“……………………”
ฉันเมินเฉยต่อชายชราที่ยังคงพยายามคุยกับฉัน และเดินออกจากสถานที่ไปอย่างงุนงง ดวงตาว่างเปล่ามองไม่เห็นจุดหมาย แต่ฉันไม่สามารถนั่งนิ่งๆได้ จึงเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายผ่านซากปรักหักพัง
“พวกเขา … ตาย ………… ตายหมดแล้ว ……………………”
มันเป็นความรู้สึกที่แปลก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงหนึ่งในปาร์ตี้ผู้กล้า 100 ปาร์ตี้ที่ฉันเคยเข้าร่วม เป็นเวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งจากหนึ่งร้อยปีของฉัน ความตายของบางคนที่ถ้าฉันไม่ข้ามโลกมาก็คงเป็นแค่เจ้าของร้านที่เป็นมิตรคนนึง…. แต่ทำไมในใจฉันถึงรู้สึกหนักอึ้งถึงเพียงนี้
“อเล็กซิส …… กอนโซ …… เทีย … พวกเขาตายหมดแล้วงั้นเหรอ …………?”
ชื่อและใบหน้าของอดีตสหายของฉันซึ่งถูกพัดพาออกไปและผลักไสให้อยู่ในความทรงจำมากมายของฉันกลับท่วมท้นกลับมาหาฉันอย่างชัดเจน ใบหน้าของอเล็กซิสที่กำลังมองมาที่ฉันพร้อมกับผมสีบลอนด์อ่อนๆ ของเขา ใบหน้าของกอนโซที่ชอบโชว์กล้ามเนื้อของเขา และใบหน้าที่หงุดหงิดของเทียที่พยายามทำตัวเหมือนสาวน้อยน่ารัก ถูกสะท้อนขึ้นมาแม้ฉันจะหลับตาอยู่
ถ้าฉันลืมว่าเขาเป็นใครฉันคงไม่รู้สึกแบบนี้ แต่ฉันไม่สามารถ …. ทำอย่างนั้นได้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า …… นี่ฉันเป็นคนขี้เห็นอกเห็นใจงั้นเหรอ? พวกเขาเป็นเพียง “อดีต” คนกลุ่มแรกที่เนรเทศฉัน จำได้ไหม? แล้วทำไมถึง….?”
สมมุติว่า โลกนี้เปลี่ยนเป็นโลกที่ผ่านไป 100 ปีแทน แล้วทุกคนแก่ตายกันหมด … ถ้างั้น เทียที่เป็นเอลฟ์ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ … อาจจะไม่ใช่อย่างงั้น.. ไม่รู้สิ ฉันคงไม่รู้สึกแบบนี้ถ้าเธอตายไปด้วย แต่ถ้าหากพวกเขาแก่ตายกัยจริงๆ ความเสียใจจะกลายเป็นอดีตอันไกลโพ้น ถ้าฉันนำอาหารโปรดของฉันไปเยี่ยมที่หลุมฝังศพของพวกเขาและวางมันไว้บนนั้น ฉันคงคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องของการระลึกถึงอดีต
และแม้ว่าฉันจะไม่ถูกขับไล่ออกจากปาร์ตี้ผู้กล้า แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม มันคงเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปถ้าเป็นฉันคนปัจจุบัน แต่ตอนนั้นฉันอ่อนแอมากจนแทบจะแบกสัมภาระไม่ไหวแม้จะพยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ฉันจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์สงครามได้
นี่เป็นความจริงที่ฉันควรจะยอมรับ ในฐานะคนนอกที่กลับมายังโลกนี้อย่างกะทันหัน สิ่งที่ฉันควรทำคือยอมรับจุดจบของเรื่องราวโดยไม่พูดอะไรสักคำ แสดงความเสียใจ แล้วรีบกลับไปยังโลกของฉัน ฉันรู้แล้ว แต่จะรับได้ไหม…. เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“จงปรากฏ [Akashic Compass] (เข็มทิศแห่งอาคาชิก) “
ฉันพึมพำกับตัวเองในขณะที่ยื่นมือขวาไปข้างหน้าเบาๆ ฝ่ามือยกขึ้น จากนั้นกรอบโลหะที่ไขว้กันเป็นรูปกากบาท ขนาดประมาณสองกำปั้นก็ปรากฏขึ้นบนมือของฉัน และมีแสงวูบวาบตรงกลางช่องว่างเพื่อค้นหาวัตถุที่ฉันต้องการค้นหา
“ค้นหา……ผู้กล้าอเล็กซิส”
ขณะที่ฉันพูดคำเหล่านี้ หมอกสีขาวก็ปรากฏขึ้นในภาพที่ว่างเปล่า และใบหน้าผึ่งผายของอเล็กซิสก็ปรากฏขึ้นบนนั้น… แต่มันก็มอดลงและหายไป นั่นหมายความว่าผู้กล้าอเล็กซิสไม่ได้อยู่ที่ใดในโลกนี้
“ถ้างั้น …. ผู้กล้าอเล็กซิส …… ตายที่ไหน?”
ฉันกัดริมฝีปากของฉัน ก่อนจะป้อนคำสั่งใหม่ จากนั้น ภายในกรอบโลหะที่ว่างเปล่า สถานที่ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยกลุ่มของกลุ่มหมอกที่กลายเป็นรูปร่างคล้ายหัวลูกศร ซึ่งบ่งชี้ตำแหน่งของจุดหมายปลายทางของฉัน
“กอนโซ … … พระนักรบกอนโซตายที่ไหน?”
คำถามที่ต่างออกไปเล็กน้อย แต่สกิลผู้ถูกขับไล่ของฉัน Akashic Compass แสดงฉากเดียวกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งคู่เสียชีวิตที่นั่น จากนั้นอีกครั้ง เทีย ก็เช่นกัน ….
“เทียตายที่ไหน”
ฉันถามเป็นครั้งที่สามด้วยความรู้สึกอยากกระอักเลือด รอยยิ้มของเทียที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ …… แต่หมอกที่พร่ามัวหายกลับไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หมอกหายไป? เธอยังไม่ตาย……!? ทะที่-ไหน เทียอยู่ที่ไหน!?”
ฉันตะโกนด้วยความร้อนรน และสกิลผู้ถูกขับไล่ของฉันก็ชี้ไปยังตำแหน่งของเทีย
ในขณะนั้นเอง ฉันก็กำลังวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่เทีย จะถูกกองทัพของจอมมาร จับเป็นเชลย ฉันไม่ลืมที่จะเปิดใช้งานทักษะการขับไล่ [Mirage Shift] (เคลื่อนย้ายเงา) ฉันใช้มันได้วันละครั้ง และใช้ได้ชั่วโมงเดียว แต่ไม่มีใครสามารถหาฉันเจอได้ในขณะที่ฉันใช้มัน และฉันก็เคลื่อนที่ผ่านผู้คนและกำแพงได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สกิลครอบจักรวาล ในสถานะนี้ ฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดๆ ได้ และฉันไม่สามารถเล็ดลอดผ่าน … สิ่งที่หยั่งรากลงในโลกด้วยมวลบางอย่าง เช่น พื้นดินหรือภูเขา ต้องขอบคุณสิ่งนั้น ฉันจะไม่ล้มลงหัวทิ่มก้นดิน และฉันสามารถใช้คุณสมบัตินั้นเพื่อวิ่งบนน้ำได้ แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้
“แห่ก….ฮ่ะ …… ฮ่ะ …… ฮ่ะ …… ฮ่ะ ……”
ฉันวิ่ง วิ่ง แล้ววิ่ง ผ่านต้นไม้ ซากปรักหักพัง และทุกสิ่งที่ขวางหน้า ฉันแค่วิ่งตรงไปยังที่ที่เทียอยู่
ฉันวิ่ง วิ่งเร็วกว่าม้าศึก เร็วกว่ามังกรบิน ฉันวิ่งข้ามภูเขา แม่น้ำ และหุบเขา และเมื่อระยะเวลาที่มีผลของสกิล [Mirage Shift] ใกล้จะหมดลง …… ในที่สุดเข็มที่เหมือนหัวลูกศรก็หายไปจาก [Akashic Compass] แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเทียตายแล้ว แต่เท่ากับว่าฉันได้มาถึงที่หมายแล้ว
“ฮะ … ฮะ … ฮะ ……… ที่นี่ ……?”
หลังจากพักหายใจ ฉันก็ยกเลิกสกิล [Mirage Shift] ทันทีที่ฉันทำ ความรู้สึกของลมและกลิ่นรอบตัวฉันกลับมาแล้วฉันก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“…. ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่อันตรายอย่างที่คิด”
ฉันรีบวิ่งอย่างสุดกำลัง แต่สิ่งที่ล้อมรอบฉันคือป่าลึก ไม่ใช่ป้อมปราการของกองทัพจอมมาร และสถานที่ตรงหน้าฉันไม่ใช่คุกอันหนาวเหน็บ แต่เป็นกระท่อมไม้ที่ค่อนข้างทรุดโทรมแต่อบอุ่น
กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเลย ฉันหมายความว่าถ้าฉันกระโดดเข้าไปในบ้านของใครสักคนด้วยแรงกระตุ้นแบบนั้น ฉันคงกลายเป็นคนอันตราย ไม่ก็คนบ้า
“อา นั่นเป็นปัญหา ฉันมีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่านะ…?”
ฉันทำให้หัวตัวเองเย็นลงก่อน แล้วสอดมือเข้าไปในกล่อง[Stranger Box] และค้นดูสิ่งที่อยู่ในนั้น ฉันรู้ว่าฉันจะต้องมีของที่ระลึกอย่างน้อยหนึ่งชิ้นหากเราได้พบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไป 10 ปี เทียชอบผลไม้หวาน ๆ ถ้าอย่างนั้น…. มันอาจจะอยู่แถวนี้
สิ่งที่ฉันดึงออกมาจากหลุมดำคือผลส้มสีเหลืองสด จริงๆ แล้วพวกมันมาจากโลกอื่น แต่ฉันไม่สนใจรายละเอียด ฉันยัดส้มประมาณห้าผลลงในตะกร้าสานที่เหมาะสมแล้วเคาะประตูบ้านอีกครั้ง
ก๊อก
“……………………?”
ก๊อก ก๊อก
“…………………… หืม?”
ฉันเคาะประตูซ้ำๆ แต่ดูเหมือนไม่มีใครออกมา อย่างไรก็ตาม มีร่องรอยของมนุษย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างแน่นอน และการที่ Akashic Compass หายไปที่นี่ทำให้แน่ใจว่ามันเป็นบ้านของเทีย
‘อืม หรือว่าเธอจะยังออกมาไม่ได้’
ฉันนึกถึงสาเหตุหลายประการที่ทำให้เธอไม่สามารถเปิดประตูได้ทันที เช่น เธอกำลังทำงานบางอย่างที่เธอไม่สามารถปล่อยวางได้ในตอนนี้ หรือเธอกำลังดูแลบางสิ่งอยู่ ดังนั้นฉันจึงเคาะต่อไปอย่างอดทน แต่ก็แปลกที่ไม่มีการตอบสนองหลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที
ไม่ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าของฉันที่จะอยู่เฉยๆ สักสิบนาที แต่จะให้ฉันทิ้งข้อความว่า “ไว้เจอกันใหม่นะ” ในที่ห่างไกลแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ใช่ไหมล่ะ? มันคงน่าเศร้าเกินไปที่จะทิ้งเธอไว้เพียงของที่ระลึกหลังจากไม่ได้เจอกันนาน และยิ่งไปกว่านั้น อย่างน้อยฉันก็อยากเห็นหน้าเธอ
“เฮ้ เทีย? เธออยู่ข้างในรึเปล่า?”
หลังจากล้มเลิกการเจอกันแบบเซอร์ไพรส์ ในที่สุดฉันก็เรียกชื่อเทีย แต่ก็ยังไร้เสียงตอบรับจากคนในบ้าน …. นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีใช่ไหม?
“นี่ฉันเป็นวิญญาณหรือไง? เอาล่ะ นี่เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ใช่แล้ว มันจะต้องเป็นเช่นนั้น เผื่อมีเหตุฉุกเฉินไง”
หลังจากเตรียมทฤษฎีและข้อแก้ตัวดีๆ ไว้ให้ตัวเองแล้ว ฉันก็ค่อยๆ เปิดประตู โชคดีหรือเปล่าไม่รู้ที่ประตูไม่ได้ล็อก และมันก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าด …… ห้องซึ่งมีสัญญาณของการอยู่อาศัยกลับว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม
“อยู่ในนี้รึเปล่า…?”
เข้าไปในบ้านของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันเปิดประตูที่ฉันคิดว่าน่าจะนำไปสู่ห้องส่วนตัวของเธอ เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะคุกเข่าในการกระทำอันป่าเถื่อน ……
“……………………”
“หลับอยู่ซะงั้น!?”
ฉันอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปเมื่อเห็นใบหน้าของเทียขณะที่เธอนอนหลับสบายในตอนกลางวัน
MANGA DISCUSSION