[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 7 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (7)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 7 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (7)
ผู้คนผ่านมาตำหนักเย็นค่อนข้างน้อย แต่น้อยในที่นี้เป็นการกล่าวเปรียบเปรยเท่านั้น ตันหวายลองนับดูแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ตลอดทั้งเช้า มีขันทีประมาณเจ็ดสิบสองคนกับนางกำนัลอีกหนึ่งร้อยสามคนเดินผ่านมาที่นี่ เห็นสภาพอันน่าเวทนาของเขาในตอนนี้
“พ่อ[ปี๊บๆ]ตายเหอะไอ้เหอจินหมิง! ศัตรูเอ็งไม่มีสิทธิเป็นมนุษย์บ้างเลยหรือไง?” ตอนที่ตันหวายสาปแช่งเหอจินหมิงเป็นครั้งที่ N ระบบก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว
(ท่านเจ้าของร่าง เก็บแรงไว้สักหน่อยเถอะ ท่านยังต้องคุกเข่าอีกตลอดทั้งบ่าย ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ประหยัดน้ำลายไว้กับตัวเองหน่อยจะดีกว่า)
ตันหวายตัวแข็งทื่อ พอฟังคำพูดจากระบบก็ยิ่งอยากด่ากราดให้รู้แล้วรู้รอด จวินฉิงยัยเด็กชาเขียว[1]ดูไม่ออกเลยจริงๆ เสียแรงที่คิดว่าน้องสามีคนนี้น่ารักน่าชัง มีน้องสามีแบบนี้ช่างน่ากลุ้มใจโดยแท้
_____________
ประตูใหญ่ของตำหนักฮวาเจียวปิดสนิท ด้านในเผากำยานสงบจิตที่มีเฉพาะในซีหนาน บรรยากาศก่อนหน้านี้ระหว่างคนทั้งสองภายในตำหนักกลับดูลึกลับยิ่งนัก
“จวินฉิง เจ้าเอาแต่ใจเกินไปแล้ว ข้าสอนโคลงกลอนยุทธการให้เจ้าตั้งแต่เล็ก ก็เพื่อให้เจ้าใช้ทำร้ายผู้อื่นหรอกหรือ?” จวินเฉิงสีหน้าบูดบึ้ง น้ำเสียงไม่มั่นคง เห็นชัดว่าโกรธจัดแล้ว
“เขาก็แค่คนสารเลว ทำร้ายผู้คนตั้งมากมายเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ทั้งยังคิดเพ้อเจ้อว่าจะยั่วยวนท่าน” จวินฉิงกล่าวอย่างน้อยใจ “อีกอย่าง ข้าไม่ได้ทำร้ายเขาสักหน่อย ตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จเข้ามา ข้าก็ไม่ได้พูดเลยสักคำ ความจริงเป็นอย่างไร ก็สุดแท้แต่ฝ่าบาทจะเข้าพระทัยมิใช่หรือ?”
จวินเฉิงน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ครั้งหน้า อย่าได้หาเรื่องเดือดร้อนให้เขาอีก”
จวินฉิงส่งเสียงอืมเบาๆ เป็นเชิงว่าตนเข้าใจแล้ว แต่กลับไม่ยอมหันกลับไปมองจวินเฉิง เห็นชัดว่ายังไม่หายโกรธ
จวินเฉิงส่ายศีรษะ ก่อนออกจากตำหนักฮวาเจียวไปโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ตันหวายคิดไม่ถึงว่าจวินเฉิงจะมาหา ทั้งยังพกร่มมาคันหนึ่งด้วย ย่างเข้าเที่ยงวันพอดี แสงแดดร้อนแรงแผดเผา ตันหวายเกือบนึกว่าตัวเองจะโดนตากแห้งเสียแล้ว
จวินเฉิงถือร่มไว้ กางออกเป็นร่มเงาให้แก่ตันหวายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตันหวายรู้สึกว่าจวินเฉิงทำผิดกติกานิดหน่อย เห็นชัดๆ อยู่ว่าเขาต้องการล่อลวงจวินเฉิง ทำไมตอนนี้รู้สีกเหมือนตัวเองโดนล่อลวงคืนอย่างไรอย่างนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ตันหวายคิดว่าต้องพลีกายมอบชีวิตแล้ว
“จวินเฉิง ท่านมาได้อย่างไร” ตันหวายเงยหน้าขึ้นสบตาที่หลุบลงเล็กน้อยของจวินเฉิง เมื่อเห็นไฝดวงเล็กน่ารักนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ต้องโทษคุกเข่าสนุกมากนักหรือ?” จวินเฉิงโน้มกายลงเล็กน้อย ขยับเข้าไปใกล้ตันหวายขึ้นอีก
“ต้องโทษคุกเข่าไม่สนุก แต่พบท่านแล้วสุขใจ”
จวินเฉิงตะลึงงัน หรี่ตาพลางเข้าใกล้เขา กล่าวแนบชิดใบหูของเขาว่า “เจ้าตั้งใจยั่วยวนข้าจริงๆ หรือ?”
ตันหวายไม่กล่าวอะไร เพียงรู้สึกว่าจวินเฉิงมาพูดใกล้ๆ เขาแล้วทำให้เขาจั๊กจี้ที่ใบหู
จวินเฉิงยืดกายเหยียดตรง มองไปเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า “อยู่ซีหนานข้ามักได้ฟังเรื่องราวของเจ้า ร่ำลือกันกว้างขวางทั่วซีหนาน บางคนยังเอาเรื่องเล่าของเจ้าไปเรียบเรียงเป็นบทละคร ส่งไปเล่าที่โรงน้ำชาตั้งหลายหน พูดออกมาเจ้าอาจไม่เชื่อ ข้าเล่าตอนสั้นๆ ให้ฟังสักสองสามบทก็ยังได้…”
ตันหวายรู้ว่าเรื่องราวของเจ้าที่จวินเฉิงกล่าวถึงหมายความว่าอย่างไร บัดนี้ในสายตาของชาวโลก ตันฝูเซิงเป็นแค่ตัวอย่างของพวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา ตันหวายรู้สึกจุกอยู่ในอก จวินเฉิงรับรู้ประวัติดำมืดของเจ้าของร่างเดิมมานานเพียงนี้ มิใช่ว่าเขายิ่งประจบประแจงลำบากกว่าเดิมหรอกหรือ?
“แต่หลังจากข้าได้มาพบเจ้าที่ฉางอัน กลับพบว่าข่าวลือในตลาดก็เป็นข่าวลืออยู่วันยังค่ำ” จวินเฉิงชำเลืองมองเขาแล้วกล่าวต่อ “เจ้าไม่ได้เหลือขอเหมือนอย่างเขาเล่ากัน พวกเขากล่าวเกินจริงไป”
“ท่านแน่ใจขนาดนั้นเชียว ข้าไม่เหมือนอย่างข่าวลือข้างนอกนั่นหรือ?” ตันหวายบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในใจตนรู้สึกเช่นไร น้อยใจระคนปลื้มใจผสมปนเปกัน ประดังประเดจนหัวใจของเขาทั้งบีบรัดทั้งพองโต
จวินเฉิงไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแค่ถือร่มอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เช้านี้เดิมทีตันหวายเพียงแค่เป็นหวัด แต่พอมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ อาการป่วยจึงยิ่งทรุดหนักขึ้น ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนลงทุกที ตันหวายหนาวจนตัวสั่นระริก
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านไข้ขึ้นสูง คุกเข่าต่อไปไม่ได้อีกแล้ว)
ตันหวายรู้ว่าระบบกำลังพูดกับตน แต่เขากลับไม่รู้ว่าระบบพูดอะไรอยู่ ท่าทางสมองจะโดนพิษไข้เล่นงานเข้าแล้ว ตันหวายคิด
จวินเฉิงไม่ทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติของตันหวาย เห็นตะวันคล้อยลงจึงค่อยๆ หุบร่มเก็บกลับไป ”แดดร่มลมตกแล้ว ร่มนี้ ข้าเอากลับไปล่ะนะ”
——
[1] มาจากคำแสลงว่า 绿茶婊 (นังชาเขียว) หมายถึง โสเภนีสาว