[นิยายแปล] ปกรณัมรักข้ามภพ - ตอนที่ 10 เยี่ยมครอบครัวเจ้าสาว (2)
“น้องหญิงหก เจ้าเพิ่งจะแต่งงาน แต่กลับดูเปล่งประกายยิ่งนัก! ที่เรือนนอกนี้มีผู้คนพลุกพล่าน สตรีเช่นเราเข้าไปคุยกันที่เรือนในดีหรือไม่? พี่หรงของเจ้าเพิ่งนำใบชาใหม่จากหยูเป่ยมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เราจะได้จิบชาไป คุยไปอย่างไรเล่า”
หรงฮูหยินช่วยฉู่เหลียนออกมาจากฝูงชน เพียงครู่เดียวสตรีกลุ่มใหญ่ที่ทั้งแต่งงานแล้วและยังไม่แต่งงานต่างก็เดินตามหลังมา
‘ฉู่เหลียน’ คนก่อนนั้นไม่สนิทกับญาติผู้พี่จากบ้านใหญ่เท่าไรนัก จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงฉู่เหลียนคนนี้เลย
นางกำชายเสื้อแน่นและพยายามปลอบใจตัวเอง ตามกฎเกณฑ์และธรรมเนียมของยุคนี้ เมื่อนางถูกตบแต่งเข้าจวนจิ่งอันป๋อแล้ว ก็จะถือว่าเป็นคนของครอบครัวนั้น การกระทำของนางจะไม่ใช่ตัวแทนของจวนอิ้งอีก ทว่าจะถูกนับเป็นการกระทำของจวนจิ่งอันแทน ดังนั้นแม้นางจะกลับมาและถูกรายล้อมด้วยผู้คนจากจวนอิ้ง นางก็ยังเป็นเพียงแขกผู้มาเยือน มิใช่คุณหนูของจวนนี้อีกต่อไป
แม้ความรุ่งเรืองของจวนอิ้งจะเป็นเพียงอดีต แต่ก็ยังถือเป็นจวนขุนนาง นอกจากนี้อิ้งกั๋วกงผู้เฒ่าก็ดูจะโปรดปรานเฮ่อซานหลางยิ่งนัก ไม่ว่าคุณหนูเหล่านี้จะไม่ชอบใจหรืออิจฉาเพียงใด พวกนางก็ไม่กล้าสร้างปัญหาแก่ฉู่เหลียนหรือจวนจิ่งอัน
ในต้นฉบับนิยายนั้น คุณหนูเหล่านี้มิได้สร้างปัญหาใดแก่ ‘ฉู่เหลียน’ เมื่อนางกลับมาเยี่ยมบ้าน มีเพียงเหตุไม่คาดฝันที่ต้องพบเจอกับผู้ไม่พอใจเพียงสองคนเท่านั้น นอกจากนั้นก็ราบรื่นดี
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉู่เหลียนก็วางใจ ร่างกายผ่อนคลายลง
บรรดาคุณหนูทั้งหลายแห่งจวนอิ้ง บัดนี้ได้ย่างกรายเข้าสู่เรือนในเสียงสนทนาของหญิงสาวดังเซ็งแซ่ น้ำชาและของว่างถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยในศาลาที่ติดกับสวนดอกไม้
“น้องหญิงหก เจ้าอาจจะชินปากกับของว่างจากจวนจิ่งอันแล้วกระมัง ของว่างจวนเราคงเทียบไม่ได้แน่” ผู้พูดอำพรางปากตนด้วยพัด ทว่ามันกลับไม่สามารถบดบังน้ำเสียงเชือดเฉือนนั้นได้ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวสายตรงของบ้านใหญ่ คุณหนูห้าแห่งจวนอิ้ง ‘คุณหนูซู’ นางอายุมากกว่าฉู่เหลียนเพียงเดือนเดียว จึงสมควรเป็นผู้แต่งกับเฮ่อซานหลางเข้าจวนจิ่งอันป๋อ หากนับตามลำดับอายุ
ทว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินกลับร้องขอต่อไทเฮา สหายสนิทของนางว่าคุณหนูห้าตระกูลฉู่ที่จะมาเป็นหลานสะใภ้นั้นป่วยหนัก ยามหมอหลวงเข้าตรวจก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถช่วยชีวิตนางได้ ดังนั้นการหมั้นหมายจึงถูกส่งต่อให้แก่คุณหนูหก ‘ฉู่เหลียน’ แทน
เมื่อประกาศการหมั้นหมายออกไปแล้ว อาการป่วยของคุณหนูห้าก็พลันดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
เฮ่อซานหลางนั้นมีชื่อเสียงในเมืองหลวง คงมีสตรีเพียงไม่กี่นางที่จะปฏิเสธหากได้รับการสู่ขอ ดังนั้นเมื่อคุณหนูห้าฟื้นตัวจากอาการป่วยแล้ว แน่นอนว่านางต้องอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้ฉู่เหลียนกลับมาเยี่ยมบ้าน หน้าตาดูสดใสเปล่งประกาย ไม่เหลือร่องรอยความทุกข์ระทมยามที่อยู่จวนอิ้งอีก นางกลายเป็นภรรยาตัวน้อยแสนสวยที่สามีรักใคร่ คุณหนูห้าจะทนมิให้โมโหได้อย่างไร ชีวิตร่ำรวยแสนสบายนั้นควรเป็นของนางถึงจะถูก!
บางครั้งนางยังสงสัยว่าอาการป่วยกะทันหันของนางจะใช่ฝีมือฉู่เหลียนหรือไม่
หากฉู่เหลียนที่น่าสงสารได้ยินสิ่งที่คุณหนูห้าคิดละก็ นางต้องกลอกตาเป็นแน่
บ้าอะไรน่ะ? ถ้าเจ้าอยากได้สามีพิลึกนี่ละก็ ข้ายกให้ฟรี ๆ เลย!
ฉู่เหลียนมิได้ใส่ใจคำพูดของคุณหนูซูนัก หากตอบตามตรงว่าของหวานจวนจิ่งอันไม่ได้อร่อยถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าคงไม่มีใครเชื่อ
ฉู่เหลียนจึงได้แต่ยิ้มแหย ๆ “พี่ห้า ท่านผิดแล้ว ไม่ว่าของหวานที่จวนจิ่งอันจะอร่อยสักเพียงใด ก็มิอาจเหมือนของว่างที่บ้านเดิมได้หรอก”
หรงฮูหยินสัมผัสได้ถึงความอิจฉาในน้ำเสียงของคุณหนูห้า นางจึงเข้าไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “น้องหญิงหกพูดถูก ไม่ว่าของภายนอกจวนอิ้งจะดีเพียงไหน แต่จะมาสู้ของจากบ้านที่เราเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร?”
เหล่าคุณหนูที่อยู่รอบข้างหรงฮูหยินล้วนส่งเสียงเห็นด้วยต่อทัศนะของนางราวกับเป็นลูกสะใภ้ก็ไม่ปาน
คุณหนูห้าแค่นหายใจเบา และหยุดหาเรื่องสนทนาต่อ
ดังนั้นกลุ่มคุณหนูจึงพากันนั่งลงดื่มชา
ฉู่เหลียนแอบเห็นจากหางตาว่าสาวใช้รุ่นใหญ่ของหรงฮูหยินนำอุปกรณ์ชงชาเข้ามาให้ สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางจำได้ว่า ‘ฉู่เหลียน’ ในนิยายนั้นได้แสดงความสามารถชงชาให้แก่กลุ่มคุณหนูเหล่านี้ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้าน
ก่อนที่นางจะคิดวางแผนออก หรงฮูหยินก็กล่าวขึ้นอย่างมีความสุขว่า “น้องหญิงหก ข้าได้ยินมานานแล้วว่าในจวนของเรา น้องหญิงหกนั้นเป็นเลิศด้านการชงชาเขียว วันนี้ขอให้ข้าได้รับเกียรติลองชิมหน่อยได้หรือไม่”
ดวงตาของฉู่เหลียนส่องประกายวาบ “ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด หวังว่าพี่สาวน้องสาวจะไม่หัวร่อต่อความสามารถอันน้อยนิดของข้า”
คุณหนูที่ยังไม่แต่งงานจะประชันกับฉู่เหลียนไปก็ไม่ได้อันใด อย่างไรนี่ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน และฉู่เหลียนเองก็แต่งออกไปแล้ว คุณหนูเหล่านี้ก็ฉลาดพอจะไว้หน้าฉู่เหลียนอยู่บ้าง ดังนั้นนอกจากคุณหนูห้าหรือคุณหนูซูแล้ว ทุกคนต่างก็หันไปไถ่ถามฉู่เหลียนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในจวนจิ่งอันทีละคน
ทว่าฉีเยี่ยนกลับดูกังวลเล็กน้อยยามนางช่วยเหลือดูแลนายหญิงของนางจากเบื้องหลัง คุณหนูหกกล่าวว่าไม่อยากดื่มชาเขียวอีกต่อไปแล้ว นางกังวลเหลือเกินว่าจะส่งผลต่อฝีมือการชงชาในวันนี้ด้วยหรือไม่
ฉู่เหลียนยังคงดูใจเย็น คงความสุภาพอ่อนโยนมีเสน่ห์ไว้บนใบหน้า โดยไร้ซึ่งร่องรอยความกังวล เห็นดังนั้นฉีเยี่ยนจึงใจเย็นลงได้ คิดว่าคุณหนูหกคงยังมั่นใจในทักษะการชงชาของตน
ที่ไหนสักแห่งไม่ไกลนัก มีชายหนุ่มหน้าตาหวานละมุนราวกับอิสตรีเฝ้ามองฉู่เหลียนอย่างโหยหาโดยที่นางไม่รู้ตัว
สาวใช้รุ่นใหญ่ของหรงฮูหยินทำงานได้ว่องไวนัก เพียงครู่เดียวก็จัดวางอุปกรณ์ชงชาทีละชิ้นลงบนโต๊ะหินอย่างเรียบร้อย
คุณหนูห้าที่หาโอกาสกลั่นแกล้งฉู่เหลียนอยู่ เมื่อเห็นนางกำลังจะรับกาน้ำชา คุณหนูห้าก็ปล่อยกาลงโดยไม่รอให้นางประคองให้มั่นเสียก่อน ในยามปกติฉู่เหลียนมีความรวดเร็วว่องไวสามารถรับได้อย่างปลอดภัยเป็นแน่ ทว่าตอนนี้นางกำลังมองหาวิธีเลี่ยงไม่ต้องแสดงทักษะชงชาอยู่ นางจึงปล่อยให้กาน้ำชาเลื่อนผ่านมือไป ทำทีเหมือนรับไว้ไม่ทัน พื้นผิวที่ร้อนของกาน้ำชาปัดผ่านหลังมือของฉู่เหลียนไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยสีแดงบนหลังมือน้อยของนาง
นางร้องตกใจและกุมมือตนไว้ทันที กาน้ำชาทองแดงร่วงสู่พื้นส่งเสียงดังสนั่น น้ำร้อนสาดกระจายไปทั่ว บรรดาคุณหนูผู้สุภาพอ่อนหวานต่างหวีดร้องดังระงม
คุณหนูห้าที่เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ แม้จะแอบพอใจอยู่ลึก ๆ ที่กลั่นแกล้งฉู่เหลียนได้ ทว่านางก็ยังหวาดกลัวว่าตนจะพบปัญหา เนื่องจากทำฉู่เหลียนบาดเจ็บ นางกัดริมฝีปากโทษตัวเองที่ใจร้อนเกินไป
ฉีเยี่ยนตกตะลึงยิ่ง นางรีบดึงมือฉู่เหลียนออก เลิกแขนเสื้อขึ้นดู เมื่อเห็นรอยลวกสีแดงราวกับกลีบดอกท้อใหญ่ ๆ บนหลังมือขาวผ่องของนายหญิงสามแล้ว ดวงตาของฉีเยี่ยนก็แดงขึ้นอย่างสงสาร “นายหญิงสามเจ็บหรือไม่เจ้าคะ ให้บ่าวทายาให้นะเจ้าคะ!”
แม้จะใช้แขนเสื้อกันกาน้ำชาไว้ รอยลวกนั้นก็ยังดูรุนแรงนัก ทว่านางก็ยังทนได้ ฉู่เหลียนจึงดึงมือกลับและฉีกยิ้มให้ฉีเยี่ยน พลางใช้สายตาแสดงความมั่นใจให้หญิงรับใช้ผู้นี้ของนาง
อีกทางหนึ่ง หรงฮูหยินคิดว่าคราวนี้คุณหนูซูกระทำเกินกว่าเหตุ เมื่อนางเห็นรอยลวกของฉู่เหลียน นางจ้องคุณหนูซูและประคองมือน้อยของฉู่เหลียนไว้ “โชคยังดีที่ไม่สาหัสเกินไปนัก รีบกลับไปที่เรือนของเจ้าแล้วทายาเข้าเถอะ ตรงนี้อยู่ไม่ห่างจากเรือนอั้นเซี่ยงของเจ้านัก”
เมื่อได้ยินหรงฮูหยินกล่าวถึงเรือนอั้นเซียง ฉู่เหลียนก็ลอบถอนหายใจ นี่ก็เป็นสิ่งที่นักเขียนแต่งไว้ในเนื้อเรื่องเช่นกัน ไม่ว่านางจะพยายามเลี่ยงอย่างไรก็ตาม แต่ราวกับมีพลังประหลาดบางอย่างดึงให้นางกลับไปยังเส้นทางของเนื้อเรื่องจนได้
คุณหนูซูก้มหน้าลง ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไร ฉู่เหลียนอดมิได้ที่จะหาทางช่วยเหลือ
มีคนมีปัญหาเพราะนาง แต่มันจำเป็น นางเพียงเล่นไปตามเกมเพื่อไม่ต้องชงเซนฉะเท่านั้น! แม้คุณหนูซูต้องการจะกลั่นแกล้งนางด้วยการทำให้นางดูโง่งมก็จริง แต่ฉู่เหลียนก็ใช้คุณหนูซูเพื่อเหตุผลส่วนตัวของนางเช่นกัน
นางรู้สึกผิดในใจจึงเอ่ยต่อหรงฮูหยิน “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าโกรธพี่หญิงห้าเลยเจ้าค่ะ เป็นข้าที่ไม่ระวัง ทำกาน้ำชาร่วงเอง ไม่ใช่ความผิดพี่หญิงห้าเลย”
คุณหนูซูเพ่งพินิจนาง ในดวงตาสื่อความนัยชัดเจน ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามารับผิดแทนข้า เจ้ามันคนเสแสร้ง
ฉู่เหลียนตัดสินใจไม่อธิบายต่อ พลางหมุนตัวตามหนึ่งในสาวใช้รุ่นใหญ่ของหรงฮูหยินไปยังเรือนอั้นเซียงแทน
เรือนอั้นเซียงเป็นเรือนที่ ‘ฉู่เหลียน’ คนนั้นอาศัยเมื่อครั้งยังพำนักในจวนอิ้ง แม้นางจะมิใช่บุตรสาวคนโปรดของตระกูลฉู่ แต่ก็ยังเป็นบุตรสาวสายตรง บุตรสาวสายตรงกับบุตรอนุนั้นมีความต่างกันอยู่ ในจวนอิ้งนั้น บุตรสาวสายตรงไม่จำเป็นต้องไปแออัดเบียดเสียดอยู่ในเรือนใดเรือนหนึ่งร่วมกับพี่สาวน้องสาวคนอื่น ๆ
ทว่าเมื่อฉู่เหลียนจากไปแล้ว หรงฮูหยินก็พบว่าเหล่าคุณหนูจากบ้านสองทำหน้าเจื่อนอย่างไม่สบายใจ
เมื่อฉู่เหลียนหายลับไปจากสายตา สีหน้าของหรงฮูหยินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางถามเหล่าคุณหนูด้วยเสียงเย็น “อะไรอีกล่ะทีนี้? ก็แค่น้องหญิงหกของพวกเจ้ากลับมาเยี่ยมบ้าน จะให้ทุกสิ่งราบรื่นมิได้เชียวหรือ?”
หรงฮูหยินเป็นภรรยาของบุตรชายคนแรกของบ้านใหญ่ นางจึงมักจะอยู่ที่เรือนตะวันออก นาน ๆ ทีจะไปเยี่ยมเยือนส่วนอื่นของจวนอิ้ง จึงยังไม่ทราบข่าวล่าสุดของจวนฝั่งตะวันตก
เมื่อเห็นสีหน้าของหรงฮูหยินที่ค่อย ๆ ถมึงทึง หนึ่งในเหล่าคุณหนูก็รีบก้าวออกมาชี้แจง “พี่สะใภ้ใหญ่ น้องแปดเพิ่งจะย้ายเข้าไปอยู่เรือนอั้นเซียงเมื่อวานเจ้าค่ะ”
อะไรนะ!
คุณหนูแปดหรือคุณหนูหยวนเป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาที่สองของนายท่านสอง นางอายุน้อยกว่าฉู่เหลียนสามปี ส่วนผู้พูดนั้นเป็นบุตรสาวสายตรงของบ้านสาม คุณหนูเก้าหรือคุณหนูฟู่
หรงฮูหยินรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ฉู่เหลียนที่เพิ่งแต่งงานออกจากจวน ผ่านไปได้เพียงสามวัน ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านก็เกิดปัญหามากมายเสียแล้ว เช่นนี้ในอนาคตนางยังจะคิดช่วยเหลือตระกูลฉู่อยู่อีกหรือ?
“เจ้า เจ้า… หยวนเอ๋อร์! ช่างคิดน้อยเกินไปแล้ว!”
คุณหนูหยวนไม่ยอมรับผิด นางเชิดคางขึ้นและโต้กลับ “นางแต่งออกไปแล้ว ไม่ใช่คนของเราอีกต่อไป! เหตุใดข้าจะย้ายเข้าเรือนอั้นเซียงไม่ได้? ข้าก็เป็นบุตรีที่ถูกต้องของบิดาเช่นกัน! มารดาข้าก็เห็นเช่นนั้น!”
หรงฮูหยินโมโหสุดขีดจนใบหน้าผันเปลี่ยนเป็นสีแดง นางสะบัดแขนเสื้อไล่ตามฉู่เหลียนไป
เมื่อสถานการณ์เป็นดังนี้ คุณหนูห้าที่เพิ่งก่อเรื่องใส่ฉู่เหลียนกลับกลายเป็นเริ่มสงสารขึ้นมาแทน
ทว่าเมื่อนึกได้ว่าฉู่เหลียนมีสามีที่หล่อเหลาเอาใจใส่ คุณหนูห้าก็คิดว่าฉู่เหลียนไม่ควรค่าแก่ความสงสารของนางเลยแม้แต่น้อย
ฉีเยี่ยนเดินประคองฉู่เหลียนมาที่เรือน ระหว่างทางนางก็นึกถึงเหตุการณ์ถัดไปที่จะเกิดขึ้นในนิยายอย่างหวาดหวั่น ซึ่งเมื่อกลับถึงบ้านเดิมแล้ว ‘ฉู่เหลียน’ ในนิยายผู้นั้นก็พบว่าเรือนของนางถูกผู้อื่นแย่งไปเสียแล้ว นางทั้งเสียใจและโกรธยิ่ง จึงเดินเพียงลำพังเข้าสู่ป่าไผ่ในลานกว้างเพื่อทำหัวสมองให้โล่ง ทิ้งหญิงรับใช้ไว้เบื้องหลัง และจังหวะนั้นเองที่นางได้พบกับเซียวป๋อเจี้ยน!
ฉู่เหลียนเดินไปที่เรือนอั้นเซียงอย่างเชื่องช้า นางไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทัศนียภาพงดงามสองข้างทาง นัยน์ตาของนางเยือกเย็น นางไม่ใช่นางเอกสมองตายในนิยายคนนั้น เซียวป๋อเจี้ยนเป็นคนที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานแรงกล้า นางไม่สนใจผู้ชายเช่นนั้น แม้เขาจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่เหลือในโลกก็ตาม!
ทว่าในตอนนี้ฉู่เหลียนไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนผู้หนึ่งเดินตามนางมาสู่เรือนอั้นเซียง เฮ่อซานหลางที่ขอปลีกตัวจากเรือนนอก อ้างว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่จากนั้นก็แอบเดินตามนางมาอย่างเงียบเชียบ จับตามองนางทุกฝีก้าว
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6816