[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 9 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (9)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 9 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (9)
ป้องกันรอบด้านแค่ไหน ก็ป้องกันไม่ได้อยู่ดี!
ตันหวายยืนอยู่หน้าประตูห้องเล็กแคบทรุดโทรมด้วยอารมณ์สับสน มีการปลดล็อกภารกิจด้วย ระบบนายรู้บ้างไหม? นายไม่ต้องทำตัวเป็นระบบที่มีมาตรฐานขนาดนี้ก็ได้จริงๆ นะ
(ติ๊ง! ข้อแนะนำ ภารกิจพิเศษจะสิ้นสุดลงภายใน 23 ชั่วโมง 59 นาที ท่านเจ้าของร่างโปรดอย่าพลาดโอกาส)
ตันหวายพยายามใช้น้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดถามว่า “ภารกิจพิเศษมีประโยชน์อะไร?”
(ระบบยังไม่สมบูรณ์ ต้อง…)
ตันหวายแค่นหัวเราะ เตรียมเข้าไปนอนโดยไม่หยุดฝีเท้า
(เมื่อบรรลุภารกิจลับจะสามารถแลกเปลี่ยนรางวัลจากศูนย์บัญชาการได้ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการเปิดฟังก์ชั่นค้นหาคำตอบ ขยายกำหนดเวลาภารกิจ ยาชุบชีวิต และการกลับสู่โลกความจริงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง)
ตันหวายชะงักฝีเท้า “จริงหรือ?”
(จริงแท้แน่นอน เอ๊ะ? ท่านเจ้าของร่างจะไปไหน?)
“อุทยานหลวงจับเสียนเฟยขึ้นเขียง!”
ทำไมต้องจับเสียนเฟยขึ้นเขียงน่ะหรือ? เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่เหอจินหมิงเพิ่งได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ตันฝูเซิงในตอนนั้นสองหูไม่รับฟังเรื่องราวข้างนอก ทุ่มเทใจกับให้เหอจินหมิงผู้เดียวเท่านั้น เสียนเฟยปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้เอง ในบรรดาพฤติกรรมประทุษร้ายที่เสียนเฟยกระทำต่อเจ้าของร่างเดิมไม่ได้มีเพียงแค่ใส่ร้าย ตบตี ด่าทอ แต่ยังจงใจให้เจ้าของร่างเดิมเห็นนางกับเหอจินหมิงร่วมหลับนอนกันเพื่อยั่วยุเขาด้วย
วิธีตบหน้าแก้แค้นหรือไม่ก็วิธีทำให้เหอจินหมิงเกลียดชังเสียนเฟยหลากหลายรูปแบบผุดขึ้นในหัวตันหวายตลอดทาง ครุ่นคิดจนตัวเองเลือดร้อนระอุ แทบอยากจะเหาะไปอุทยานหลวงเพื่อบรรลุเป้าหมายเล็กๆ ข้อหนึ่งในชีวิตของตันฝูเซิงเสียให้จบเรื่อง
(ท่านเจ้าของร่าง…)
“หุบปาก”
(เราอยากแจ้งว่า…)
“Shutup!”
ระบบปิดปากเงียบ ตันหวายเดินเข้าไปในซอยตันอย่างเลือดร้อน
ตันหวาย “…”
“ที่นี่คือที่ไหน?” ตันหวายมองกำแพงทรุดโทรมในพงหญ้ารกทึบเบื้องหน้าพลางตกอยู่ในภวังค์ “ผมเดินผิดทางแล้ว ทำไมคุณถึงไม่บอกผมเล่า?”
ระบบคิดว่าตนช่างอาภัพนัก ตอนที่มันอยากพูดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็โดนตันหวายตัดบทไปเสียหมด
ยังไม่ทันได้บอกกล่าวความเจ็บช้ำน้ำใจของตน ก็มีกระบี่งามโดดเด่นเล่มหนึ่งพาดอยู่บนคอเจ้าของร่างผู้เป็นที่รักของมัน
ตันหวายไล่สายตามองตั้งแต่ปลายกระบี่ไปจนสุดด้ามกระบี่ แล้วไล่มองตั้งแต่ด้ามกระบี่ไปจนถึงมือขาวนวลที่ถือกระบี่ไว้ พลางอดทอดถอนใจไม่ได้ คนงามดุจหยกกระบี่ดุจสายรุ้งโดยแท้ โบราณว่าไว้ไม่มีผิด
ผู้ถือกระบี่อายุราวสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น ชูกระบี่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชา รอบกายแผ่พลังอำนาจเหนือคนธรรมดาสามัญ
“เจ้าเองรึ?” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเย็น “เจ้ามาทำอะไรตรงนี้? เมื่อครู่ได้ยินมากน้อยแค่ไหน? บอกมา!”
ตันหวาย “…” ถ้าเขาพูดว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลยล่ะ? เขาไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ นะ!
“เหอหรูกู้ ลดกระบี่ลงซะ!”
“จวินเฉิง (ท่านลุง)?”
“ท่านลุง?” ตันหวายเบิกตากลมโต “ท่านเป็นลุงของเขาหรือ? ใช่สิ ท่านเป็นลุงของเขา ว่าแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
จวินเฉิงไม่ได้กล่าวตอบเขา ก่อนเดินเข้ามาฉวยกระบี่ของเหอหรูกู้เก็บกลับไป ขมวดคิ้วถามกลับว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ข้าตั้งใจจะไปอุทยานหลวง ไม่นึกว่าจะหลงทาง” ตันหวายก้มหน้าลงอย่างเหงาหงอย ดวงตากลับช้อนขึ้นมองอย่างเงียบๆ
ระหว่างพูดก็เอื้อมมือออกไป เอาปลายนิ้วก้อยเกี่ยวแขนเสื้อของจวินเฉิงเงียบๆ ไปพลาง
เหอหรูกู้ชำเลืองไปเห็นนิ้วมือเล่นไม่ซื่อของตันหวายเข้าพอดี หว่างคิ้วก็กระตุกอย่างแรง แทบอยากจะชักกระบี่ที่เก็บเข้าฝักเมื่อครูออกมาอีกหน
เหอหรูกู้ “เจ้า…!”
“กลับไปซะ ข้างนอกมันอันตราย” จวินเฉิงกำบังตันหวายไว้ข้างหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชายเสื้อใหญ่กว้างบดบังนิ้วมือที่อยู่ไม่สุขของตันหวายเอาไว้เช่นกัน
เหอหรูกู้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เช่นนั้นคืนนี้?”
“ข้าจะให้คนไปบอกเจ้าอีกครั้ง”
เหอหรูกู้ผงกศีรษะ ปรายตามองตันหวายข้างหลังจวินเฉิงแวบหนึ่ง ก่อนกระโดดขึ้นสู่กำแพงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หายลับไปท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
ตันหวายมองพลางปากอ้าตาค้างด้วยความตื่นเต้น นี่มันวิชาตัวเบาในตำนาน!
“พูดมาเถอะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” สายตาจวินเฉิงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของตันหวาย พลางขยับแขนหลบการก่อกวนจากเขา
ตันหวายกระแอมเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าหลงทางมาจริงๆ”
จวินเฉิงจ้องมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ เห็นตันหวายไม่เปลี่ยนสีหน้า ในที่สุดก็ละสายตากลับไป “ไปกันเถอะ ข้าส่งเจ้ากลับเอง”