไร่ชาที่ดีเลยด้วยซ้ำ หากนางยังอธิบายต่อ องค์หญิงจะเป็นฝ่ายพูดไม่ออกหรือไม่?
ระหว่างกำลังกังวลอยู่ว่าจะอธิบายให้องค์หญิงฟังอย่างไรดีอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
องค์หญิงต้วนเจี่ยหันไปมองสาวใช้ส่วนตัว สักครู่สาวใช้ผู้นั้นก็กลับเข้ามา พร้อมพนักงานผู้หนึ่ง
“องค์หญิงเพคะ พนักงานยกขนมมาเพคะ”
องค์หญิงต้วนเจี่ยพยักหน้า พนักงานของร้านเต๋อเฟิงก็รีบวางของว่างพิเศษของร้านลงบนโต๊ะ ก่อนจะนำเอาขวดทรงรีออกจากกล่องแล้วอธิบายอย่างมีมารยาท “เรียนท่านลูกค้าผู้ทรงเกียรติขอรับ ขวดนี้เป็นของขวัญจากทางร้านเรา ภายในคือเหล้าหมักน้ำผึ้ง มอบให้เนื่องในโอกาสพิเศษของทางร้าน ลูกค้าทุกท่านจะได้รับของขวัญเช่นนี้คนละชุด โดยสุราชนิดนี้ผ่านการหมักบ่มด้วยสูตรลับที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของทางตระกูลเถ้าแก่ จึงมีรสชาติที่ดียิ่งนัก พวกท่านต้องการลองดื่มเลยหรือไม่ขอรับ? ”
องค์หญิงต้วนเจี่ยชอบลองสิ่งใหม่ ๆ ทว่าฉู่เหลียนกลับไม่ได้สนใจนัก แต่ด้วยสีหน้าสนใจขององค์หญิงแล้ว นางจึงหลีกหนีการร่วมดื่มด้วยเสียมิได้
องค์หญิงต้วนเจี่ยพยักหน้า สาวใช้ของนางจึงหยิบถ้วยเหล้าน้ำผึ้งขึ้นมาจิบก่อน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงส่งสัญญาณให้พนักงานรินเหล้าให้คุณหนูทั้งสอง
ฉู่เหลียนจิบเหล้าเพียงเล็กน้อย มันมีรสหวานกลมกล่อม และยังมีกลิ่นองุ่นอ่อน ๆ นางไม่คาดว่ารสชาติจะออกมาเยี่ยมยอดดังที่พนักงานกล่าวไว้ รสของแอลกอฮอล์จัดได้ว่าบางเบา เหมาะสมกับสตรียิ่ง และรสชาตินั้นถือว่าไม่แพ้เหล้าผลไม้ร้านเยว่หวงแม้แต่น้อย
เมื่อพนักงานออกจากห้องไป องค์หญิงต้วนเจี่ยก็ยังดื่มเพิ่มอีกหลายแก้ว น้ำผสมน้ำผึ้งนั้นจัดว่าอ่อนไป หากเทียบกันแล้วเหล้าน้ำผึ้งนี้ถูกปากนางมากกว่า
ทั้งคู่นั่งคุยกันต่อเรื่องเพลงที่มักถูกบรรเลงในร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ตามที่องค์หญิงต้วนเจี่ยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้ทางร้านจะเล่นเพลง “เฟิ่งหวงหาคู่” ซึ่งจะบรรเลงเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ไม่ทันไรก่อเกิดเสียงติ๊งเบา ๆ ที่ได้ยินกันถ้วนทั่วร้าน แล้วดนตรีก็เริ่มบรรเลง
องค์หญิงต้วนเจี่ยสั่งสาวใช้ส่วนตัวให้เปิดหน้าต่างและผ้าม่าน จากช่องว่างระหว่างผ้าม่านนั้น พวกนางสามารถมองเห็นโถงหลักและการแสดงที่ดำเนินอยู่ได้ชัดเจน
องค์หญิงต้วนเจี่ยเห็นว่าแปลกนัก จึงเอ่ยถามลอย ๆ “ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเริ่มแสดงเสียแล้วเล่า? ”
ฉู่เหลียนไม่เคยมาร้านเต๋อเฟิงมาก่อน ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความไม่รู้
นางไม่มีความสนใจด้านดนตรีสักนิด อย่างเก่งก็ทำได้เพียงบอกว่าเพลงนั้นดีไม่ดี ทว่าหากโดนถามว่าทำไมเพลงนี้ดี นางก็คงตอบไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะฟังเพลงนั้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือสิบครั้งก็เถอะ!
ทำนองหรือตัวโน้ตน่ะหรือ ลืมไปเสียเถอะ
ฉู่เหลียนจิบเหล้าน้ำผึ้ง ทำทีเหมือนจะเข้าใจในบทเพลง ที่จริงใครจะไปสนว่าเฟิ่งหวงจะหาคู่หรืออย่างไรกัน? เหล่านี้ล้วนไม่สำคัญกับนางสักนิดไม่ว่าการแสดงนั้นจะดำเนินไปเท่าใดหรือเพลงนั้นจะมีความหมายหรือไม่
กลับเป็นสาวใช้ขององค์หญิงต้วนเจี่ยที่ส่งเสียงตกตะลึง นางกระซิบ “องค์หญิง นายหญิงสาม คล้ายว่าวันนี้จะไม่ใช่การแสดงปกติเสียแล้วเพคะ”
เสียงดนตรีเปี่ยมอารมณ์ดังกังวานในอากาศ เสียงดนตรีนั้นมีความหนักแน่น ทุก ๆ ตัวโน้ตถูกดีดอย่างแม่นยำจนน่าเหลือเชื่อ แค่ฟังไม่ว่าใครก็รู้ว่านักแสดงผู้นี้ต้องมีความสามารถในการเล่นกู่ฉินได้ดีเป็นแน่แท้
องค์หญิงต้วนเจี่ยหัวเราะ “เพลงนี้บรรเลงเพียงเดือนละครั้งย่อมต้องไม่ใช่นักดนตรีทั่วไปเป็นแน่ ดังนั้นไม่ใช่ว่าจำต้องฝึกฝนตลอดเวลาหรอกหรือ? เกรงว่านี่คงจะเป็นเพียงคนโง่งมในความรักที่ถือโอกาสนี้เพื่อสารภาพรักเสียมากกว่า! ”
องค์หญิงต้วนเจี่ยพูดตรงเป้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่มีคนใช้เพลง ‘เฟิ่งหวงหาคู่’ เพื่อสารภาพรักในร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ผู้คนยังทราบว่าการทำเช่นนี้เป็นเพียงการเอาใจสตรีอย่างถึงที่สุด
ฉู่เหลียนเงยหน้า ดวงตาเปล่งประกาย ใครจะคิดว่าบทเพลงธรรมดาจะมีเรื่องราวน่าสนใจแบบนี้ด้วยล่ะ? น่าสนุกจัง!
ผู้หญิงล้วนเหมือน ๆ กันไม่ว่าจะยุคไหน เมื่อได้กลิ่นเรื่องให้ซุบซิบ ดวงตาก็พลันเปล่งประกายด้วยความสนอกสนใจอย่างแรงกล้า
ความตื่นเต้นของฉู่เหลียนพุ่งปรี๊ดและเริ่มซุบซิบกันถึงเรื่องเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นในร้านเต๋อเฟิงกับองค์หญิงต้วนเจี่ย นางไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว ว่าอันที่จริงผู้ได้รับคำสารภาพอันเปี่ยมอารมณ์นี้…คือตัวนางเองนั่นแหละ
เซียวป๋อเจี้ยนนั่งอยู่หน้ากู่ฉิน บรรเลงเพลงอ่อนหวานด้วยปลายนิ้ว พยายามส่งอารมณ์ผ่านบทเพลงออกไปให้ได้มากที่สุด ทั้งยังเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถบอกนางอย่างเปิดเผยได้
ขณะกำลังจินตนาการว่าฉู่เหลียนจะประทับใจและตราตรึงใจเพียงใด รอยยิ้มมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเซียวป๋อเจี้ยน
ปลายนิ้วเรียวค่อย ๆ กรีดกรายดีดกู่ฉินด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาคิดว่าเหลียนเอ๋อร์จะไม่ยอมมาพบเขาในวันนี้เสียแล้วจึงไม่มีหวังนัก แต่ใครจะคิด ว่านางมาจริง ๆ
ชั่วขณะที่มองเห็นนาง เขากลับรู้สึกยากที่จะบรรยาย ในใจมีความคิดเพียงหนึ่งเดียว คือฉู่เหลียนยังคงมีความรู้สึกต่อเขา และแม้จะไม่สามารถเอ่ยคำรักต่อหน้านางได้ ทว่าคงทำได้เพียงหยิบยืมพลังแห่งเสียงเพลงแทนคำมั่นว่าดวงใจทั้งดวงของเขาจะเป็นของนางเพียงผู้เดียว และโหยหาแต่เพียงนางตลอดมา
ขณะที่เซียวป๋อเจี้ยนกำลังดื่มด่ำกับความสุขล้นอยู่นั้น ย่อมไม่รู้เลยว่าวิธีสารภาพรักของเขาที่นำมาใช้กับฉู่เหลียนนั้นไม่ต่างจากการเล่นดนตรีให้คนหูหนวกฟัง นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจักรวาลนี้มีเพลงที่เรียกว่า ‘เฟิ่งหวงหาคู่’ อยู่ จนกระทั่งวันนี้ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเพลงนี้เอาไว้สารภาพรัก?
ในห้องส่วนตัวที่อยู่ถัดไป จิ่นอ๋องและถังเหยียนดูคล้ายจะเข้าใจสิ่งที่บุรุษผู้นั้นกำลังสื่อ
จิ่นอ๋องโบกมือให้องครักษ์ผู้หนึ่งแล้วสั่ง “ไปตรวจสอบดูว่าผู้เล่นเป็นใคร”
ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง สายตาจับจ้องไปยังกำแพงราวกับจะแหวกมันออกเพื่อสำรวจสตรีทั้งสอง
เป็นคนไหนกันที่ได้รับเพลงสารภาพรักนี้…?
ยามนี้เพิ่งจะบ่ายกว่า ในร้านเต๋อเฟิงมีสตรีอยู่ไม่มาก ผู้ที่เพิ่งมาถึงมีเพียงนายหญิงสามจวนจิ่งอันและองค์หญิงต้วนเจี่ยเท่านั้น
เมื่อเพลงจบลง เซียวป๋อเจี้ยนก็ค่อย ๆ เก็บของและเปลี่ยนตัวกับนักดนตรีของร้าน องครักษ์หมายเลขหนึ่งจึงถือโอกาสนี้เข้าไปกระซิบรายงานผู้เป็นนายว่าทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว
ริมฝีปากของเซียวป๋อเจี้ยนขยับยิ้ม เขาพยักหน้า
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เดินไปยังห้องที่ไม่มีใครเห็น ใต้แขนเสื้อยาวยังมีกล่องเรียบง่ายใบหนึ่งซ่อนอยู่
เมื่อดนตรีเบาลง องค์หญิงต้วนเจี่ยก็พยักหน้าสองสามครั้ง อดมิได้ให้ชมผู้เล่น “ไม่ต้องเอ่ยถึงหน้าตา เพียงฝีมือการเล่นกู่ฉินยังถือว่าไม่มีสิ่งใดให้ตำหนิ เล่นกู่ฉินได้ถึงเพียงนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ผู้ฟังเช่นข้านับว่าโชคดีแล้ว”
ฉู่เหลียนไม่เข้าใจที่องค์หญิงกล่าวสักคำ บอกได้แค่เพลงนั้นเล่นดีอยู่ ทว่าสำหรับคนที่มาจากโลกยุคปัจจุบันที่เคยได้ยินดนตรีมาทุกรูปแบบ แถมไปคอนเสิร์ตมาหลายที่แล้วนั้น เพลงกู่ฉินโบราณก็นับว่าไม่เลวนัก
นี่คือปัญหาของคนที่เห็นโลกกว้างเกินไป ช่วยไม่ได้นะ
องค์หญิงต้วนเจี่ยหันมามองฉู่เหลียนที่กำลังจิบชาอย่างไม่สนใจ ทำไมนางจึงไม่ขยับทั้งที่ได้ฟังเพลงกู่ฉินเลิศเลอเพียงนี้? ความสงสัยก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จึงถาม “ฉู่เหลียน เจ้าคิดเช่นไรกับผู้เล่นเพลงนี้? ”
ฉู่เหลียนจะไปบรรยายอะไรได้เล่า? นางกระแอม พยายามจะเออออไปกับองค์หญิง “ไม่เลวเลยเพคะ”
องค์หญิงต้วนเจี่ยงุนงงไปชั่วครู่ นางเคยเห็นฝีมือการทำอาหารของฉู่เหลียนมาก่อน จึงคิดว่าฉู่เหลียนต้องมีความสามารถอื่นซ่อนไว้เช่นกัน กระทั่งเพลงที่ดีถึงเพียงนั้นยังได้รับเพียง ‘ไม่เลว’ จากฉู่เหลียนเองนะ? องค์หญิงผู้ดื้อดึงลอบคิดในใจว่าจะต้องบรรเลงเพลงให้ฉู่เหลียนฟังสักครั้งแล้ว
ฉู่เหลียนไม่รู้หรอกว่าคำแนะนำธรรมดา ๆ ของตัวเองจะกลายเป็นแรงบันดาลใจขององค์หญิงไปเสียแล้ว หารู้ไม่ว่าถ้านางรู้สิ่งที่องค์หญิงคิดอยู่ละก็ นางคงรีบพูดความจริงออกไปเสียจนหมด นางจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับการฟังองค์หญิงต้วนเจี่ยบรรเลงดนตรีแทบทุกวัน
ทั้งคู่ยังคงคุยกันอย่างสนุกสนาน กระทั่งจู่ ๆ องค์หญิงก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว
ฉู่เหลียนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจกลัว รีบถามทันที “องค์หญิง ท่านเป็นอะไรหรือไม่? เจ็บป่วยที่ตรงไหนหรือเพคะ? ”
ถูกถามเช่นนั้น องค์หญิงก็หน้าแดง รีบตอบ “ฉู่เหลียนรอข้าที่นี่ประเดี๋ยว ข้าจะขอไปห้องน้ำก่อน”
เห็นองค์หญิงต้วนเจี่ยดูคล้ายกำลังพยายามอดทนอดกลั้นอยู่ ฉู่เหลียนก็พยักหน้ารับทันทีเพื่อให้นางจากไป
เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยจากไปแล้ว ก็เหลือเพียงฉู่เหลียนและฉีเยี่ยนอยู่ในห้อง ส่วนเวิ่นหลานคอยยืนคุ้มกันอยู่ด้านนอก
เวิ่นหลานยืนตัวตรงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความแข็งขัน ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป นางไม่ทันได้โต้ตอบใด เมื่อจู่ ๆ เกิดเจ็บหัวจากแรงกระแทกที่หลังคอกะทันหันและล้มลงสลบไป ร่างกายนั้นเอนพิงกำแพงราวกับเป็นร่างที่ไร้กระดูก
เซียวป๋อเจี้ยนมององครักษ์ของตน ที่หลบหายเข้าไปในเงา ก่อนจะจ้องมองเงาร่างอันงดงามที่มองเห็นผ่านฉากกั้นตั้งแต่หน้าประตู หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ มือจับมีดสั้นใต้แขนเสื้อแน่นขึ้น ก่อนจะดิ่งตรงเข้าสู่ห้อง ผ่านฉากกั้นนั้นไป