[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 158 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (7) / ตอนที่ 159 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (8)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 158 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (7) / ตอนที่ 159 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (8)
ตอนที่ 158 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (7)
บรรยากาศคึกคักในเมืองหลวงดุจดังมวลบุปผาที่แย้มบานไม่รู้โรย แม้สักวันหนึ่งอาจเ**่ยวแห้งโรยรา ทว่ามันช่างงดงามชวนหลงใหล งดงามจนมิอาจประเมินค่าได้
ตันหวายกับเฟิงสือหลี่เดินเคียงไหล่กันไปตามถนนอันพลุกพล่าน ต่างคนต่างไม่พูดไม่จา ตันหวายไม่รู้จะเอ่ยปากชวนคุยอย่างไร ส่วนเฟิงสือหลี่ก็เดาไม่ถูกว่าตันหวายคิดสิ่งใดอยู่
ตั้งแต่เฟิงสือหลี่บอกว่าเขาเป็นคนสังหารซือจุนเมื่อครู่นี้ คนทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกสักประโยคเดียว
เมื่อสังเกตเห็นว่ารอบๆ มีร้านขายน้ำตาลปั้นเต็มไปหมด ตันหวายก็ปรี่เข้าไปซื้อมาสองไม้โดยไม่รอช้า ไม้หนึ่งคาบไว้ในปากของตน อีกไม้หนึ่งยัดใส่มือให้เฟิงสือหลี่
เฟิงสือหลี่สีหน้าแปลกพิกล ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่ใหญ่กว่าจะโพล่งออกมา “ข้าไม่กินน้ำตาลปั้น”
ตันหวายกัดหัวน้ำตาลปั้นออกมาเคี้ยวเสียงดั้งกร้วมๆ พลางแค่นหัวเราะ “ใครบอกให้ท่านกินเล่า ข้าฝากท่านช่วยถือต่างหาก”
เฟิงสือหลี่ “…”
มองดูน้ำตาลปั้นที่หน้าตายากจะพรรณนาเป็นคำพูดในมือด้วยสีหน้ามึนตึง เฟิงสือหลี่คลี่ยิ้มถาม “นี่เจ้าคงใช้เงินข้าซื้ออีกกระมัง”
“ใช่น่ะสิ” ตันหวายอมน้ำตาลปั้นในปากพลางพูดงึมงำ บางครั้งยังส่งเสียงชื้นแฉะออกมาขณะพูดคุย
พอได้ยินเสียงหยาบโลนเช่นนี้เฟิงสือหลี่ก็กระตุกมุมปาก ก่อนหน้านี้เขาเสียสติไปแล้วจริงๆ ที่คิดว่าเขาละม้ายคล้ายคลึงซือจุนของตนนิดหน่อย
ตันหวายเคี้ยวน้ำตาลปั้นในปากจนหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ตันหวายรู้สึกว่าน้ำตาลปั้นโบราณนี้ช่างอร่อยดีแท้ แทบจะใช้วัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมดเลยทีเดียว
ลิ้มรสหวานละมุนในโพรงปากจนหยดสุดท้ายอย่างอ้อยอิ่ง ตันหวายเอื้อมมือไปขอน้ำตาลปั้นอีกไม้จากเฟิงสือหลี่
รออยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ตันหวายตกตะลึงเมื่อหันกลับมาพบว่า ใครบางคนที่เพิ่งจะบอกตนว่าไม่ชอบกินน้ำตาลปั้นกำลังขบเคี้ยวแท่งน้ำตาลของเขาอย่างเอร็ดอร่อย
ตันหวาย “…”
ไหนพูดเสียดิบดีว่าไม่ชอบน้ำตาลปั้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันเล่าไอ้น้องชาย
“เด็กน้อย” ตันหวายพึมพำกับตนเอง
เฟิงสือหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันหูผึ่ง ทว่ามิได้เอื้อนเอ่ยคำใด
ตอนที่ออกมาจากเมืองหลวง ฝูงชนรอบข้างค่อยเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ มีเพียงชาวนาไม่กี่คนที่ออกนอกเมืองมาทำนาทำไร่ ขณะที่เดินผ่านพวกเขาไปก็คอยส่งยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร
ตันหวายหยุดชะงักกะทันหัน ถามเฟิงสือหลี่ข้างๆ ว่า “ต่อจากนี้ท่านมีแผนการอย่างไรบ้าง?”
เฟิงสือหลี่ไม่เอ่ยตอบ เพียงจ้องมองเขาด้วยแววตาลึกล้ำ ราวกับเขาเก็บซ่อนทุกสิ่งที่ตนต้องการพูดเอาไว้ภายในดวงตา เฝ้ารอให้เขาค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
“เฟิงสือหลี่” ตันหวายกล่าวเสียงจริงจัง “ข้าไม่มีที่จะไป ท่านล่ะ ท่านมีที่ไปหรือเปล่า?”
เฟิงสือหลี่ส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าไม่มี”
แววตาของเขาเจือความสับสนว้าวุ่นสุดจะหยั่งถึง ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดว่าเพราะเหตุใดตนจึงไม่มีที่ไป ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกขึ้นได้ เนิ่นนานมาแล้วตนเคยมีที่พักพิง แม้ที่พักพิงแห่งนั้นจะคับแคบทรุดโทรม แต่ทว่ามีคนที่เขาเคยหวงแหนอย่างสุดหัวใจ บางทีอาจมิใช่เพียงแค่เคยรู้สึก คนสำคัญที่สุดสำหรับเขาในยามนี้ ยังคงเป็นซือจุน
เมื่อเห็นความสับสนในแววตาของเฟิงสือหลี่ ตันหวายก็พลันสะท้อนใจ ยกมือตบบ่าของเขาเบาๆ
“ท่านไม่อยากแก้แค้นให้ซือจุนของท่านหรือ?” ตันหวายถาม
“แก้แค้น…” เฟิงสือหลี่เปล่งเสียงหัวเราะแหบพร่าในลำคอ “ข้าพลั้งมือสังหารซือจุนไป แต่ข้ายังตายไม่ได้เด็ดขาด”
พอเห็นตันหวายทำสีหน้าไม่เข้าใจ เฟิงสือหลี่ก็เม้มริมฝีปาก “ข้าสูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่ง หลงลืมว่าถูกใครยุยงจน…” เขาชะงักไปชั่วครู่ “ข้าต้องตามหาคนผู้นี้”
“ที่จริงแล้วตอนนั้นข้ามัวเมาจนขาดสติ ต่อให้ซือจุนเป็นคนลงมือจริงๆ แล้วอย่างไร”
“สูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่ง?” ตันหวายขมวดคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีที่ไป เช่นนั้นข้าขอติดตามท่านไปด้วยก็แล้วกัน”
ตันหวายหรี่ตามองเขาอย่างแน่วแน่ ดวงตะวันสาดแสงร้อนแรงบนฟากฟ้า เฟิงสือหลี่สูงกว่าตันหวายครึ่งหัว หากอยากจะมองตาเขาตันหวายจำต้องเงยหน้าขึ้น
ร่มเงาผืนเล็กๆ พลันปกคลุมเหนือหน้าผาก ตันหวายรู้สึกสบายตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเห็นว่าเฟิงสือหลี่กำลังเอื้อมมือมาบังแดดให้เขา
เมื่อรู้สึกถึงสายตาจับจ้องของตันหวาย เฟิงสือหลี่ก็กำมืออีกข้างจ่อที่ปากพลางกระแอมเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่าของตนเอง
“ประเดี๋ยวเราไปซื้อร่มสักคันมาบังแดดเถอะ”
ตันหวายดวงตาเป็นประกาย หยีตาพยักหน้าตอบรับ แล้วจึงยื่นมือของตนไปประกบกับมือของเฟิงสือหลี่
ยามปลายนิ้วของมือทั้งสองแตะสัมผัสกัน เฟิงสือหลี่ก็พลันสะดุ้งเฮือกทันใด แม้จะประหม่าอยู่บ้าง ทว่ามิได้หลบเลี่ยง เว้นแต่เพียงใบหูกลับแดงก่ำเป็นปื้นใหญ่
ตันหวายพาดแขนไปโอบไหล่ของเฟิงสือหลี่ เขย่งเท้าเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์นัก ส่วนสูงของเฟิงหลิวหลีช่างน่าชอกช้ำระกำใจโดยแท้ ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักอันยิ่งใหญ่แห่งยุค กลับยังสูงไม่เท่าศิษย์คนเล็กของตนเสียด้วยซ้ำ
เฟิงสือหลี่ไม่รับรู้ถึงความกลัดกลุ้มของตันหวายแม้แต่น้อย จึงถือเอาว่าเขาคงจะเหนื่อยล้าหลังจากเที่ยวเตร่ตลอดทั้งวัน
ร่ายคาถาเรียกกระบี่ของตนออกมา พอเฟิงสือหลี่ตั้งท่าจะพาตันหวายขึ้นไป ก็ถูกมือข้างหนึ่งขวางกั้นเอาไว้
“เฟิงสือหลี่ท่านเสียสติไปแล้วหรือ ที่นี่มันแถบชานเมืองนะ!” ตันหวายแทบจะเหงื่อแตกซิกไปทั้งตัว “ท่านอยากให้ชาวบ้านออกตามล่าเหมือนพวกปีศาจหรืออย่างไร?”
ตันหวายกวาดสายตาดูจนถ้วนทั่ว เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่รอบข้างก็พ่นลมหายใจออกมาเงียบๆ “ยังไม่รีบเก็บลงไปอีก มัวชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันการพอดี”
เฟิงสือหลี่ไม่คิดเช่นนั้น “ไม่มีใครจับข้าได้หรอก”
ตันหวาย “…”
พี่ใหญ่สนใจแต่เรื่องนี้หรือไง ไม่ใช่ท่านต้องสนใจว่าอย่าทำให้ประชาชนแตกตื่นเป็นดีที่สุดหรอกหรือ?
พอเห็นตันหวายสีหน้าบูดบึ้งขึ้นทุกที สุดท้ายเฟิงสือหลี่ก็เก็บกระบี่ของตนกลับเข้าฝักอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ ในขณะที่เก็บเข้าฝักยังไม่วายบ่นพึมพำกับตนเองเบาๆ
ตันหวายถูกเขายั่วโมโหจนแทบจะหัวเราะออกมา
ตอนที่ 159 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (8)
ดูท่าคงจะถูกเฟิงหลิวหลีประคบประหงมเสียจนเคยตัว ตันหวายลูบคางด้วยความเสียดาย นี่ต้องรักใคร่เอ็นดูถึงปานไหน หลังจากประสบเหตุการณ์อันเลวร้ายเขาจึงยังเชื่อใจคนง่ายดายเช่นนี้
เฟิงสือหลี่ถือแผนที่เอาไว้ในมือ แพขนตางามงอนหลุบต่ำ สำรวจดูอาณาเขตของหุบเขาเซียนอย่างตั้งอกตั้งใจ
ตันหวายเอามือเท้าคางพลางแย้มยิ้ม ใบหน้าของเฟิงสือหลี่มองแล้วช่างเจริญตาเจริญใจดีแท้ โดยเฉพาะไฝเม็ดน้อยบนเปลือกตา ยิ่งเขามองทีไรก็ยิ่งรู้สึกเพลิดเพลิน
“เราจะไปฉีเฟิงซานกันก่อน” เฟิงสือหลี่ชี้ไปยังแผนที่แล้วกล่าว “ยามนั้นข้าสติเลอะเลือนจนไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกที สิ่งเดียวที่จำได้คือผู้ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างกายข้าเป็นคนจากสำนักเวยม่อ”
สำนักเวยม่อเป็นสำนักเก่าแก่ในยุทธภพ ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้าสำนักจู๋กวงหลายร้อยปี ทั้งเคยปรากฏมีปรมาจารย์หลายท่านผู้บรรลุสู่สรวงสวรรค์ ถือเป็นสำนักใหญ่อันดับต้นๆ ในยุทธภพ
เห็นตันหวายไม่พูดไม่จา เฟิงสือหลี่ก็กะพริบตาปริบ พอเงยหน้าขึ้นค่อยพบว่าตันหวายกำลังจ้องมองตนด้วยอาการเหม่อลอย ใบหน้าจึงพลอยแดงซ่านอย่างห้ามไม่อยู่
เมื่อได้เห็นคนงามประหม่าเขินอายตันหวายก็อารมณ์ดียิ่งนัก ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้เฟิงสือหลี่พลางชะโงกดูแผนที่ในมือของเขา ตันหวายยังพอจดจำสำนักต่างๆ ในยุทธภพได้โดยอาศัยความทรงจำของเฟิงหลิวหลี และสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั้งหมดนี้ย่อมเป็นสำนักเวยม่อ บรรดาผู้ฝึกตนในสำนักส่วนใหญ่ล้วนทรนงองอาจ ยากจะผูกสัมพันธไมตรี เสมือนดั่งเป็นคุณสมบัติเด่นประจำสำนัก
ตันหวายขมวดคิ้วถาม “นอกจากสำนักเวยม่อ นึกถึงคนอื่นๆ ไม่ออกเลยหรือ”
การบุกรุกสำนักเวยม่อเสี่ยงอันตรายเกินไปจริงๆ พวกเขาสองคนหัวเดียวกระเทียมลีบ แม้มีอาคมของเฟิงหลิวหลีคอยคุ้มครอง ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะกลับออกมาอย่างปลอดภัย
เฟิงสือหลี่ส่ายศีรษะ “ความทรงจำของข้าเหมือนจะถูกใครสักคนบงการ ข้านึกออกถึงเพียงนี้ก็เพราะบำเพ็ญเพียรมานานจนฟื้นความจำกลับมา เรื่องอื่นนึกไม่ออกเลยสักนิดเดียว”
เฟิงสือหลี่ค่อนข้างผิดหวัง เขารู้สึกผิดต่อซือจุนยิ่งนัก นอกจากถูกยุยงจนพลั้งมือทำร้ายซือจุนแล้ว ยังไม่มีปัญญาจะล้างแค้นให้ซือจุนของตนเสียด้วยซ้ำ
ตันหวายเม้มริมฝีปาก พับเก็บแผนที่ในมือแล้วสะบัดแขนกล่าวอย่างฮึกเหิม “จะไปกลัวพวกเสือสิงห์กระทิงแรดทำไมกัน ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องไปอยู่แล้ว”
ตันหวายตบบ่าของเฟิงสือหลี่พลางกล่าว “ไม่ต้องกลัวๆ พี่ชายจะปกป้องเจ้าเอง”
ยามให้เทพบุตรของตนเรียกตนเองว่าพี่ชายมันช่างรู้สึกดีเสียจริงๆ ตันหวายอดน้ำตาคลอหน่วยไม่ได้ นี่เป็นโอกาสดีที่ร้อยวันพันปีจะมีหนโดยแท้
_________
เพื่อถนอมร่างกายของตันหวาย เฟิงสือหลี่จึงแสดงน้ำใจด้วยการหาโรงเตี๊ยมให้พักแรมอย่างคาดคิดไม่ถึง แม้เขาจะไม่รู้ว่าตันหวายมีเส้นสนกลในอะไร และตันหวายเองก็ไม่มีทีท่าจะบอกกล่าว แต่อย่างไรเสียดูแลกันเอาไว้ย่อมไม่เสียหาย
มิใช่เขาไม่เคยคิดว่าตันหวายอาจหลอกลวงเขาหรือมีแผนการซ่อนเร้น ทว่ารูปโฉมที่ละม้ายซือจุนของตนราวกับเป็นพิมพ์เดียวกันนั้นกลับทำให้เขาไม่รู้สึกระแวงสงสัย
ช่างมันปะไร เขาก็ไม่ได้วิเศษวิโสเสียจนใครๆ ต้องวางแผนปองร้ายอยู่แล้ว
หากตันหวายรับรู้ความในใจของเฟิงสือหลี่ตั้งแต่แรกคงจะอึ้งจังงังเป็นแน่แท้
เฟิงสือหลี่ต้องเข้าใจตัวเองผิดมหันต์อย่างแน่นอน เพียงใบหน้าอันงดงามเกินมนุษย์มนาของเขา ก็สามารถทำให้ใครๆ คิดปองร้ายหมายชีวิตได้แล้ว
โรงเตี๊ยมเป็นโรงเตี๊ยมหลังเล็กๆ ทว่าสะอาดเอี่ยมอ่อง คนยุคปัจจุบันที่น้อยครั้งจะใช้เทียนไขให้แสงสว่างทอดมองเปลวเทียนบนโต๊ะอย่างเงียบงัน จู่ๆ ก็คิดถึงหลอดไฟในบ้านตัวเองขึ้นมาจับใจ
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านคิดว่าจะสามารถช่วยเฟิงสือหลี่ตามหาคนพวกนั้นเจอหรือ?)
“ไม่รู้สิ” ตันหวายนั่งเฝ้าอยู่ข้างโต๊ะ มือข้างหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างหยิบขนมใส่ปากให้ตนเอง
“นี่เป็นภารกิจของระบบพวกคุณไม่ใช่หรือไง ผมหาเจอหรือไม่เจอมันสำคัญตรงไหน?” ตันหวายตาปรือประหนึ่งลูกแมวที่ถอดเขี้ยวเล็บ “จะว่าไปแล้ว คราวนี้เฟิงสือหลี่เหมือนเจ้าหมาน้อยแสนซื่อจริงๆ ผมเกือบจะห้ามใจไม่ไหวแน่ะ”
(ไร้ยางอาย!) ระบบตะลึงพรึงเพริด (ท่านใช้ร่างของซือจุนเขาอยู่นะ ช่วยตั้งสติหน่อยได้หรือเปล่า!)
(และเท่าที่จำได้ภารกิจเราไม่ใช่การช่วยเหลือเฟิงสือหลี่ล้างแค้นด้วย)
“ไม่ล้างแค้นแล้วจะเข้าสู่ทางธรรมได้ยังไง!” ตันหวายเถียงกลับไปทันควัน
ระบบ (???)
พอเถียงเสร็จตันหวายก็นึกเสียใจเล็กน้อย ทำไมถึงได้ผีซ้ำด้ำพลอยให้มาสิงร่างของเฟิงหลิวหลีกันนะ ลูกหมาน้อยน่ารักที่มองได้แต่กินไม่ได้ มันช่างทรมานหัวใจเสียเหลือเกิน!
ตันหวายลองเอ่ยขอคำปรึกษา “อืม…ระบบ คุณว่าพวกนิยายรักระหว่างศิษย์อาจารย์ทั้งหลายนั่น…”
(อย่าได้คิดเชียว) ระบบกล่าวเสียงเย็นชา (ท่านไม่รักษาหน้าแต่เฟิงหลิวหลีเขายังอยากรักษา คบหากับลูกศิษย์ตัวเองอะไรกันช่างไร้สาระสิ้นดี!)
“เอ่อ…”
เมื่อย้อนนึกถึงหน้าตาฐานะและอุปนิสัยของเฟิงหลิวหลีในหัว ตันหวายก็กุมขมับ รู้สึกตะขิดตะขวงใจกระไรอยู่จริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่เปิดเผยตัวตน-?”
(หึๆ อย่าได้คิดเชียว หากท่านทำไปแล้วถูกร้องเรียนจากเจ้าของร่างเดิมล่ะก็ ภารกิจของท่านจะถือเป็นโมฆะทันที อย่าหวังว่าจะได้ฟื้นคืนชีพเลย)
…?
ตันหวายตะลึงค้าง มีเรื่องบ้าบอคอแตกอย่างการถูกเจ้าของร่างเดิมร้องเรียนด้วยเหรอวะเนี่ย?
ระบบแค่นหัวเราะราวกับรู้ทันความคิดของตันหวาย (เฟิงหลิวหลีเป็นใครกัน ถึงแม้เขาจะฟื้นคืนชีพไม่ได้ แต่วิญญาณของเขาไม่ดับสลาย คอยเฝ้าดูท่านอยู่ทุกฝีก้าว)
คำพูดของระบบทำเอาตันหวายหวาดผวา จึงขดตัวกลมพลางบ่นกระปอดกระแปด จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าชีวิตของตนตกอยู่ภายใต้สายตาของคนอื่น
อันที่จริงระบบแกล้งหลอกเขา ศูนย์บัญชาการไม่มีทางทำเรื่องพิสดารอย่างการปล่อยให้เจ้าของร่างเดิมตามติดเจ้าของร่างตลอดเวลา แต่ทว่าการร้องเรียนนั้นกลับเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เจ้าของร่างเดิมจะให้คำวิจารณ์หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจไปแล้ว
(อ้อ จริงสิท่านเจ้าของร่าง ภารกิจครั้งนี้มีกำหนดระยะเวลาทั้งสิ้นห้าปี)