[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 68 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (37) / ตอนที่ 69 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (38)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 68 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (37) / ตอนที่ 69 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (38)
ตอนที่ 68 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (37)
อารมณ์ผิดปกติของเริ่นตงหลิว ตันหวายสัมผัสได้เช่นกัน แต่เขาเองก็คิดไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน
ภาพยนตร์ถ่ายทำเป็นเวลาสี่เดือน กระบวนการนับว่าดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยประสบการณ์จากละครเวทีก่อนหน้านี้ ตันหวายจึงเล่นได้ชำนาญขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ฉากเลิฟซีนสำคัญล้วนตกอยู่ที่สุยยางกับนักแสดงนำอีกคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตันหวาย จึงยิ่งง่ายดายเข้าไปอีก
หลังจากภาพยนตร์เสร็จสิ้นก็เป็นงานเลี้ยงปิดกล้อง ทีแรกตันหวายไม่อยากไป แต่ปฏิเสธผู้กำกับที่มาชักชวนด้วยตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องไปอยู่ดี
โทรศัพท์บอกเริ่นตงหลิวว่าจะกลับบ้านดึกหน่อย เริ่นตงหลิวไม่ว่าอะไร เพียงแค่กำชับประโยคเดียวให้กลับบ้านเร็วๆ
ตันหวายจอดรถไว้หน้าประตูโรงแรม มองดูมือถือที่ถูกตัดสายอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม เอาแต่คิดว่าหลายเดือนมานี้เริ่นตงหลิวอารมณ์ผิดปกตินิดหน่อย ตันหวายว้าวุ่นใจ แอบกระซิบถามระบบว่า “นี่ภรรยาผมเป็นอะไรไป?”
(หึงหวงล่ะมั้ง) ระบบกล่าวตอบอย่างรำคาญ ช่วงนี้ศูนย์บัญชาการใหญ่ระบบเปิดโปรเจกต์โทรทัศน์จำลอง ระบบเหล่านี้สามารถเข้าชมรายการบันเทิงได้ ที่เจ๋งที่สุดก็คือ โทรทัศน์เครื่องนี้รวบรวมละครและภาพยนตร์ชั้นยอดจากทุกโลก ฟินสุดติ่งไปเลยทีเดียวเชียว ทำเอาตันหวายอิจฉาตาร้อนเสียยกใหญ่
ส่วนกิริยาท่าทีของระบบ ตันหวายก็เห็นจนชินตาแล้วเช่นกัน ก่อนเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาหึงน่ะ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงได้หึง เพราะผมถ่ายหนังเรื่องเดียวเหรอ? ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง!”
ระบบแค่นเสียงเหอะๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงว่าเอ็งนี่ท่าจะเป็นไอ้งั่งซะล่ะมั้ง (ท่านเจ้าของร่าง เขาจะหึงเรื่องอะไรได้ ก็ต้องเป็นเพราะสุยยางอยู่แล้วสิ!)
ตันหวายชะงักท่าดูนาฬิกาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ล้อเล่นกันใช่ไหมเนี่ย! สุยยาง? เพราะสุยยางเนี่ยนะ!”
(เจ้าของร่างเดิมกับสุยยางคบกันมาตั้งกี่ปี? ถึงแม้คุณจะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ว่าเริ่นตงหลิวเขาไม่รู้เรื่องด้วย สุยยางกับคุณอยู่ทีมนักแสดงเดียวกัน คุณไม่ยอมปริปากบอกเสียด้วยซ้ำ เขาย่อมจะไม่พอใจเป็นธรรมดา ไม่แน่ว่า เขาอาจจะคิดว่าคุณยังมีใจให้กับสุยยางก็ได้)
ในที่สุดตันหวายก็รู้ซึ้งแล้วว่าการมีคนที่เข้าใจสักคนนั้นสำคัญแค่ไหน ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าก้าวลงจากรถ ตันหวายราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
งานเลี้ยงปิดกล้องผ่านไปด้วยดี เพียงแต่ดื่มเหล้าหนักเกินไปหน่อย แต่ก่อนเจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยดื่ม ทำเอาเขาไม่ค่อยชินเหมือนกัน พอตั้งวงดื่มเหล้าไปเรื่อย สมองก็ชักจะมึนงงนิดหน่อย
ตันหวายออกมาจากโรงแรม หยิบมือถือเตรียมจะหารถรับจ้างอย่างโซซัดโซเซ สุยยางวิ่งไล่ตามมาข้างหลัง มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงกล่าวว่า “เดี๋ยวฉันให้ผู้ช่วยฉันส่งนายกลับบ้านดีกว่า”
ตันหวายชำเลืองมองเขา ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น พลางก้มหน้าปัดป่ายมือถือต่อไป ล้อเล่นอะไรกัน จะให้ผู้ช่วยนายส่งกลับบ้าน เริ่นตงหลิวไม่โวยบ้านแตกรึไง?
“สภาพนายแบบนี้มันอันตรายเกินไป รถรับจ้างก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคนดี ฉัน…”
“เริ่นตงหลิว?”
สุยยางยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ตันหวายก็เขย่งเท้าขึ้นโบกมือไปทางถนนฝั่งตรงข้าม
เริ่นตงหลิวยังไม่ทันเดินมาถึง ตันหวายก็โผเข้าหาอ้อมกอดของเริ่นตงหลิวประหนึ่งลูกกระสุน จากนั้นก็หลับตาลงอย่างสบายใจ
สุยยางนิ่งงัน ลำคอพลันจุกแน่น ก่อนคลี่ยิ้มให้เริ่นตงหลิวอย่างขมขื่น
เริ่นตงหลิวสีหน้าหวาดระแวง สายตาที่มองสุยยางราวกับมองเห็นหมาป่าเจ้าเล่ห์จ้องจับกินกระต่ายของเขา แลดูโหดเ**้ยมอย่างยิ่ง
ถอดเสื้อโค้ทของตนออกมาคลุมตัวตันหวายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่นตงหลิวกึ่งอุ้มเขาขึ้นรถแล้วขับจากไปทันที
ผู้กำกับที่ออกมาจากโรงแรมยกมือขยี้ตา ตบบ่าสุยยางเบาๆ พลางถามอย่างระมัดระวัง “เมื่อกี้ นั่นเริ่นตงหลิวหรือ?”
สุยยางไม่กล่าวตอบ เฝ้ามองรถที่เคลื่อนห่างออกไปอย่างเหม่อลอย
แม้ว่าตันหวายจะรู้สึกมึนเมา แต่ยังไม่ถึงขั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะ รุกไล่หยอกเย้าเริ่นตงหลิวทีละน้อยโดยไม่ยอมรามือไปตลอดทาง
จนกระทั่งเริ่นตงหลิวอุ้มมาวางไว้บนเตียง ตันหวายจึงค่อยสำนึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
จ้องมองใบหน้าที่อยู่ใกล้เพียงคืบบนร่าง ตันหวายงงงวยเล็กน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? สีหน้าของภรรยาตนดูจะดุร้ายไม่เบาทีเดียว!
เริ่นตงหลิวแค่นหัวเราะ กดร่างเขาพลางบรรเลงบทจูบโดยไม่ยอมให้คัดค้าน
“มีเรื่องอะไรกับสุยยาง?” เริ่นตงหลิวปล่อยตันหวายเป็นอิสระ รอฟังตันหวายอธิบายด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
ตันหวายยังประมวลผลในสมองไม่ทัน ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เริ่นตงหลิวหัวใจกระตุกวูบ คว้าไหล่ของตันหวายเอาไว้ กล่าวเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “คุณยังชอบเขาอยู่จริงๆ หรือ?”
“ใคร?” ตันหวายฟื้นคืนสติกลับมาจนได้ พยายามเอาตัวรอดสุดชีวิต “คุณหมายถึงเริ่นตงหลิว? ใช่น่ะสิ ผมก็ชอบเขานั่นแหละ ชอบเริ่นตงหลิวคนเดียว!”
พอสิ้นเสียงกล่าว ตันหวายไม่ทันได้รับคำตอบจากเริ่นตงหลิว แต่กลับเป็นการกระทำที่ดุดันป่าเถื่อนยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ 69 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (38)
แสงแดดยามรุ่งอรุณช่างแสนทรมาน กลิ่นอาหารเช้าที่วนเวียนตรงปลายจมูกก็แสนทรมาน กลิ่นอายฮอร์โมนที่เริ่นตงหลิวทิ้งเอาไว้ล้วนแสนทรมาน
ตันหวายเหยียดกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างปวดเมื่อยไปทั้งตัว มองดูเรือนร่างเปลือยล่อนจ้อนของตนด้วยสีหน้างุนงง
ประตูห้องถูกเปิดออก เริ่นตงหลิวยกอาหารเช้าเข้ามา เห็นตันหวายตื่นเรียบร้อยแล้วก็อมยิ้มพลางเลิกคิ้ว
นึกอยากจะผุดลุกขึ้นยืน ตันหวายพลันแข็งทื่อ รู้สึกเหมือนเอวไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว
ถูกต้อง ตันหวายถูกเขาจับกด!
เขาถูกภรรยาตัวเองจับกดเสียแล้ว!
เริ่นตงหลิววางอาหารเช้าบนตู้หัวเตียงแล้วขยับเข้ามาใกล้เขา หยิบผ้าห่มที่หลุดร่นลงไปขึ้นมาคลุมตัวให้ตันหวายอย่างนุ่มนวล กล่าวว่า “อยากให้ผมป้อนข้าวคุณไหม?”
ตันหวายหน้าแดงเรื่อ เบือนหน้าหนีเล็กน้อย เบี่ยงหลบลมหายใจที่รุกเร้าไม่หยุดของเริ่นตงหลิว “ไม่ต้องแล้ว ผมจะกินเอง”
เริ่นตงหลิวกลับไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน หลังลุกขึ้นเปิดตู้เสื้อผ้าหาเสื้อสูทมาสวมให้ตนเองแล้วก็หันมากล่าวกับตันหวาย “มีงานที่สตูดิโอ ผมจะเข้าไปดูหน่อย คุณจะตื่นสายหน่อยก็ได้ ถ้าหลิวหลิวโทรมาให้ตัดสายทิ้งไปเลย”
ตันหวายพยายามกลืนซาลาเปาคำโตลงท้อง หยิบมือถือออกมาเหลือบดูเวลา พบว่ายังเป็นเวลาเช้าตรู่ จึงรีบเรียกเริ่นตงหลิวเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน! ผมมีเรื่องอยากถามคุณ”
ตันหวายวางตะเกียบลงแล้วหันไปมองเริ่นตงหลิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณเป็นศูนย์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณ…”
ตันหวายไม่ได้กล่าวต่อ
เริ่นตงหลิวผุดยิ้มถามกลับว่า “ใครบอกคุณล่ะว่าผมเป็นศูนย์?”
ตันหวายนิ่งเงียบ จริงด้วย เริ่นตงหลิวไม่เคยบอกว่าเขาเป็นเลขศูนย์เลย ตนทึกทักเอาเองว่าเขาเป็นเลขศูนย์เพราะยึดตามจวินเฉิงที่มาก่อนเป็นที่ตั้งล้วนๆ
แต่พอเปลี่ยนโลก หมายเลขก็เปลี่ยนได้ด้วยหรือ? ตันหวายงงงัน
เมื่อนึกถึงความหลังอันปวดร้าวที่ตนพยายามทำตัวเป็นเลขหนึ่งที่ดี ตันหวายก็ชักไม่พอใจ ไม่ได้การ เขาจะต้องหาโอกาสจู่โจมกลับไปให้จงได้
ลูบผมนุ่มของตันหวายที่ชี้โด่เด่ขึ้นมาหลายเส้น เริ่นตงหลิวจูบตันหวายที่มุมปากทีหนึ่ง รู้สึกเอ็นดูจนต้องหักห้ามใจว่าไม่เอาไม่เอา ภรรยาของตนทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กันนะ!
ตันหวายเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจข้ามคำถามข้อนี้ไปก่อน แล้วถามต่ออีกว่า “งั้นก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ผมจะ…จะทำอย่างนั้นคุณก็ปฏิเสธตลอด ทำไมเมื่อคืนถึงได้…”
เริ่นตงหลิวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตอนแรกผมคิดว่าคุณคบกับผมเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เลยกลัวว่าคุณจะเสียใจทีหลัง” เริ่นตงหลิวชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงเจือแววขบขัน “แต่เมื่อคืนนี้ผมคิดดีแล้ว ในเมื่อคุณมายั่วผมก่อน จะเสียใจทีหลังก็ไม่มีโอกาสแล้วล่ะ”
เริ่นตงหลิวพูดเป็นจริงเป็นจัง ตันหวายถูกเขามองจนอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม บ่นพึมพำออกมาคำหนึ่งว่า “ตาทึ่ม”
เริ่นตงหลิวออกไปสตูดิโอแล้ว ภายในคอนโดเหลือเพียงแค่ตันหวายคนเดียว ตันหวายจิบโจ๊กที่ยังดื่มไม่หมดคำเล็กๆ ใบหน้ายังแดงระเรื่อไม่จางหาย
(ท่านเจ้าของร่าง จากการตรวจสอบระบบ ต่อจากนี้ท่านจะพบจุดพลิกผันไปสู่การเป็นราชาภาพยนตร์ โปรดคว้าโอกาสไว้ให้ดี)
ตันหวายพลันนิ่งอึ้งไป รีบถามขึ้นว่า “จุดพลิกผันอะไร?”
(ตามกฎเกณฑ์ของระบบ ไม่สามารถบอกได้)
“…” ตันหวายสูดลมหายใจลึก พยายามเกร็งยิ้มค้างไว้ “บอกไม่ได้แล้วจะพูดทำหอกอะไรไม่ทราบ!”
(นี่เป็นการแจ้งเตือนด้วยความหวังดีอย่างไรเล่า~)
เหอะๆ เชื่อเอ็งกับผีน่ะสิ ไอ้ระบบขยะเอ๊ย ทำลายความรักฉันป่นปี้หมด!
<สิบเจ็ดปี> แม้จะเป็นภาพยนตร์แนวรักร่วมเพศ แต่ก็ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ความสัมพันธ์
ระหว่างชายรักชายได้ค่อยๆ ก้าวออกมาสู่สายตาของสาธารณชน การยอมรับจากมวลชนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปแล้ว คะแนนของ <สิบเจ็ดปี> ไม่เพียงเหนือความคาดหมายของผู้อำนวยการสร้างหลายท่าน แต่ยังทำให้ตันหวายได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย เพียงชั่วข้ามคืน กระแสจับคู่จิ้นในเวยป๋อก็ยิ่งโด่งดังเป็นพลุแตก แฟนคลับคู่จิ้นของตันหวายกับพระเอกอีกคนหนึ่งดูเหมือนว่าจะเชียร์กันจนเลยเถิดเกินกว่าการเป็นคู่จิ้นแล้ว
เริ่นตงหลิวก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างใส่กระดาษเปล่าบนโต๊ะไม่หยุดมือ เขียนไปเขียนมาก็ชะงักปลายดินสอ หัวคิ้วขมวดมุ่น ราวกับกำลังเจอทางตัน
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา เมื่อเริ่นตงหลิวหยิบขึ้นมาดูชื่อบนหน้าจอให้ชัดก็เลิกคิ้วสูง กดปุ่มรับสายแล้วกล่าวว่า “ผมเริ่นตงหลิวครับ”
“รู้แล้วว่าพี่ชื่อเริ่นตงหลิวน่ะ!”
เสียงของซีหร่านดังเอะอะโวยวายเข้ามาในแก้วหู เริ่นตงหลิวกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “มีธุระหรือไง? ”
“บ้าน่า! พี่เห็นเวยป๋อหรือยัง?” น้ำเสียงซีหร่านเจือแววเป็นสุขบนความทุกข์คนอื่น “จะให้ผมไปขี่ม้าบนมหาทุ่งหญ้าฮูหลุนเป้ยเอ่อร์บนหัวพี่ได้ยังล่ะ?”[1]
——
[1] สื่อว่าเจ้าตัวโดนสวมหมวกเขียวบนหัว (戴绿帽) ซึ่งหมายถึงการโดนสวมเขา