[นิยายแปล]โซ่ผนึก "หัวใจ" สายใยผนึก "มังกร" - ตอนที่ 185 บทที่ 8 ตอนที่ 42
บทที่ 8 ตอนที่ 42
การต่อสู้ระหว่างมาร์และลูกาโต้ได้เริ่มต้นขึ้น ทวีความรุนแรงมากกว่าที่เคย จนทำให้เหล่าผู้ที่พบเห็นต่างตกตะลึงและขนลุกไปพร้อมๆกัน
โชคดีที่ทั้งสองสู้กันบนหลังคาบ้านหากต่อสู้บนพื้นถนนคงเกิดความวุ่นวายยิ่งกว่านี้
ช่องว่างระหว่างอาคารที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนกำแพงที่คอยรับความเสียหายไม่ให้โดนพลเรือนโดยตรง
ทั้งสองต่างเค้นพลังออกมาด้วยกันทั้งคู่ด้วยความร้อนรนหวังจะจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุดเพื่อตามไปสมทบ
「ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกห์!」
มาร์ตะโกนออกมาจากนั้นเขาก็ปัดกระสุนเวทย์ที่ถูกลูกาโต้ปล่อยออกมาด้วยดาบใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยวายุ
สกิลผสาน “วายุสะบั้นเมฆา”
เช่นเดียวกับสกิลคิของมาร์ที่เรียกว่า “ดาบวายุธุลี” เป็นพลังขั้นอัพเกรดที่จะสร้างคมดาบวายุผูกติดกับวัตถุแต่ในแง่พลังและการทำลายล้างนั้นมีมากกว่า
ความรุนแรงของวายุที่เทียบเท่ากับทอร์นาโด คมดาบเหล่านั้นทำลายกระสุนเวทย์ที่พุ่งเข้ามา ลูกาโต้จึงต้องเป็นฝ่ายถอยขณะปล่อยกระสุนเวทย์ไปเรื่อยๆ
「ชิ……」
ลูกาโต้ร่ายเวทย์สี่บทอย่างรวดเร็ว แต่ “คมดาบสะบั้นมนตรา” ของมาร์ ทะลุผ่านวงเวทย์ได้อย่างง่ายดาย
「ไม่เจอกันแค่แปปเดียวกลับเติบโตได้ขนาดนี้ ช่างเป็นบุคคลที่น่ากลัวจังเลยนะครับ」
ทันทีที่วงเวทย์ทั้งสามแตกกระจายลูกาโต้รีบถอยหลังทันที เขาถอยหลังไปมากกว่าสิบเมตรและพยายามหลบคมดาบวายุเหล่านั้น
「คิดว่าจะปล่อยไปง่ายๆงั้นเรอะไอ้พ่อบ้านเฮงซวย!」
อย่างไรก็ตามมาร์ยังคงกัดไม่ปล่อย พลังของเขาที่เพิ่มมากขึ้นกระโดดทีหนึ่งหลังคาก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่งเสียงแตกสลาย
สกิลผสานนั้นไม่เพียงแค่ทำที่ดาบใหญ่เท่านั้น แต่ยังเสริมพลังทางกายภาพของเขาอีกด้วย
เมื่อกระโดดเข้ามาสวนสาธารณะกลางที่ไม่มีคน มาร์ก็เร่งความเร็วมากยิ่งขึ้นและเข้าหาลูกาโต้
ลูกาโต้ใช้นิ้วมือทั้งสิบอย่างรวดเร็วร่ายเวทย์ออกมา สร้างดาบมนตราโลหิต จากนั้นก็ร่ายเวทย์เสริมพลังกายและเผชิญหน้ากับมาร์โดยตรง
「ย๊ากกกกกกกกกห์!」
ลูกาโต้ต้องรับแรงกระแทกมหาศาล
ตอนนี้มาร์ที่ใช้เทคนิคผสานได้ก็เทียบเท่ากับโนโซมุที่ปลดพันธนาการของเขา
ดังนั้นลูกาโต้เลยอัดพลังเวทย์และเสริมพลังกายให้มากยิ่งกว่าที่ผ่านมา
「เล่นมามากพอแล้ว」
「อึก!」
แต่ในวินาทีถัดมาวายุที่เกาะติดคมดาบก็ขยายใหญ่ขึ้นและกำลังกลืนแขนของลูกาโต้
ลูกาโต้รีบทิ้งดาบลงทันทีและถอยหลัง
ดาบใหญ่หายไปในอากาศและวายุลูกใหญ่ก็กลืนกินแว่นตาข้างเดียวของลูกาโต้ไป
ลูกาโต้สามารถปัดป้องการโจมตีได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบโดยไร้ซึ่งดาเมจ
「หนอยยยยย……!」
เสียงแห่งความเจ็บใจหลุดออกมาจากปากของลูกาโต้ หากมองใกล้ๆก็เห็นว่านิ้วมือทั้งสองข้างนั้นขาดจนหมด
「ดูเหมือนว่าจะใช้นิ้วหนึ่งนิ้วในการร่ายเวทย์หนึ่งบทสินะไอ้พ่อบ้านเฮงซวย รอบที่แล้วชั้นไม่ได้สังเกตแต่รอบนี้ขอตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเลยแล้วกัน」
เมื่อเห็นลูกาโต้เสียนิ้วทั้งหมดไปมาร์ก็ไม่รอช้า
เวทย์ของลูกาโต้โดนผนึกเนื่องจากเขาไม่มีนิ้วให้ร่ายเวทย์ ด้วยความสามารถในการฟื้นฟูของแวมไพร์มันควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
「อั่ก!」
แต่มาร์ที่รู้ว่าเขาวางแผนอะไรก็ไม่ยอมให้เขาได้ฟื้นฟู
คราวนี้เขาพุ่งเข้าหาลูกาโต้ด้วยคมดาบวายุที่ฟาดฟันออกไปทั้งสาม
「อย่าคิดว่ามันจะจบง่ายๆนะครับพ่อหนุ่ม!」
「อึก!」
แต่ในวินาทีถัดมาลูกาโต้แปลงร่างเป็นฝูงค้างคาว
ค้าวคาวแต่ละตัวมีกรงเล็บและเขี้ยวที่สามารถบดขยี้เหล็กได้เข้าโจมตีใส่มาร์
「หืมมมมมมมมม……」
แต่มาร์ไม่ได้สนใจ
เขายกดาบขึ้นพลิกดาบไปรอบๆและถือไว้ที่มืออีกข้างแล้วแทงดาบลงสู่พื้น พายุทอร์นาโดเกิดขึ้นรอบๆตัวมาร์
「บ้าน่า!」
ในวินาทีถัดมา “คมดาบวายุสะบั้นเมฆา” ได้สลายตัวอกและพองตัวใหญ่ขึ้นและกลายเป็นพายุทอร์นาโดลูกใหญ่
สกิลผสาน “วังวนระเบิดวายุ”
ในทันทีพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ที่ซัดม้านั่งและต้นไม้ในสวนสาธารณะปลิวกระจาย ทำลายและกวาดล้างทุกสิ่งในระยะ
พายุทอร์นาโดอันทรงพลังที่โผล่ออกมาสลายหายไปในไม่กี่วินาที แต่หลังจากพายุพัดผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็บดขยี้จนแหลกละเอียดตกลงมาจากฟากฟ้า
พลังของมันเทียบเท่ากับเวทย์ชั้นสูงของทิม่าอย่างไรก็ตามสีหน้าของมาร์ไม่สู้ดี
「ยังจะรับไว้ได้อีกเหรอวะ」
มาร์ที่เห็นฝูงค้างคาวที่หลบหนีจากพายุทอร์นาโดได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้นท่ามกลางค้างคาวลูกาโต้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
「ก็ท่านี้น่ะ กระผมเคยเห็นมาก่อนเป็นเฉกเช่นเดียวกับท่านโนโซมุที่จะเผาตัวเองทั้งเป็น เสียใจที่ได้เห็นอะไรแบบเดียวกันเช่นนี้ แต่ตอนนี้กระผมพร้อมแล้ว」
「ว่าไงนะ?」
「กระผมไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นค้างคาวโดยเพราะหมดทางสู้หรอกนะครับ!」
ลูกาโต้ปลดปล่อยพลังเวทย์ของเขา และกระแทกเท้าที่เต็มไปด้วยวงเวทย์บนพื้น วงเวทย์จำนวนมากแผ่ขยายออกไปตามพื้น
พลังเวทย์ไหลไปตามพื้นดินก่อตัวเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มไปทั่ว รอยแตกของ “วังวนระเบิดวายุ”
เป็นวงเวทย์ที่ลูกาโต้ได้เตรียมเอาไว้ขณะที่เข้าโจมตีใส่มาร์ตอนที่อยู่ในสถานะค้างคาว
เมื่อเห็นพลังเวทย์มารวมตัวกันที่เท้าของเขา ในที่สุดมาร์ก็เข้าใจแผนของลูกาโต้
「อั่ก!」
วินาทีถัดมาคลื่นความมืดขนาดใหญ่ปะทุขึ้นจากใต้เท้าของมาร์
คลื่นความมืดอันยิ่งใหญ่ได้โอบล้อมและเข้ากลืนกินมาร์
「อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!」
ในขณะที่อดทนต่อความเจ็บปวดจากการที่มีบาดแผลไปทั่วร่าง มาร์ยกดาบใหญ่ขึ้นและแทงลงบนพื้นพร้อมถ่ายเทพลังเวทย์
เวทย์ของลูกาโต้ที่ซัดเข้าหามาร์มลายหายไปเป็นฝุ่น
「เฮ้อคุณเองก็ไม่ต่างจากโนโซมุ เป็นพวกที่ใช้สมองในการต่อสู้มากเกินไปแล้วนะครับ」
「แฮ่ก แฮ่ก…….เฮอะถ้าชั้นไม่ทำแบบนี้ไม่มีวันที่จะตามหลังเจ้านั่นทันหรอก」
เมื่อเช็ดเลือดที่ไหลอาบแก้มมาร์ก็ยกดาบใหญ่ขึ้นมา
พลังเวทย์อาบไปทั่วคมดาบ แม้ร่างกายจะมีบาดแผล แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ยังคงเต็มเปี่ยม
「ก็คงเพราะมันเริ่มต้นมาจากตอนนั้นล่ะมั้ง?」
「ตอนนั้นเหรอครับ?」
เขาหันไปหาแสงห้าสีที่ล่องลอยอยู่บนท้องนภาก่อนจะพูดเช่นนั้นออกมา
แค่เห็นภาพนั้นก็พอจะเข้าใจความคิดคราวๆของชายหนุ่มที่ชื่อว่ามาร์
สิ่งที่เขาต้องทำนั้นคืออะไรกับตัวตนที่อยู่ตรงหน้า ด้วยเหตุนี้ มาร์จึงตั้งท่าและเตรียมที่จะเข้าโจมตี
อย่างไรก็ตามขณะที่มาร์ทุ่มเทจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันเปี่ยมล้น ลูกาโต้ก็กระจายพลังเวทย์ไปรอบๆร่างกายและเบนมันไปยังทิศทางข้างๆราวกับจะเคลียร์เส้นทาง
ลูกาโต้กระตุ้นให้มาร์เดินหน้าต่อไป ในขณะที่มาร์มีท่าทีสงสัย แต่ลูกาโต้ก็ทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ
「ตอนนี้หน้าที่ของกระผมสำเร็จลุล่วงแล้วครับ กระผมโดนสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับเหตุการณ์นี้อีกครับ……」
มาร์เริ่มหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของลูกาโต้
เพื่อปัดเป่าความกังวลใจของมาร์ ลูกาโต้เอามือทาบอกและโค้งคำนับ
ในท่าทีของเขาไม่มีร่องรอยแห่งการหลอกลวงอยู่เลย
「……เรื่องในคราวที่แล้ว ยังสะสางกันไม่จบนะ แต่ถ้าตอนนี้จะพักยกกันก่อน เอางั้นก็ได้เพราะเพื่อนชั้นกำลังวิกฤต」
มาร์นึกถึงลูกาโต้ที่โผล่มาที่บ้านของตระกูลฟรานซิส ในอดีตเขามาทำตามคำสั่งของวิโทร่า
เขาค่อยๆวางมือลงจากดาบ แม้ว่าจะลดดาบลง ลูกาโต้ก็ยังคงนิ่งเฉย จากนั้นก็เก็บดาบใหญ่ไว้บนหลังและวิ่งผ่านลูกาโต้ไป
ลูกาโต้ยังคงก้มศีรษะอยู่ และไม่ทำอะไรกับมาร์ที่หันหลังให้เขา
「เออ สักวันไว้พวกเรามาตัดสินกันให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย」
「ถ้านั่นเป็นความตั้งใจของท่านกระผมก็พร้อมที่จะสนองครับ」
พวกเขาพูดคุยกันเพียงแค่นี้และมาร์ก็รีบมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ฟรานซิส
พลังเวทย์ทั้งห้าสีปะทะเข้ากับพลังเวทย์อันรุนแรงของวิโทร่าที่เริ่มปกคลุมเมืองและมันโหมกระหน่ำราวกับภูเขาไฟกำลังจะระเบิด
「อย่าเพิ่งเริ่มปาร์ตี้โดยขาดตัวเอกอย่างชั้นสิฟะ ถ้าเป็นแบบนี้ชั้นไปไม่ทันเมืองได้ระเบิดก่อนแหงๆ……」
แต่ว่าในวินาทีถัดไปแสงทั้งห้าสีก็สงบลงราวกับว่าพลังของมันหมดลงแล้ว
ความเงียบตรงกันข้ามกับความรุนแรงก่อนหน้านี้ปกคลุมไปทั่วอาคาร์ซัม
แต่มาร์สามารถจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพื่อนสนิทของเขาคุมพลังไม่อยู่แล้ว
「ทิม่า ขอให้ทันเวลาทีเถอะ」
เมื่อมองไปทางสถาบัน มาร์รีบวิ่งไปหาเพื่อนสนิทของเขา
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
โนโซมุและซีน่า ปฏิกิริยาของทั้งสองคนที่เข้าไปในคฤหาสน์ฟรานซิสก็ตกใจเล็กน้อย
ดวงตาของสองพี่น้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ และหญิงสาวผมสีแดงเพลิงก็ทำสีหน้าภาคภูมิใจ
อีกด้านเจ้าหญิงแห่งความตายที่สร้างเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางดีใจ
「ในที่สุดก็มาแล้วววววว ไอ้ต้าวววววววว ดราก้อนสเลเยอร์ ยินดีต้อนรับจ้ะ」
ด้วยสีหน้าดีใจวิโทร่าทักทายโนโซมุพร้อมกับอ้าแขนพร้อมจะโผกอด
ในทางกลับกันโนโซมุวางซีน่าที่เขาแบกด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงและพูดกระซิบกับเธอ
「ฝากด้วยนะ」
「อื้ม」
โนโซมุเดินไปหาไอริสที่กำลังทำสีหน้ายากลำบาก
โซเมียและลิซ่าซึ่งอยู่ข้างๆไอริส หลบไปด้านข้างและหลีกทางให้
「โนโซมุ ฝากที่เหลือด้วยนะ」
「คุณโนโซมุ……」
「อ่า ไว้ใจผมได้เลย」
คำวิงวอนของเหล่าหญิงสาวที่เขาเดินผ่าน โนโซมุพยักหน้ากับคำขอเหล่านั้นและคุกเข่าลงต่อหน้าไอริส เขาค่อยๆวางมือบนไหล่ไอริสและเงยหน้าเธอขึ้น
ผิวขาวๆของเธอมีเส้นเลือดสีดำโผล่ขึ้นทั่วร่าง โนโซมุกัดริมฝีปากด้วยความปวดใจ
「ไอริส ผมจะช่วยเธอเดี๋ยวนี้ล่ะ」
「อะ แฮ่ก แฮ่ก……」
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอหันมามองโนโซมุและส่ายหัว
ในขณะที่ยิ้มอย่างขมขื่น เธอยังคงดื้อรั้นต่อไปแล้วแสดงเจตนาอันแน่วแน่
「ขอโทษนะ ผมตัดสินใจแล้ว เพราะงั้นความลับมันคงปิดบังใครอีกไม่ได้แล้วล่ะ ระหว่างที่มาผมก็ถูกคนหลายคนเห็น」
เขาตัดสินใจแล้ว วิถีชีวิตที่จะเลือกเดิน
จนกระทั่งเขามาถึงที่นี่ โนโซมุปลดพันธนาการของเขาตั้งแต่เริ่ม
มันเท่ากับว่าโนโซมุเปิดเผยความจริงให้กับคนทั้งโลกรู้
โนโซมุกลัวที่คนอื่นจะรู้เกี่ยวกับพลังที่เขาเก็บงำเอาไว้ แต่น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลง เมื่อเขาเจอกับความหมายของชีวิต
ริมฝีปากของไอริสเงยขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันริมฝีปากทั้งสองก็ซ้อนทับกัน
「อึก……」
ทันใดนั้นความอบอุ่นแพร่กระจายไปทั่วริมฝีปากของเธอ ไอริสส่งเสียงออกมาเบาๆ
วินาทีต่อมาซีน่าที่ยืนอยู่ด้านหลังได้เริ่มทำพันธสัญญาขึ้นมา
จากนั้นโนโซมุก็เปิดการใช้งาน โซ่ตรวนผนึกวิญญาณ
โซ่ที่มองไม่เห็นโอบล้อมร่างกายของโนโซมุ ผนึกอันทรงพลังยังส่งผลต่อไอริสด้วยเช่นกันผ่านทางริมฝีปากของทั้งสองที่เชื่อมต่อกันเพื่อผนึกพลังของวิโทร่าที่กำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างไอริส
การกัดเซาะของเส้นเลือดสีดำได้หยุดลงและหายไป
「ตาบ้า ทำไมถึงมาที่นี่……」
「อาจจะเพราะผมมันโง่ก็ได้ แต่ช่วยไม่ได้เพราะนี่ก็คือตัวผม ยอมแพ้ซะเถอะกับตัวผมที่เป็นแบบนี้ ดังนั้นแล้ว……」
ไอริสพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด ตกใจ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสุข และด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นของโนโซมุ เขาหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าและยื่นมันให้เธอ
「นี่มัน……」
「กระดิ่งแห่งคำมั่นสัญญา แม้ว่ารูปลักษณ์มันอาจจะแปลกๆไปสักหน่อย」
ดอกไม้ประดิษฐ์เลียนแบบดอกไม้สีม่วงและกระดิ่งที่ทำเป็นเครื่องประดับผมสีเงิน
ชื่อของดอกไม้ประดิษฐ์นี่คือดอกโครเวีย ภาษาดอกไม้คือการทำให้ความปราถนาเป็นจริง
ดวงตาของไอริสกระพริบอยู่หลายครั้งหลังจากจ้องไปที่กระดิ่งแห่งคำมั่นสัญญา
ไอริสตัวสั่นพร้อมกับสะอื้นในเวลาเดียวกัน จากนั้นโนโซมุจับผมของเธอเล็กน้อย จึงคาดเครื่องประดับไว้บนผมของเธอ
อย่างที่คิดไว้ มันดูดีกับผมของไอริสที่กลายเป็นสีขาว
โนโซมุยิ้มออกมาเล็กน้อยและดีใจที่สามารถทำตามคำสัญญาได้
「อ๊าาาาาาาาาาาาแย่ที่สุดปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวและจีบกันต่อหน้าฉันเลยงั้นเหรอเนี่ย?」
ในขณะเดียวกันวิโทร่าที่โดนทิ้งไว้ตามลำพังก็ไขว้แขนทำแก้มป่องมองมาทางโนโซมุด้วยสีหน้าไม่พอใจ
โนโซมุที่กำลังสร้างความอุ่นใจให้กับไอริส ลิซ่า และคนอื่นๆ เริ่มเผชิญหน้ากับวิโทร่า
「ผมมีคำถามอยากจะถามหนึ่งข้อ」
「ว่าไงเหรอจ้ะ?」
「ทำไมถึงต้องผลักดันตระกูลฟรานซิสจนถึงขนาดนี้? ถ้ามองจากทัศนคติของเธอแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำหนักถึงขนาดนี้เลย」
ไม่เหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากันที่พิธีเปิดสถาบัน วิโทร่ายกริมฝีปากขึ้นและตอบคำถาม
「อ๋อ นั่นสินะ เหตุผลเดียวที่ฉันต้องลงมือกับเหล่าสาวงามพวกนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้เตรียมใจได้สักที กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นบททดสอบแห่งชีวิตล่ะนะ」
「บททดสอบงั้นเหรอ ต้องมาทำให้ไอริสและคนอื่นๆมาเจอเรื่องวุ่นวายเพียงเพราะเรื่องแค่นี้?」
โนโซมุที่เริ่มโกรธก็เริ่มตะโกนใส่วิโทร่า
「แววตาดุดันแบบนี้ฉันล่ะชอบจริงๆเลย ดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ มันต้องแบบนี้สิถึงจะเร้าใจ」
「ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องสู้กับคุณด้วยซ้ำ กับรสนิยมแย่ๆอย่างคุณน่ะ!」
「งานอดิเรกสิน้า? นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่คิดว่าฉันมาที่นี่เพราะเหตุผลไร้สาระแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ ?」
「หมายความว่าไง?」
「ท้ายที่สุดแล้วทุกคนที่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่มีชีวิตอยู่และหายไปตามกาลเวลา อยู่ไปโดยไม่รู้อะไรเลยในท่ามกลางประวัติศาสตร์อันแสนซับซ้อน การต่อสู้ที่แท้จริงของโลกใบนี้ โลกกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ พวกเจ้าไม่เคยสังเกตเห็นด้วยซ้ำสินะ」
「การต่อสู้ที่แท้จริง?」
「ฉันจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าเจ้าน่ะเหมาะสมกับศึกตัดสินของโลกใบนี้รึเปล่า พูดตามตรงแม่สาวงามทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นแค่เหยื่อล่อให้เจ้ามาติดกับเท่านั้นแหละ」
แสงอันน่าสงสัยส่องสว่างมาจากดวงตาของวิโทร่า
「อั่ก!?」
โนโซมุก้มลงในทันที
วินาทีถัดมา ลมจำนวนมากที่เคยปะทุอยู่ทั่วร่างโนโซมุได้ตัดผ่านพลังงานต้นกำเนิดที่กำลังล่องลอยจากร่างของเขา
「โนโซมุ!?」
ด้วยมือขวาของเธอไอริสคว้าตัวโนโซมุเอาไว้ กรีดร้องเรียกชื่อเขา วิโทร่ายังคงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
「จุดประสงค์ที่แท้จริงของฉันก็คือการให้ตัวตนของเจ้านั่นถูกกลืนกินและพวกเธอต่างหากที่จะต้องดึงสติพ่อหนุ่มนั่นกลับมา นั่นแหละบททดสอบ 」
「ถูกกลืนกิน! ? ทำไปเพื่ออะไร!?」
「ฉันก็พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ การต่อสู้ที่แท้จริงของโลกใบนี้น่ะ ถ้าเป็นตัวตนที่ไม่เหมาะสมจริงๆ ก็จะตกไปอยู่ในหุบเหวแห่งความมรณาของโลกใบนี้และไม่มีวันกลับมาได้อีก……」
แขนขวาของวิโทร่าสะบัดไปอีกครั้ง
โนโซมุปลิวไปด้านข้างอย่างสุดแรง แสงที่เปล่งประกายจนถึงขอบฟ้าได้มลายหายไปและตามด้วยเสียงของกำแพงที่แตกหัก
การเคลื่อนไหวของวิโทร่านั้นรวดเร็วมากแม้แต่โนโซมุก็จับไม่ได้ เขาสัมผัสได้แค่ สิ่งที่ “เกิดขึ้น” ก่อนการโจมตีของเธอจะถูกปล่อยและหลบมันตามสัญชาตญาณ
ก่อนที่จะรู้ตัวคมดาบอันรุนแรงก็พุ่งผ่านพร้อมกับเสียงคำราม เขาปล่อยให้สัญชาตญาณของตัวเองเป็นตัวขับเคลื่อน
「อ่าใช่ แน่นอนว่าก่อนจะทำให้เจ้าจมดิ่ง เจ้าสามารถฝากสัญญาชีวิตของแม่หนูนั่นไว้กับลูกาโต้ได้นะ หากพยายามใช้กำลังก็คงได้มั้ง แต่ช่างมันเถอะต่อให้ดิ้นรนขนาดไหนก็คงไม่มีทาง แล้วก็……」
วิโทร่าหยุดแขนของเธอ เงยหน้าขึ้นสู่สวรรค์ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
「อ๋อ แล้วก็ฉันน่ะรู้ความจริงของตัวเจ้า ตั้งแต่ก่อนที่จะได้ลิ้มรสเลือดเจ้าแล้วล่ะ……」
「หา?」
「เลือดของเจ้าน่ะ เป็นเลือดที่แสนพิเศษ ที่มีพลังของราชันย์มังกร จริงอยู่ที่มันไม่ค่อยถูกปากฉันเท่าไหร่ แต่ก็เป็นถึงเลือดของดราก้อนสเลเยอร์ ตอนนี้พอคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้วก็แอบเสียดายเข้าไปทุกทีๆ」
กรงเล็บของวิโทร่าโผล่ออกมาสามรอบ
คราวนี้เขาไม่สามารถหลบมันได้และผลพวงของกรงเล็บนั่นก็เฉือนแก้มของโนโซมุไป
「อั่ก!」
「อ่าาาา แม้แต่กลิ่นของมันก็กระตุ้นอารมณ์ฉันได้ถึงเพียงนี้ มีหลายครั้งที่ทำเอาฉันแทบบ้า」
ราวกับร่าเริงไปกับกลิ่นเลือดที่ไหลออกมาจากแผลของโนโซมุ วิโทร่าลิ้มรสมัน
「แต่ว่าน้า เพื่อเหล่าสาวๆตรงหน้าเจ้า เจ้าไม่สามารถปลดโซ่ตรวนวิญญาณได้แล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าปลดมันออก เวทมนตร์ของฉันก็จะกัดกินแม่สาวคนนั้นอีกครั้ง」
「อึก……」
ตอนนี้โนโซมุไม่สามารถทำลาย “โซ่ตรวนผนึกวิญญาณ” ได้ หากปลดมันออก ไอริสก็จะโดนพลังเวทย์ของวิโทร่ากลืนกินอีกครั้ง
และซีน่าที่ไม่สามารถใช้เวทย์วิญญาณได้ก็จะโดนผลข้างเคียงไปด้วย
「ก็อยากจะเห็นความมุ่งมั่นอันแท้จริงของเจ้า แต่ฉันก็ดันไปเพิ่มโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งเจ้าไว้อีกสิน้อ」
แขนของวิโทร่าหมุนเป็นวงกลม
วินาทีถัดมาพายุที่เหมือนกับทอร์นาโดพัดเข้าหาโนโซมุ
「อั่ก!?」
ไม่มีที่ว่างให้เขาหลบพายุทำให้ร่างของโนโซมุบินและกระแทกเข้ากับกำแพง
ขณะที่เขาทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด วิโทร่าก็มองด้วยท่าทางเสียใจเล็กน้อย
「อ่าา แค่นี้ก็เกินพอแล้ว แม้จะยุ่งยากนิดหน่อย แต่ฉันจะฉีกแขนฉีกขาเจ้าและพากลับบ้านด้วยทั้งแบบนั้น เมื่อไปถึงดินแดนของฉันแล้ว จะทำให้เจ้าเป็นทาสรักไปเลย」
「ผิดแล้ว……」
「หาา?」
แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้เลือดออกปาก และแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสโนโซมุก็คลานขึ้นมา
เขาลุกขึ้นนั่งและพยายามลุกขึ้น แต่ขาของโนโซมุสั่นจนแทบจะล้มลง
เขานั้นปลดปล่อยพลังของเทียแมตไปแล้วครั้งหนึ่ง ภาระยังคงอยู่กับร่างของเขาและมันยิ่งหนักขึ้นจากการโจมตีของวิโทร่าก่อนหน้านี้
ในที่สุดโนโซมุที่ลุกขึ้นยืนก็บ้วนเลือดออกมาและหายใจออกอย่างหนัก
ลำคอของเขานั้นเต็มไปด้วยเสียง และรสขมที่เหมือนกับสนิมก็ผุดเข้าไปในลำคอของเขา
「ไม่ใช่เลยสักนิด พวกเธอน่ะไม่ใช่โซตรวนที่ฉุดรั้งผมเอาไว้」
เสียงของเขาที่แหบแห้งและเกือบจะจางหายไป
อย่างไรก็ตามมันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ดังก้องอยู่ในหู
「พวกเธอไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นตัวผมเองที่มักสร้างโซ่ตรวนที่รั้งตัวเองเอาไว้」
ในอดีตเขากลัวที่จะเผชิญกับอดีตและหันหลังหนีให้กับตัวตนในปัจจุบัน
และคราวนี้เมื่อมาถึงปัจจุบันก็ค้นหาอนาคตไม่เจอ
ทุกครั้งล้วนมีบางสิ่งต้องเกิดขึ้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างกายมันกำลังกรีดร้อง
「ความฝัน ความหวัง อะไรนั่นคนแบบผมมันไม่มีสิ่งเหล่านั้น เหตุผลที่ผมมาที่นี่ก็เพราะอยากสนับสนุนความฝันของลิซ่า ก็แค่อยากจะช่วยพวกเธอก้าวเข้าสู่ความฝันของตัวเอง」
โนโซมุ เบลาตี้ เป็นตัวตนที่ไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง
เพราะแบบนั้นเขาจึงมองหาอย่างอื่นเพื่อมาชดเชยในสิ่งที่เขาไม่มี มันเหมือนกับแมลงเม่าที่เข้าไปตอมแสงเทียน
「ความฝันของพวกเธอช่างซื่อตรงและมุ่งหน้าไปสู่อนาคตมันทำให้ผมใจเต้น แม้ว่าตัวผมจะไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านั้นเพื่อตัวเอง」
โนโซมุมองลงไปที่ร่างของเขา โซ่ที่มองไม่เห็นที่พันรอบร่างกายยังคงสะท้อนให้เห็นในดวงตาของโนโซมุที่ผูกรัดอย่างแน่นหนา
โซ่ตรวนที่เขาเคยทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยังไงก็ตามมันก็ไม่เคยจางหายไปจากโนโซมุ และยังคงตามติดกับชีวิตโนโซมุมาตลอด
「ผมน่ะมันก็แค่โซ่ตรวน เป็นเพียงตัวที่คอยฉุดรั้งคนอื่น ขยับไปไหนไม่ได้ ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเองก็ไม่ได้」
โซ่ มันไม่ใช่เปลวไฟที่ส่องสว่างให้ใครเหมือนดั่งตะเกียง
ตอนนี้เขาคิดเกี่ยวกับมัน นี่คือวิถีชีวิตของเขา และมันก็ยังเป็นตัวตนของเขาอีกด้วย
มันเป็นโซ่ที่ผูกมัดตัวเอง เป็นทั้งสิ่งที่คอยรักษาตัวเองจากจิตวิญญาณในหัวใจเหนือสิ่งอื่นใดมันเป็นสิ่งที่คงความเป็นตัวเขา
「แต่โซ่น่ะมันไม่ได้มีไว้สำหรับผูกมัดเท่านั้น ในความเป็นจริงมันยังใช้เป็นสิ่งที่ยึดมั่น ยึดเหนี่ยวสิ่งที่กำลังจมดิ่งลง ล่องลอยและกำลังจะหายไป」
เขายกมือขวาที่ถูกโซ่ล่ามเอาไว้
โซ่ที่ผูกมัดและผนึก นั่นก็แค่ตัวตนด้านหนึ่งของมันที่ทุกคนมอง
โซ่นั้นผูกมัดบางสิ่งเข้าหากัน มันมีอยู่เพื่อไม่ให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป เพื่อป้องกันสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากการพังทลาย เพื่อปกป้องตัวเขาเอง
เมื่อได้ยินคำพูดของโนโซมุ โซ่ที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆเรืองแสง และเริ่มปรากฏสู่โลกแห่งความเป็นจริง
「นั่นมัน……」
「……สีขาวแบบนั้น โซ่อย่างงั้นเหรอ」
โซ่ที่ส่องประกายค่อยๆส่องสว่างมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งปรากฏสู่สายตาให้คนภายนอกได้เห็น
ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับโซ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน โนโซมุที่เผชิญหน้ากับหัวใจตัวเองอีกครั้ง ก็ค่อยๆอ้าปากขณะที่จ้องมองไปยังโซ่ที่เปรียบเสมือนการดำรงอยู่ของเขา
「สำหรับผม ผมจะเป็น “โซ่ที่ยึดเหนี่ยวความฝันเข้าด้วยกัน”」
เพื่อไม่ให้ความฝันเหล่านั้นจางหายไป เพื่อไม่ให้ความสดใสเหล่านั้นจางหายไป และแม้ว่าต่อให้น้ำตาจะไหลอาบแก้มมากแค่ไหน แต่ก็คอยยึดมั่นหัวใจอันเปราะบางนี้ไว้
เป็นเหมือนกับการประกาศต่อหัวใจตัวเอง
ในวินาทีถัดมาโซ่ที่ผูกมัดร่างของโนโซมุก็คลายออก
ต่อจากนั้น พลังงานต้นกำเนิดอันมหาศาลปะทุออกจากร่างของเขา ทำลายเพดานคฤหาสน์ฟรานซิสและพุ่งกระจายไปบนท้องฟ้า
「ได้ยังไง!?」
ในพริบตานั้น พลังงานต้นกำเนิดที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็กลบพลังเวทย์ของวิโทร่าจดมิดในพริบตา จากนั้นโซ่ที่คลายออกก็กลับเข้าไปในร่างของโนโซมุ
และพลังทั้งหมดก็ไหลกลับเข้าไปในตัวเขาทั้งหมด
หลังจากพายุพัดผ่านห้องรับแขกก็เงียบสงบราวกับคืนพระจันทร์เต็มดวงและโนโซมุที่อยู่ในสภาพที่มีโซ่ตรวนสีขาวผูกมัดร่างกาย
ตรงกันข้ามกับพลังมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยก่อนหน้านี้ เขาเผชิญหน้ากับวิโทร่าด้วยสภาพที่เงียบสงบ
ร่างกายของเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยโซ่เรืองแสงอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งออร่าใดๆ
แม้แต่ตัวตนก็ไม่แน่ชัด และมีความเงียบสงบราวกับเผชิญหน้ากับต้นไม้ใหญ่
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่
ความเงียบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและน่ากลัวทำให้ดวงตาของวิโทร่ามืดมน
「อะ!」
แขนขวาของวิโทร่าสั่น
แม้ว่าจะเป็นแวมไพร์ การโจมตีด้วยแขนที่ถูกปลดปล่อยออกจากความหวาดกลัว
คมดาบสูญญากาศเข้ามาใกล้โนโซมุด้วยความเร็วที่มนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้
วินาทีถัดมามันเหมือนกับมิติแตกออกเกิดแสงวาบนับไม่ถ้วนวิ่งผ่านอากาศ
「หาาาาาาาา!?」
แสงวาบเหล่านั้นตัดผ่านคมดาบสูญญากาศของวิโทร่าและเธอก็ถอยหลังทันที
ที่ปลายสายตาของเธอคือภาพของโนโซมุที่ชักดาบออกมาก่อนที่เธอจะรู้ตัว
โซ่ที่พันรอบร่างกายของเขาขยายไปถึงดาบที่เขาถืออยู่ และ “ไร้นาม”ที่มีโซ่ตรวนผูกมัดก็มีแสงทั้งห้าเปล่งประกาย
พลังของเทียแมตนั้นชัดเจนมาก อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หยาบกระด้างเหมือนเมื่อก่อน
ในความเป็นจริงแม้จะมีการสบัดคมดาบอยู่หลายครั้ง แต่มันก็เงียบสงบจนน่าประหลาด
ราวกับเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง นั่นคือช่วงที่โนโซมุได้เข้าใจถึงพลัง “โซ่ตรวนผนึกวิญญาณ” ของเขาอย่างท่องแท้และควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
「……เอาล่ะนะ」
ร่างของโนโซมุที่ตั้งท่า วินาทีต่อไป ตัวเขานั้นหายไปเหลือเพียงแต่เสียงราวกับว่าพุ่งออกมาด้วยความเร็วเสียง
「อึก!」
เพียงแค่นั้นด้วยการเคลื่อนไหวเบาๆ เขาเข้าหาวิโทร่าด้วยความรวดเร็ว
เธอรีบต่อต้านด้วยแขนที่เรียวแข็งของเธอ
แสงประกายห้าสีและระเบิดเพลิงเข้าปะทะกันในอากาศ
ดราก้อนสเลเยอร์ที่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่เข้าเผชิญหน้ากับเจ้าหญิงแห่งความตาย
ในที่สุดศึกตัดสินก็ได้เริ่มขึ้น
ป.ล. ขอโทษด้วยที่หายไป 10 วัน กว่าเลยครับ เนื่องจากปัญหาสุขภาพนอนไม่หลับ ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนตารางการใช้ชีวิตหลายๆอย่างเลย ขออภัยด้วยจริงๆครับที่ต้องเลื่อนมาแบบนี้
อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วครับ ขอบคุณทุกคนมากที่ติดตามผลงานแปลกันมาอย่างยาวนาน