[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 182 นับถอยหลังสู่ตอนอวสาน (2) / ตอนที่ 183 ตอนอวสาน
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 182 นับถอยหลังสู่ตอนอวสาน (2) / ตอนที่ 183 ตอนอวสาน
ตอนที่ 182 นับถอยหลังสู่ตอนอวสาน (2)
ในวันฉลองขึ้นปีใหม่ครั้งที่สี่นับตั้งแต่พวกเขารู้จักกัน ไป๋เยว่บอกว่าจะมีเซอร์ไพรส์ให้กับตันหวาย ส่วนเซอร์ไพรส์คืออะไรนั้น ไป๋เยว่ไม่ยอมบอก ตันหวายจึงไม่ได้ซักถาม
คบกันมาสี่ปี ตันหวายล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยไป๋เยว่ฟื้นความทรงจำเรื่องระบบแล้ว จะว่าไปก็ตลกดี เห็นชัดอยู่ว่าไป๋เยว่ไม่รู้เรื่องอะไร ทั้งยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ตันหวายกลับรู้สึกว่าคนในระบบต้องเป็นไป๋เยว่แน่ๆ
อาหารเย็นทานกันที่บ้านพ่อแม่ของไป๋เยว่ ทานเสร็จยังเหลือเวลาก่อนมื้อส่งท้ายปีอีกนาน ตันหวายรู้สึกฝืนความง่วงไม่ไหว จึงหลบเข้าห้องไปนอนพักเอาแรงก่อน
ตันหวายคิดว่ามันเป็นเพียงการงีบหลับสักตื่น แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะฝันเป็นตุเป็นตะ
เขาในความฝันเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง ไม่มีกายเนื้อ เร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์มาโดยตลอด
ความรู้สึกแบบนี้ไม่สบายเอาเสียเลย เขาโดดเดี่ยวอ้างว้าง เฝ้ามองคนสำคัญของตนคอยไปมาหาสู่อยู่ทุกวัน ทว่าไม่อาจสัมผัสแตะต้องพวกเขาได้
ตันหวายชอบไป๋เยว่ ชอบมากเหลือเกิน ชอบจนถึงขั้นผลักเขาออกไปโดยไม่ลังเล ส่วนตัวเองถูกรถชนเสียชีวิตคาที่
ตันหวายเคยได้ยินคำคำหนึ่ง เรียกว่าผีเกาะหลัง แต่ตันหวายรู้สึกว่าตนไม่ใช่วิญญาณประเภทนี้ ตนเพียงแค่แวะมาดูหน้าเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ความฝันนี้ดูสมจริงไปหมดทุกอย่าง ราวกับตันหวายเคยประสบด้วยตัวเองมาก่อน
เขาไม่ได้เข้าสู่ระบบ ตายแล้วก็คือตายเลย ไม่มีโอกาสใดๆ ทั้งสิ้น
ตันหวายนั่งเท้าคางอยู่บนต้นไม้ มองดูไป๋เยว่ขับรถเข้ามาจอด จากนั้นก็ถือดอกยิบโซช่อใหญ่จากในรถเดินไปยังหน้าหลุมศพของเขา
ไป๋เยว่รู้จักกับเขาจากอุบัติเหตุรถชน พวกเขาได้พูดคุยกันเพียงครั้งเดียว ท่ามกลางฤดูฝนอันสุดแสนจะโรแมนติก
ในช่วงชีวิตวัยยี่สิบกว่าปีอันแสนสั้นของตันหวาย ไม่เคยออกไปเผชิญหน้าเพื่อความรักของตนเองเลย
ไป๋เยว่ที่ถือช่อดอกยิบโซช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ตันหวายพลันฉุกคิด ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปใครจะได้ครอบครองความรักของไป๋เยว่ แต่หากได้ครอบครองแล้ว คนคนนั้นย่อมจะมีความสุขอย่างแน่นอน
ตันหวายเร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์มานานแค่ไหนไม่รู้ เขาเฝ้าดูดอกยิบที่โซวางไว้ตรงหลุมศพของตนทุกปี เฝ้าดูใบหน้าของคนคนนั้นค่อยๆ ปรากฏริ้วรอยแห่งวันคืน และเฝ้าดูคนคนนั้นเติบโตขึ้นจากวัยหนุ่มสู่วัยกลางคน
ยามตันหวายพบกับไป๋เยว่ครั้งแรก เป็นฤดูดอกแมกโนเลียบานสะพรั่ง
ฤดูนั้นเหมาะแก่การวาดภาพธรรมชาติ ตันหวายหอบหิ้วอุปกรณ์ถุงใหญ่เล็กมานั่งอยู่ใต้ต้นแมกโนเลีย แล้วเริ่มลงมือสเก็ตช์ภาพทิวทัศน์โดยรอบอย่างประณีตบรรจง จนกระทั่งใครคนหนึ่งกระแทกตาเขาเข้าอย่างจัง
คนคนนี้หน้าตาหล่อเหลาคมคาย บาดลึกตราตรึงในหัวใจของตันหวายดุจกระบี่วิเศษเบิกฟ้าผ่าปฐพี ตอนนั้นเขาคิดว่า นี่อาจจะเป็นที่มาของรักแรกพบในตำนานก็เป็นได้
ตันหวายนึกว่าเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเป็นความปรารถนาอันมั่นคงถาวร
ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ฝนตกเป็นเทน้ำเทท่า ไม่ทันไรก็ตกลงมาเป็นรอบที่สอง ว่ากันว่าฝนฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งน้ำมัน งั้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้ก็คงได้รวยเละกันแล้ว
ตรงนี้อยู่ห่างจากที่หลบฝนอีกไกลพอสมควร ตันหวายเร่งเก็บอุปกรณ์ของตนมือเป็นระวิงด้วยกลัวว่าจะเปียกน้ำ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับลงทุนลงแรงไปเสียเปล่า
“โทษนะครับ ให้ผมช่วยไหม?” ร่มคันหนึ่งพลันกางอยู่เหนือศีรษะของตันหวาย คนถือร่มรูปโฉมปานประดุจขุนเขาเขียวขจีกลางหมอกฝนแห่งเจียงหนาน[1]
ไป๋เยว่ไม่ได้ก้มลงมาช่วยตันหวายเก็บของ เขายืดอกยืนตัวตรง ถือร่มที่สามารถจุคนได้สองคนคันนั้นกำบังกองวัสดุอุปกรณ์กับภาพที่เพิ่งจะวาดเสร็จอย่างระมัดระวัง
ตันหวายหัวใจเต้นโครมคราม คิดในใจว่าจะต้องเป็นคนที่อบอุ่นมากแน่ๆ
หยาดน้ำฝนตกโปรยปรายลงมา ตันหวายกับไป๋เยว่ต่างก็เปียกโชกไปครึ่งตัว แต่สิ่งของอันมีค่าที่สุดสำหรับเขาล้วนถูกขนย้ายไปยังที่หลบฝนอย่างครบถ้วนปลอดภัยแล้ว
“ขอบคุณครับ” ตันหวายกล่าวอย่างซาบซึ้งน้ำใจ “ขอเบอร์ติดต่อเอาไว้ได้ไหมครับ ผมจะเลี้ยงข้าวคุณเอง”
ไป๋เยว่คลี่ยิ้ม สายตาจับจ้องไปยังกระบอกใส่แบบที่เก็บเรียบร้อยแล้ว “วาดสวยมากเลยนะ ผมทนเห็นมันเปียกไม่ได้หรอก ถ้ามีโอกาสไว้เจอกันใหม่ครับน้อง”
เขาบอกว่าถ้ามีโอกาส แต่ตันหวายรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาคงไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน เพราะหลังจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยพูดคุยกับไป๋เยว่อีกแม้แต่ประโยคเดียว
โอกาสของพวกเขาทั้งสอง ล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของตันหวาย
วันเช็งเม้งเวียนมาถึงอีกปี ตอนนี้ไป๋เยว่ในวัยสามสิบยืนอยู่ตรงหน้าป้ายหลุมศพของตันหวาย บ่นพึมพำให้ฟังว่า “แม่เซ้าซี้ให้ผมแต่งงานอีกแล้ว แต่ผมยังไม่เจอคนที่ชอบจริงๆ นี่นา”
“เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้ยินข่าวมา ที่แท้คุณก็ชอบผมนี่เอง”
ตันหวายใจหล่นวูบ ไม่เข้าใจว่าตนตายมาตั้งนานหลายปี ทำไมความลับของตนถึงถูกเปิดเผยเอาตอนนี้
ไป๋เยว่เอื้อมมือไปลูบตัวหนังสือบนป้ายหลุมศพ หัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “แม่คุณบินไปต่างประเทศแล้ว ผมรู้เรื่องตอนที่ช่วยเขาเก็บของของคุณนั่นล่ะ ปี 2015 ภาพที่คุณวาด มันสวยงามจริงๆ ที่แท้ผมก็ดูดีขนาดนี้เชียว”
“เจ้าหนูน้อย ที่จริงคุณหน้าตาตรงสเปคผมไม่ใช่เล่นเลย ยังไงซะตอนนี้ผมก็เปิดตัวแล้ว ถ้าคุณยังอยู่ ผมจะตามจีบคุณ”
ตันหวายลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา ขอบตาแดงก่ำไปหมด จู่ๆ ก็คิดว่าเราตายแล้วทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวด
ถึงแม้เมื่อก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้กลับทุกข์ทรมานยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ยังไงซะตอนนี้ผมก็มีทุกอย่าง จะขาดก็แต่คนรู้ใจ” ไป๋เยว่โพล่งขึ้นอีกว่า “ผมหาวิธีได้แล้ว พวกเราลองดูกันหน่อยไหม?”
ต่อให้ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ไป๋เยว่คิด ถือเสียว่ายื่นหมูยื่นแมว เขาไม่เสียเปรียบอะไรอยู่แล้ว
——
[1] เจียงหนาน คือพื้นที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำแยงซีเกียงซึ่งมีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพอันงดงาม
ตอนที่ 183 ตอนอวสาน
จากนั้นตันหวายก็ได้รู้ว่าวิธีดังกล่าวคืออะไร ไป๋เยว่พาเด็กหนุ่มตัวผอมคนหนึ่งมาเยี่ยมเขา
สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องอยู่บนป้ายหลุมศพของเขา หรี่ตาพึมพำว่า “ตันหวาย…”
“สบายใจเถอะ ได้ผลอยู่แล้ว ขอแค่เขาผ่านภารกิจของระบบ เขาจะได้ฟื้นคืนชีพแน่นอน” เด็กหนุ่มยืนยัน “แต่คุณอย่าลืมเอาของให้ผมด้วย กว่าผมจะหาคนบุญหนักอย่างนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ”
เด็กหนุ่มคนนั้นคือใครตันหวายไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ไป๋เยว่เป็นคนที่สั่งสมบุญบารมีมาหลายภพชาติ หากเขาร้องขอความเมตตาแทนเด็กหนุ่ม คำสาปที่ติดตัวมากับเด็กหนุ่มย่อมจะคลายลงได้
ในที่สุดไป๋เยว่ก็เข้าสู่ระบบพร้อมกับตันหวาย นับแต่นั้นมากาลเวลาจึงไหลย้อนกลับ เรื่องราวทุกอย่างระหว่างพวกเขาเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง
เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียง ตันหวายก็สับสนงุนงงชั่วขณะ ประหนึ่งหวนกลับไปยังตอนที่เขาเป็นวิญญาณเร่ร่อน
เงยหน้ามองนาฬิกา ที่แท้ก็ยังเหลือเวลาก่อนถึงเที่ยงคืนอีกครึ่งชั่วโมง
ตันหวายนวดคลึงลำคอที่ปวดเมื่อยราวกับครุ่นคิดบางอย่าง พอจะรู้แล้วว่าทำไมไป๋เยว่ถึงจำความไม่ได้
ไป๋เยว่ในช่วงเวลานั้นได้สูญหายไปในช่องว่างแห่งกาลเวลาแล้ว หากแต่โชคดีว่า ไป๋เยว่ยังคงอยู่เคียงข้างเขา
พอออกมาจากห้องนอน ตันหวายก็สบเข้ากับดวงตาอันแสนลึกล้ำคู่หนึ่ง
ไป๋เยว่รวบตัวตันหวายมากอดไว้ ราวกับจะฝังเขาอยู่ในอ้อมอกของตนอย่างไรอย่างนั้น
ตันหวายตะลึงงันไปชั่วครู่ พลันคลี่ยิ้มเอ่ยแซวว่า “คุณตั้งใจจะกอดผมข้ามปีหรือไง? ถึงผมจะไม่เกี่ยงอะไรก็เถอะ แต่ผมว่าคุณแม่คงหมั่นไส้คุณน่าดู”
ไป๋เยว่ไม่ตอบรับ เพียงซุกหน้าลงกับซอกคอของตันหวายแล้วสูดลมหายใจลึก
จู่ๆ ตันหวายก็นึกถึงจักรวาล abo โอเมก้าทุกคนต่างสงวนบริเวณหลังคอไว้ให้อัลฟ่าของตนเพียงผู้เดียว
ตันหวายเอื้อมมือไปโอบเอวคนตรงหน้าเอาไว้ เอ่ยถามขึ้นช้าๆ “เป็นอะไรไป? เมื่อกี้ผมเผลอหลับฝันด้วยคุณรู้หรือเปล่า”
“ผมนึกออกหมดแล้ว” ไป๋เยว่พูดพึมพำราวกับรู้สึกเสียใจ
ตันหวายตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก และไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่ไป๋เยว่นึกออกจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ตนคิดอยู่หรือเปล่า
“ผมนึกออกหมดแล้ว ผมนึกออกหมดแล้ว ตันหวาย ผมนึกออกหมดแล้ว” ไป๋เยว่ทำตัวไม่ถูก “ผมลืมมันไปได้ยังไง พวกเรารักกันมานานขนาดนั้น ทำไมผมถึงลืมมันไปหมด”
คุณพ่อกับคุณแม่ไป๋กำลังดูชุนหว่าน[1]อยู่ในห้องรับแขกชั้นล่าง ไม่รับรู้ว่าข้างบนเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
แววตาของตันหวายค่อยๆ เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตบไหล่เขาเบาๆ ชี้ไปยังดอกไม้ไฟนอกหน้าต่างพลางกล่าวว่า “จะฉลองปีใหม่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ข้างนอกเขาเริ่มจุดพลุกันแล้วนะ”
ไป๋เยว่เงยหน้าขึ้นช้าๆ อย่างอึ้งงัน จ้องมองตันหวายด้วยสายตากระเง้ากระงอด คล้ายบอกเป็นนัยว่าเขาชอบทำลายบรรยากาศซะจริงๆ
ตันหวายแลบลิ้นปลิ้นตา พอจะเอ่ยปากพูดก็ถูกไป๋เยว่ชิงจูบเสียก่อน
จูบครั้งนี้ช่างวาบหวามละเมียดละไม ราวกับรอคอยมาแสนเนิ่นนาน จนบัดนี้ได้เติมเต็มความปรารถนาในที่สุด
ตันหวายที่ได้รับจุมพิตเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มในแววตา เสียงระฆังดังกังวานจากด้านนอกหน้าต่าง ดูสิ ปีใหม่เยือนมาถึงแล้ว
~
ปีที่ตันหวายเรียนจบปริญญาโท ก็ได้รับทาบทามเข้าทำงานในมหาวิทยาลัยจนกระทั่งได้เป็นอาจารย์ดีเด่น และในปีเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มรุ่นใหญ่สองคนก็ได้ฤกษ์จัดพิธีแต่งงานครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิต
ในความคิดเห็นของตันหวาย สำหรับชายวัยผู้ใหญ่สองคน การแต่งงานไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก เพียงแต่ไป๋เยว่ยื่นคำขาดจนเขาต้องยอมตกปากรับคำอย่างจนใจ
อืม นั่นล่ะ คุณตันจอมหยิ่งไม่มีทางยอมรับหรอกว่าเขาตั้งใจลดน้ำหนักมาตลอดหลายเดือนเพื่องานแต่งงานครั้งนี้ สุดท้ายไป๋เยว่ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงต้องบังคับให้เขากินอาหารเสียบ้าง
คุณพ่อกับคุณแม่ตันที่เดินทางท่องโลกระยะยาวก็กลับมาอย่างคาดคิดไม่ถึง ทำเอาตันหวายทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้นอย่างยิ่ง
คุณแม่ตันหอบของฝากจากต่างประเทศพะรุงพะรังเต็มอ้อมแขน พบเจอใครก็ส่งมอบให้คนนั้น โกดังเก็บของที่ใหญ่ที่สุดก็คือบ้านพ่อแม่ของไป๋เยว่
ตันหวายนั่งอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วมองชุดสูทสีขาวที่วางพาดตรงหน้า กังวลเหลือเกินว่าตนจะสวมมันได้พอดีหรือไม่
ต้องโทษไป๋เยว่คนเดียว ตันหวายทำเสียงฮึดฮัด ถ้าเขาไม่เอาแต่จับเราขุนให้อ้วน เราก็คงไม่กลัวว่าจะใส่สูทไม่เข้าขนาดนี้
ตันหวายหยิบชุดมาใส่อย่างไม่สบอารมณ์นัก ทันใดนั้นก็ผ่อนลมหายใจ ยังไหวๆ เรายังพอใส่เข้าไปได้อยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้แจ้นไปบีบคอเขาแน่แล้ว
แต่ทว่าดีใจได้ไม่ทันไร ตันหวายก็ถึงกับยืนแข็งทื่ออยู่หน้ากระจกแต่งตัวบานใหญ่
นี่มัน!
นี่มันพุง!
นี่มันพุงน้อยๆ ยื่นปริออกมา!
ของเขาเหรอ?
ตันหวายแทบไม่อยากจะเชื่อ ก่อนเบือนสายตากลับมาอย่างห่อเหี่ยว ตันหวายนึกถึงบัตรสมาชิกฟิตเนสที่ตนโยนทิ้งลงลิ้นชักจนฝุ่นจับ อยากจะโขกหัวตัวเองตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
จนกระทั่งยืนอยู่ต่อหน้าบรรดาแขกเหรื่อ ตันหวายก็ยังแขม่วพุงตัวเองไว้อย่างสุดชีวิต
ไป๋เยว่ที่สังเกตเห็นอาการอึดอัดของตันหวายเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่โชคดีว่ากลั้นเอาไว้ได้
พิธีกรเป็นคนที่คุณแม่ตันเชิญมาเองโดยเฉพาะ มีความเป็นมืออาชีพสูงมากทีเดียว ทำให้บรรยากาศในงานครึกครื้นขึ้นมาถนัดตา
ช่วงพิธีแลกแหวนในตอนท้าย ไป๋เยว่สวมแหวนอันเรียบง่ายธรรมดาให้กับตันหวาย แล้วประทับจูบลงบนนิ้วของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
เสียงฮือฮาของบรรดาแขกเหรื่อดังมาจากด้านล่าง ไป๋เยว่ยกยิ้มมุมปาก กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ไม่ว่าที่ไหนเมื่อใด ไม่ว่ามีฐานะเช่นไร ผมจะรักคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ตันหวายกะพริบตาปริบ สวมแหวนให้กับไป๋เยว่ด้วยมืออันสั่นเทา “คุณไป๋เยว่ ผมรอดื่มกูหลูเมิ่งที่คุณบ่มเองอยู่นะครับ”
“ครับ ผมรักคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
——
[1] ชุนหว่าน (春晚) คือรายการโทรทัศน์งานราตรีฉลองตรุษจีนประจำปี