[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 57 เป็ดย่างร้านเยว่หวง
ฉู่เหลียนไม่คิดว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยผู้น่ายำเกรงเมื่อครั้นแรกพบที่เรือนเม่ยวันนั้น จะกลายมาเป็นเด็กน้อยที่ทั้งขี้อาย เอาแต่ใจและหยิ่งทระนงได้อย่างน่ารักน่าชังเช่นวันนี้
รอยยิ้มของนางยิ่งกว้างขึ้น “เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”
“ใช่แล้ว เจ้าสามารถทำคุกกี้รูปแมวนั่นให้ข้าได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น! ไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าต้องรับโทษทัณฑ์เป็นแน่!”
ฉู่เหลียนคิดในใจใหม่อีกครั้ง องค์หญิงไม่เพียงแค่มีกิริยาน่ารัก ๆ เช่นนั้น แต่นางยังชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกด้วย
ทั้งสองนั่งทานขนมกับน้ำผสมน้ำผึ้งในห้องรับแขกได้พักหนึ่ง ระหว่างที่คุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่นั้น พระชายาเว่ยอ๋องก็นำผลอิงเถามาเพิ่มในกองขนม เมื่อเห็นบุตรสาวของตนมีท่าทีสนุกสนานอย่างหาได้ยากนัก นางก็ไม่เข้าไปรบกวน เพราะการที่บุตรสาวของตนสนิทสนมกับใครนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
องค์หญิงต้วนเจี่ยเห็นว่าสายแล้ว นางก็กระแอมเบา ๆ แล้วโพล่งขึ้นมา “ฉู่เหลียน ข้ากับเจ้าไปหาอะไรทานที่ข้างนอกดีหรือไม่?”
ฉู่เหลียนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี บุคลิกขององค์หญิงต้วนเจี่ยต่างจากคำร่ำลือมากนัก ปกติหากเชิญแขกมาเรือนก็ควรจะร่วมรับประทานอาหารในจวนมากกว่าออกไปข้างนอกมิใช่หรือ? ทำไมองค์หญิงถึงเอ่ยชวนนางออกไปข้างนอกเล่า?
เห็นฉู่เหลียนไม่ตอบและมัวแต่ทำตาเบิกกว้าง องค์หญิงต้วนเจี่ยจึงได้แต่ทำปากยื่น “ก็ได้ ข้าเพียงแต่อยากไปลองทานเป็ดย่างร้านเยว่หวงเท่านั้น เจ้าจะไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่?”
ร้านเยว่หวงหรือ?
นับเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวง คล้ายกับร้าน ‘เฉียนจู้เต๋อ’ ในโลกยุคปัจจุบันที่โด่งดังในเรื่องของเป็ดย่างเช่นกัน
นอกจากนี้ฉู่เหลียนก็ยังมีร้านกุ้ยหลินของตนเองให้ดูแล การไปดูว่าร้านอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเป็นอย่างไรย่อมเป็นเรื่องดีแน่นอน
นางยิ้มแล้วพยักหน้า
องค์หญิงต้วนเจี่ยสั่งสาวใช้ให้ไปแจ้งต่อพระชายาเว่ยอ๋อง แล้วสั่งหมัวมัวให้ไปเรือนนอกเตรียมรถม้า
องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนเดินทางไปถึงร้านเยว่หวงตั้งแต่ก่อนเที่ยง ทั้งคู่มีสาวใช้ช่วยประคองลงรถม้า ดวงตาของฉู่เหลียนเบิกกว้างขณะกวาดตามองที่รอบกาย
ดังคาด ร้านเยว่หวงนี้ดูไม่ธรรมดาจริง ๆ ที่ตั้งอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของถนนหลักจูเฉว่ ทั้งยังมีลูกค้านับร้อยเข้า ๆ ออก ๆ ทุกวัน จากจุดที่พวกนางอยู่ ฉู่เหลียนก็สังเกตเห็นว่าชั้นหนึ่งโต๊ะเต็มหมดแล้ว
พนักงานต้อนรับพิเศษหญิงผู้หนึ่งปรี่เข้ามาต้อนรับพวกนางตั้งแต่หน้าประตู ซึ่งดูคล้ายว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยจะเป็นลูกค้าประจำของร้านเยว่หวง ทั้งคู่เดินตามพนักงานเข้าไปยังห้องส่วนตัวที่มีป้ายประดับติดที่หน้าห้องว่า ‘สวรรค์’
องค์หญิงต้วนเจี่ยเอ่ยชื่อเมนูอาหารออกมารัวเร็วให้แก่พนักงาน โดยไม่ต้องแปลกใจเลยว่าชื่อทั้งหมดนั้นล้วนเป็นชื่อที่ฉู่เหลียนไม่เคยได้ยินมาก่อน
นางสำรวจการตกแต่งภายในห้องส่วนตัวที่ดูสวยหรูยิ่งนัก มีกระทั่งต้นบอนไซราคาแพงวางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง ถึงกระนั้นแม้การตกแต่งร้านจะหรูหราสูงส่งเพียงใด แต่นางก็ยังต้องดูว่าอาหารที่ยกมาจะเข้ากับรูปลักษณ์ที่หรูหราของร้านนี้หรือไม่
องค์หญิงต้วนเจี่ยนั่งเท้าคาง ดวงตาเฉลียวฉลาดจับจ้องฉู่เหลียน “ฉู่เหลียน เจ้าไม่เคยมาร้านเช่นนี้หรือ?”
ฉู่เหลียนไม่คิดว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยจะเถรตรงเพียงนี้ นางจึงยิ้มและส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกเพคะ!”
‘ฉู่เหลียน’ คนเดิมนั้นไม่สนิทสนมกับบรรดาคุณหนูในจวน ทั้งยังถูกแม่เลี้ยงรังแก จึงไม่มีเงินมากนัก และไม่ต้องคาดเดาถึงการออกมานอกจวนเช่นนี้เลย แม้แต่จะตกรางวัลแก่บ่าวไพร่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการมานั่งในร้านหรูหราเฉกเช่นร้านเยว่หวงนี้ ยิ่งห่างไกลนัก
เมื่อองค์หญิงต้วนเจี่ยได้ยินฉู่เหลียนตอบด้วยหน้าตาใสซื่อ นางก็เดาได้ว่ายามอยู่จวนอิ้ง แม่นางผู้นี้คงมิได้มีชีวิตที่ดีเท่าไรนัก ทว่านัยน์ตาสดใสนั้นก็ไร้ซึ่งร่องรอยความเสียใจ องค์หญิงก็ยิ่งชื่นชมความเป็นคนปล่อยวางของอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าเดิม
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็ทานเสียให้มาก พอเสร็จแล้วเราจะไปร้านน้ำชาเต๋อเฟิงกันต่อ ข้าได้ยินว่าวันนี้มีผู้หนึ่งมาแสดง ‘เฟิ่งหวงหาคู่’ ด้วย”
ยากยิ่งนักที่จะหาคนที่นางสามารถพาตะลอนเที่ยวเล่นด้วยกันได้ ฉู่เหลียนเองก็ไม่ได้คิดมากเรื่องสถานะที่แตกต่างกัน กลับคิดเหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่ชวนกันมาซื้อของมากกว่า ดังนั้นฉู่เหลียนเลยตอบตกลงอย่างไม่คิดมาก
เมื่ออาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ ฉู่เหลียนผู้ตั้งความหวังไว้สูงอดมิได้ให้เบะปาก
บนโต๊ะมีอาหารแนะนำมากกว่าสิบชนิด แต่กลับมีแค่เป็ดย่างเท่านั้นที่ดูผ่านเกณฑ์ ที่เหลือก็เหมือน ๆ กับที่นางเคยทานที่จวนจิ่งอัน
อีกทางหนึ่ง องค์หญิงต้วนเจี่ยกลับมีดวงตาเป็นประกายขณะหยิบอาหารแย่ ๆ พวกนี้ขึ้นมา สาวใช้ส่วนตัวของนางวางเนื้อเป็ดย่างชิ้นหนึ่งลงบนจานให้เรียบร้อยเช่นเดียวกับฉู่เหลียน
ตรงหน้าพวกนางมีจานใบเล็ก ๆ วางอยู่ ใบหนึ่งมีซีอิ๊วดำใส่จนเต็ม ส่วนอีกใบมีเม็ดเกลือใส่จนพูน
องค์หญิงต้วนเจี่ยชี้ไปยังจานสีขาวทั้งสองใบแล้วกล่าว “ฉู่เหลียน เจ้าต้องเอาเป็ดย่างจิ้มในซีอิ๊วดำก่อนแล้วตามด้วยเกลือ ทำเช่นนั้นแล้วอร่อยยิ่งนัก! ลองดูสิ!”
กล่าวจบ นางก็รีบคีบเนื้อเป็ดย่างในจานตนเองจิ้มซีอิ๊วดำแล้วเอาเข้าปาก ก่อนหลับตาพริ้มลิ้มรส
เมื่อทานเสร็จชิ้นหนึ่ง นางก็เม้มปากคล้ายกำลังจดรสชาตินี้ลงในความทรงจำ แล้วจึงหันมามองฉู่เหลียนด้วยสายตาคาดหวัง เห็นดังนั้น ฉู่เหลียนก็ได้แต่ทำตามคำแนะนำขององค์หญิง จิ้มเนื้อเป็ดลงน้ำจิ้ม จิ้มเกลือ แล้วนำเข้าปาก
ฉู่เหลียน:….
ถึงภายนอกเป็ดย่างจะกรุบกรอบ ทว่าภายในกลับไร้รสชาติ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องจิ้มทั้งซีอิ๊วทั้งเกลือ
ทั้งสองอย่างนี้เมื่อจับคู่กันก็ทำให้เนื้อมีรสชาติขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ถือว่าไม่มีค่าอะไรนัก อีกอย่างเกลือหยาบ ๆ ของที่นี่จะไปสู้เกลือป่นของโลกนางได้อย่างไร เม็ดเกลือแต่ละเม็ดสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งเกลือเม็ดใหญ่พวกนี้กลับยิ่งทำให้หนังกรอบๆ ยิ่งเค็มกว่าเดิม ส่วนเนื้อด้านในยิ่งจืดชืดไร้รสชาติโดยสิ้นเชิง ตอนกัดลงไปนางก็รู้สึกเหมือนกำลังทานเกลือเต็มปาก ทำให้การเคี้ยวเป็นเรื่องที่น่าลำบาก นางไม่รับรู้รสชาติของเป็ดแม้แต่น้อย และได้แต่คิดว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าสิ่งนี้อร่อยไปได้นะ?
ฉู่เหลียนคุ้นเคยกับรสชาติที่ไม่เค็มจัดแบบนี้ เป็ดนี่ไม่ถูกปากนางแม้แต่นิด ทว่าองค์หญิงต้วนเจี่ยกำลังมองดูอยู่จึงคายทิ้งไม่ได้ นางรีบ ๆ เคี้ยว รีบ ๆ กลืนด้วยความยากลำบาก และกระแอมขึ้นสองครั้งเพื่อปิดบังท่าทีขยะแขยงของตนเอง แม้สีหน้าจะดูสงบดี แต่ร่องรอยอารมณ์ในดวงตากลับดูสวนทาง
ฉู่เหลียนไม่อยากให้ผู้อื่นเสียน้ำใจ จึงพยายามไม่คิดมาก “ก็ดีเพคะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด องค์หญิงต้วนเจี่ยนิ่วหน้า “สิ่งนี้อร่อยหรือไม่?”
ฉู่เหลียนยิ้มกลบเกลื่อน ทั้งที่ในตอนนี้ปากของนางชาไปเสียหมดเพราะรสชาติพิลึกนี่ สงสัยไปว่ากระทั่งอาหารในรั้วในวังก็คงมีมาตรฐานได้แค่นี้กระมัง
ทันใดนั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็เบิกตากว้าง “ฉู่เหลียน หรือว่า…เจ้าจะรู้วิธีทำเป็ดย่างที่อร่อยกว่านี้?”
ฉู่เหลียนอยากตอบว่าไม่ แต่องค์หญิงต้วนเจี่ยรีบเอ่ยต่อ “อย่าโกหกข้า! ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกท่านพ่อว่าเจ้ารังแกข้า!”
เอ่อ…ฉู่เหลียนไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ องค์หญิงต้วนเจี่ยผู้สูงส่งจะหันมาทำตัวปากไม่ตรงกับใจใส่นางอีกแล้ว
นึกเทียบถึงสถานะของเว่ยอ๋องกับบิดาของตนเองที่เอ้อระเหยลอยชายในตำแหน่งจิ๊บจ๊อย ทั้งที่ตระกูลอิ้งกำลังตกต่ำ ฉู่เหลียนก็ต้องยอมแพ้ บิดาขององค์หญิงมีอำนาจและดูสูงส่งจนเกินไป หากต่างฝ่ายต่างเรียกบิดาออกมา นางก็มีแต่พ่ายแพ้หมดรูป
ฉู่เหลียนรีบตอบอย่างเฉลียวฉลาด “องค์หญิง หม่อมฉันไม่กล้ารับรองว่าเป็ดย่างของหม่อมฉันจะมีรสชาติที่ดีมากนัก ทว่าก็ยังดีกว่าเป็ดย่างร้านเยว่หวงอยู่บ้างเล็กน้อยเพคะ”
ฉู่เหลียนยังยกมือขวาขึ้นทำท่าเอานิ้วออกห่างกันนิดหน่อยให้เห็นว่าต่างกันเล็กน้อยขนาดไหน ปลายนิ้วสองข้างแทบจะแตะกัน
องค์หญิงต้วนเจี่ยไม่คิดว่าคนบ้า ๆ เบื้องหน้าจะรู้วิธีทำเป็ดย่างจริง ๆ ดวงตานางครุ่นคิด “อีกไม่กี่วันข้าจะส่งคนไปเทียบเชิญเจ้ามาที่จวนอีก แล้วเรามาทำเป็ดย่างด้วยกันเช่นนั้นดีหรือไม่?”
แม้ภายนอกองค์หญิงต้วนเจี่ยจะมีสีหน้าจริงจัง แต่ในใจกลับหัวเราะจนคอแทบหัก ฮึ่ม! นางก็รู้อยู่แล้วว่าเป็ดย่างนี่ไม่ได้มีอะไรดี แต่พี่สี่ของนางก็จ่ายเงินไปมากมายเพื่อขอซื้อสูตรลับเป็ดย่างร้านนี้ ตอนนี้แม้แต่ฉู่เหลียนก็ยังสามารถทำได้ดีกว่า ตลกจริง ๆ! เมื่อทำเสร็จแล้วนางจะต้องมอบเป็ดย่างที่ฉู่เหลียนทำให้พี่ชายนางได้ลองลิ้มสักชิ้นหนึ่ง จะได้เห็นเขาโมโหจนแดดิ้นตายไปเลย!
ขณะที่คิดอยู่นั้น องค์หญิงต้วนเจี่ยก็ลืมเสียสนิทเลยว่าทีแรกตนเองเป็นคนอยากมาทานเป็ดย่างร้านเยว่หวงนี้เอง
ทว่า ตอนนี้ฉู่เหลียนก็ประเมินเป็ดย่างออกมาต้อยต่ำนัก ทำให้มันดูไม่อร่อยเป็นทุนเดิม เมื่อต้องฝืนทนทานต่อไป
เดิมทีก่อนหน้านี้ฉู่เหลียนคิดวิตกอยู่หลายอย่างว่า การมาหาองค์หญิงต้วนเจี่ยครานี้จะเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ไม่นึกว่าพวกนางจะได้ใช้เวลาทั้งวันร่วมกันเพื่อกิน
อีกที นางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เป็ดย่างนี้เป็นอาหารเพียงอย่างเดียวจากร้านเยว่หวงที่องค์หญิงทรงโปรด และไม่คิดว่าจานอื่นจะดีไปกว่านี้ ทว่าฉู่เหลียนทำให้นางหมดความสนใจในเป็ดย่างไปเสียแล้ว ทั้งคู่ทานอาหารเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และกลับชอบเหล้าผลไม้หอมหวานที่ทางร้านเยว่หวงแนะนำมามากกว่า จึงดื่มเข้าไปมาก
องค์หญิงต้วนเจี่ยและฉู่เหลียนนั่งคุยกันอย่างมีความสุขในห้องส่วนตัว โดยไม่ทราบเลยว่าทุกคำพูดนั้นได้ยินถึงหูผู้อื่นที่อยู่ห้องติดกัน
ถังเหยียนอดปิดปากไม่ได้ แก้มแดงก่ำขณะพยายามกลั้นหัวเราะ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นยิ้มกว้าง ไอค่อกแค่กสองสามที ก่อนจะกลั้นต่อไปไม่ไหว “ฮ่า ๆ ”
พี่สี่ที่องค์หญิงต้วนเจี่ยคิดถึงคือจิ่นอ๋อง ยามนี้มีสีหน้าไม่พอใจเสียแล้ว ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตวัดมองถังเหยียนอย่างเย็นชา ทำให้อีกฝ่ายตัวสั่นสะท้าน
ถังเหยียนหยุดหัวเราะทันใดเมื่อถูกจ้อง เขายืดตัวตรง ทำหน้าจริงจัง “กระหม่อมขอบังอาจถามท่านอ๋องสี่ ท่านจ่ายค่าสูตรลับเป็ดย่างนี้ไปเท่าไรหรือขอรับ”
สีหน้าของจิ่นอ๋องแข็งทื่อ ดวงตาคมกริบคล้ายมีดทิ่มแทงผู้ถาม “ถังเหยียน บางทีเจ้าคงรู้สึกว่าได้รับเบี้ยหวัดมากไปกระมัง”
ถังเหยียนที่พอจะมีความคิดอยู่บ้าง รีบหุบปากทันที ทว่าเช่นเดียวกับองค์หญิงต้วนเจี่ย ยามนี้เขามิได้อยากทานเป็ดย่างเบื้องหน้าตนอีกแล้ว และคร่ำครวญ “กระหม่อมสงสัยนักว่าสหายขององค์หญิงจะทำเป็ดย่างได้ดีเพียงใด กระหม่อมอยากลองทานดูบ้าง”
จิ่นอ๋องมอบสายตาเย็นชาให้อีกครั้ง “นี่เจ้าเสพติดการทดสอบความกล้าหรือ?”
ถังเหยียนกระแอมไอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกลับไปหัวข้อแรกที่คุยกันค้างไว้ “ท่านอ๋อง เฮ่อซานหลางยามนี้ถึงเหลียงโจวแล้ว นี่เป็นจดหมายที่เขาส่งมาขอรับ”
ถังเหยียนเป็นหนึ่งในบรรดาข้าราชบริพารของจิ่นอ๋อง และเป็นหนึ่งในคนที่เขาเชื่อใจที่สุด
จิ่นอ๋องดึงปึกจดหมายมาจากมือถังเหยียน และอ่านเพียงจดหมายที่เฮ่อฉางตี้เขียนถึงตน อีกสองฉบับส่งให้จวนจิ่งอันเก็บวางไว้ที่ด้านข้าง ประเดี๋ยวค่อยให้คนนำไปส่งจวนจิ่งอันยามเขากลับถึงจวน
“ส่งกลุ่มคนพร้อมม้าไปให้ฉางตี้เสีย”
ถังเหยียนพยักหน้า
เมื่อทั้งคู่จัดการธุระเสร็จ จิ่นอ๋องก็ได้ยินเสียงสตรีห้องข้าง ๆ เตรียมตัวไปดูการแสดงที่ร้านน้ำชาเต๋อเฟิง ก่อนจะคิดได้ว่าในจดหมายนั้น เฮ่อฉางตี้ขอร้องให้เขาช่วย ‘ดูแลฉู่เหลียนเป็นพิเศษ’ จิ่นอ๋องและถังเหยียนจึงลุกขึ้นเตรียมแอบตามเด็กสาวทั้งสองไปร้านน้ำชาเต๋อเฟิง
ที่จริงและ ขณะเฮ่อฉางตี้เขียนคำว่า ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ นั้น เขากำลังกัดฟันกรอด ๆ ด้วยความโมโหเต็มอก พู่กันถึงกับสั่นไหวเหมือนอารมณ์ที่ไม่คงที่ และแทบจะลมจับด้วยความโมโห แต่ใครจะรู้เล่าว่าบางทีจิ่นอ๋องอาจสัมผัสได้ถึงความสับสนและโมโหในใจเหล่านั้น?