[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 104 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (27) / ตอนที่ 105 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (28)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 104 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (27) / ตอนที่ 105 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (28)
ตอนที่ 104 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (27)
ในป่านอกกำแพงเมือง มารฝันจ้องมองโหลวชิงอันด้วยความลังเลใจ เอ่ยโน้มน้าวอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ความฝันลึกล้ำเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าท่านอาจไม่ฟื้นตื่นอีกเลย”
“ข้าขยี้เจ้าให้ตายได้ด้วยมือข้างเดียว ความฝันของเจ้าข้าจะหนีไม่รอดเชียวรึ?” น้ำเสียงของโหลวชิงอันแฝงแววเหยียดหยัน
มารฝันสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว จากนั้นจึงแปลงกายเป็นหมอกควันเบาบาง ลอยเวียนวนอยู่รอบกายโหลวชิงอัน “ในเมื่อท่านยืนกรานเช่นนี้ แล้วจะรอช้าอยู่ไยเล่า”
___________
ตันหวายปวดหัวจนแทบระเบิดตอนที่ตื่นขึ้นมา เอ๋อโซ่วเอามือผลักตัวเขาเบาๆ แล้วชี้ไปยังน้ำชาบนโต๊ะโดยไม่ปริปากพูดสักคำ
“นี่คือยาแก้เมาหรือ?” ตันหวายถาม
“ไม่ใช่”
ตันหวายพยักหน้ารับ ก่อนจะยกชาที่ยังส่งควันร้อนกรุ่นขึ้นดื่มลงไป
เสียงอึกทึกครึกโครมดังแว่วมาจากด้านนอกเป็นระยะ ตันหวายผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง เอ่ยถามด้วยความสงสัยเต็มอก “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?”
เอ๋อโซ่วกะพริบตาปริบๆ “ถึงอย่างไรก็มิใช่จะทำสงคราม”
ตันหวายสีหน้าเปลี่ยนทันที ลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงแล้วพุ่งตัวออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
อวี๋อิงฉือกำลังเรียกระดมพล พอเห็นตันหวายที่มาปรากฏตัวกะทันหันก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ แล้วจึงโบกมือให้รองแม่ทัพรับช่วงต่อ ส่วนตนเองเดินมาอยู่ตรงหน้าตันหวายพลางกล่าวอย่างประหลาดใจ “ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงมาได้?”
“ทำไมอยู่ๆ ท่านต้องยกทัพ?” ตันหวายเกิดความรู้สึกซับซ้อน “แคว้นจิ่วเทียนมีฝูงอสุรกายโผล่มาจากไหนไม่รู้ ไม่มีทางเอาชนะได้เลย”
อวี๋อิงฉือหลุบตา กล่าวอธิบายเสียงเรียบนิ่ง “กษัตริย์สั่งให้ไพร่ฟ้าตาย ไพร่ฟ้าย่อมต้องตายโดยมิอาจขัดขืน องค์ประมุขมีพระบัญชาให้ข้ายกทัพ แม้จะรู้ว่าเบื้องหน้าคือหนทางสู่ความตาย ข้าก็ต้องกระทำ”
ตันหวายร้อนรนใจ กล่าวด้วยโทสะพลุ่งพล่าน “ท่านคร่ำครึเพียงนี้เชียวรึ?”
“คร่ำครึ?” อวี๋อิงฉือตกตะลึง ก่อนจะผลิยิ้มออกมา “คงใช่กระมัง แต่เจ้าควรรู้ไว้ ซีโจวถูกปิดล้อม กำลังหนุนจากเมืองหลวงยังรีรอไม่เคลื่อนพล องค์ประมุขไม่ยินยอมอัญเชิญทัพอสูร ในเวลาเพียงไม่นานซีโจวคงจะกลายเป็นเมืองร้าง”
“ข้าย่อมทำได้ หากต้องสละชีวิตทหารหลายหมื่นของข้า แลกกับประชาชนจำนวนมากกว่าในเมืองซีโจว”
ในโลกใบนี้ ผู้คนไม่เพียงแต่รับรู้ว่ามีเทพเจ้า แม้กระทั่งขอเพียงประมุขยินยอม ถ้าเช่นนั้นก็สามารถอัญเชิญทัพอสูรได้ ทว่าการอัญเชิญทัพอสูรย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน ประมุขต้องคุกเข่าในวิหารฉางเซิงเป็นเวลาสิบวันสิบคืนและถวายแก้วแหวนเงินทองจำนวนมหาศาล
ประมุขอาณาจักรเทียนจีเย่อหยิ่งทระนง คิดว่าการนำเกียรติยศแห่งประมุขแผ่นดินกับแก้วแหวนเงินทองกองโตของตนไปแลกกับเมืองซีโจวอันเล็กจ้อยช่างได้ไม่คุ้มเสีย เมืองซีโจวจึงถูกทอดทิ้งโดยไร้ข้อกังขา
ตันหวายอ้าปากค้าง ได้แต่เกลี้ยกล่อมว่า “ถ้าเช่นนั้น…รอโหลวชิงอันกลับมาก่อนได้หรือไม่?”
อวี๋อิงฉือส่ายศีรษะ “เขาเป็นเพียงแค่กุนซือ เขาสามารถบอกยุทธวิธีที่มีประโยชน์มากที่สุดเสียหายน้อยที่สุดแก่ข้า แต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“แต่เขาเก่งกาจมากนะขอรับ” ตันหวายลนลานจนทำอะไรไม่ถูก สาวเท้าก้าวออกไปข้างหน้า “เขา…”
อวี๋อิงฉือยิ้มพลางส่ายศีรษะ ตัดบทคำพูดที่ตันหวายยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก “ช่วยไม่ได้ รังแต่จะคร่าชีวิตบริสุทธิ์เพิ่มอีกดวงหนึ่ง”
ยามอวี๋อิงฉือเดินจากไปด้วยท่าทีประหนึ่งลมยะเยียบเลียบลำน้ำอี้หนาวเหน็บ[1] ดูราวกับว่าไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก
ตันหวายสาวเท้าวิ่งไล่ตามไป รีบถามขึ้นว่า “เช่นนั้นปณิธานของท่านคืออะไรกันแน่?”
อวี๋อิงฉือนั่งอยู่บนหลังม้าพลางเหลียวหน้ามายิ้มให้ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด
เมืองซีโจวหิมะโปรยปรายตลอดทั้งปี ใบหูของตันหวายลู่ลงแนบสนิทกับหลังหัว เฝ้ารอให้หิมะหยุดตกอย่างเงียบๆ
เอ๋อโซ่วอิงแอบรับไออุ่นอยู่ข้างกายตันหวาย นอนเอ้อระเหยอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
นี่เป็นครั้งแรกที่ตันหวายเผชิญหน้าสงครามโดยตรง เขาเกิดมาในยุคสมัยอันสงบสุขร่มเย็น แม้ว่าจะรับรู้ความโหดร้ายของสงคราม แต่ก็ไม่เคยสัมผัสในระยะประชิดมาก่อน
ตันหวายคิดว่าชีวิตช่างสิ้นหวังเสียจริงๆ ส่งให้เขามาอยู่ในร่างปีศาจตนหนึ่ง แต่กลับไม่มีวิชาอาคม ช่างเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเสียนี่กระไร แม้กระทั่งมิตรสหายของตนก็ช่วยเอาไว้ไม่ได้
ถูกต้อง เป็นมิตรสหาย อวี๋อิงฉือไม่เพียงแต่เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต แต่ยังเป็นมิตรสหายของตันหวาย เขาทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการสละชีพจนตัวตายไม่ได้ เขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกมากมายเหลือเกิน “”
ตอนที่โหลวชิงอันกลับมาร่างยังปกคลุมไปด้วยพายุหิมะ ซีโจวเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มีเพียงชายสวมผ้าคลุมนั่งอยู่บนหอประตูเมือง อุ้มเอ๋อโซ่วที่เหมือนกระต่ายอย่างกับแกะไว้ในอ้อมแขน
เมื่อตันหวายมองเห็นโหลวชิงอันดวงตาก็เอ่อคลอด้วยน้ำตา เขาร้องทัก “ในที่สุดท่านก็กลับมา”
โหลวชิงอันเหม่อมองเมืองซีโจวอันใหญ่โตอย่างใจลอย ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้ามาช้าไปเสียแล้ว”
——
[1] ลมยะเยียบเลียบลำน้ำอี้หนาวเหน็บ ผู้กล้าลาลับมิหวนกลับคืน (风萧萧兮易水寒,壮士一去兮不复还) คือบทเพลงที่ขับร้องยามรัชทายาทแคว้นเยี่ยนส่งตัวมือสังหารนามว่า ‘จิงเคอ’ ที่ริมฝั่งแม่น้ำอี้เพื่อไปลอบสังหารฉินอ๋อง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ในช่วงปลายยุคจ้านกั๋ว
ตอนที่ 105 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (28)
เหมือนดังเช่นที่เอ๋อโซ่วกล่าวไว้ ขุนเขาแม่น้ำผันแปร ราชสำนักผลัดเปลี่ยน ผู้ใดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เขาเคยลิ้มรสชาติการเป็นศัตรูกับเทียนเต้า จึงรู้ว่านี่คือสัจธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ประวัติศาสตร์สามร้อยแปดสิบกว่าปีของแคว้นทั้งหกแห่งอาณาจักรเทียนจี ผลัดเปลี่ยนกษัตริย์นับหลายสิบพระองค์ ในที่สุดก็ดำเนินมาจนถึงจุดจบ ทว่าศึกเมืองซีโจวครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการล่มสลายของราชวงศ์
เอ๋อโซ่วติดตามอยู่ข้างหลังตันหวาย ค่อยๆ เหลียวหน้ากลับไปมอง ทอดถอนใจแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ตอนที่โหลวชิงอันกับตันหวายมาถึงสนามรบ กลิ่นคาวเลือดในที่แห่งนี้ก็พุ่งปะทะจนแทบจะผงะถอยหลัง
“ทัพอสูรสังหารเพียงศัตรูในสนามรบ จะไม่ลงมือกับประชาชนผู้บริสุทธิ์” โหลวชิงอันโอบเอวของตันหวายพลางกล่าวปลอบโยน
ตันหวายเห็นภาพเบื้องหน้าก็กล่าวด้วยความเวทนาสงสาร “แต่ก็ต้องสังเวยชีวิตหลายหมื่นเช่นกัน”
โหลวชิงอันเม้มริมฝีปาก ก่อนสะบัดแขนเสื้อกว้าง กลิ่นคาวเลือดในสนามรบบรรเทาเบาบางลงไม่น้อย
ราวกับมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแว่วมา ตันหวายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขดตัวอยู่ในอ้อมอกของโหลวชิงอัน
“ไม่เป็นไร” โหลวชิงอันตบไหล่ตันหวาย ค่อยๆ พาเขาเดินไปทางโขดหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
เสียงร่ำไห้ยิ่งดังขึ้นทุกที ตันหวายเบิกตากว้าง ไม่กล้าเชื่อว่าที่นี่ยังมีคนเป็น
“ไม่ใช่คน” โหลวชิงอันกล่าว สีหน้าเคร่งครึมแปลกไปเล็กน้อย “เป็นสหายเก่าผู้หนึ่ง”
ตันหวายตะลึงงัน ก่อนจะรีบวิ่งไปด้านหลังโขดหิน จึงค่อยมองเห็นซวงหร่านแบกคนผู้หนึ่งไว้บนหลังพลางคุกเข่าสะอื้นไห้กับพื้น เสื้อผ้าที่เดิมทีขาวหมดจดของเขาบัดนี้แยกสีสันไม่ออกอีกแล้ว ร่างกายที่เดิมทีบอบบางบัดนี้ยิ่งแลดูอ่อนแอดุจต้นหลิวลู่ลม
ตอนที่เห็นตันหวายปรากฏตัวกะทันหัน ซวงหร่านพลันตะลึงงันไปเช่นกัน จากนั้นก็น้ำตาไหลพรากราวกับเขื่อนแตก ก่อนวางคนบนหลังของตนเองลง ดึงรั้งชายเสื้อของตันหวายอย่างอ้อนวอน “ช่วยเขา ข้าขอร้องเจ้าโปรดช่วยเขาที”
เมื่อตันหวายเห็นคนข้างหลังเขาก็นิ่งอึ้งไปในทันใด ขาพลันอ่อนแรงเกือบจะทรุดล้ม แต่สุดท้ายก็ตกลงสู่อ้อมแขนของโหลวชิงอัน
“เขา…” ตันหวายอ่อนแรงอยู่ในอ้อมแขนของโหลวชิงอัน มองไปยังโหลวชิงอันด้วยแววตามีความหวัง “เขายังพอมีทางรอดหรือไม่?”
สายตาของโหลวชิงอันจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันซีดเซียวและแข็งทื่อของอวี๋อิงฉือ พลางส่ายศีรษะอย่างช้าๆ “ช่วยไม่ทันการ เกินเยียวยาแล้ว”
โหลวชิงอันพูดไม่ทันขาดคำ ซวงหร่านก็ร้องไห้โฮดังลั่นยิ่งกว่าเดิม ปากขยับพึมพำไม่หยุดว่าตนมาช้าไปเสียแล้ว
ตันหวายมองบาดแผลที่ถูกปีศาจทำร้ายอย่างเด่นชัดบนร่างของซวงหร่าน ใบหน้าฉายแววอดสงสารไม่ได้
โหลวชิงอันหลุบตาลง “แต่ยังพอมีวิธีอยู่”
เสียงคร่ำครวญของซวงหร่านหยุดลงทันควัน ก่อนหันไปมองโหลวชิงอันพร้อมกับตันหวาย
“แม้เผ่าพันธุ์จิ้งจอกของเราจะถูกผู้คนมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่มีเคล็ดวิชาแขนงหนึ่งที่มีฤทธิ์ชุบชีวิตสร้างกายเนื้อ” โหลวชิงอันผลิยิ้ม “แม้ละเมิดกฎสวรรค์ ก็หาใช่ว่าทำไม่ได้”
“ละเมิดกฎสวรรค์?” ตันหวายได้ฟังคำนี้ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
โหลวชิงอันผลิยิ้มมองไปทางตันหวาย “เจ้ามียาในครึ่งเม็ดของข้า ยามนี้ข้ามอบอีกครึ่งเม็ดนั้นให้เจ้า สอนเคล็ดวิชาแก่เจ้า เจ้าย่อมสามารถช่วยชีวิตเขากลับมา”
ตันหวายส่ายหัวดิก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านรับครึ่งเม็ดนี้กลับคืนไปก็พอแล้วมิใช่หรือ?”
ซวงหร่านมองคนทั้งสองไม่พูดไม่จา มือของเขาโอบกอดอวี๋อิงฉือที่เย็นเฉียบไปแล้วอย่างแนบแน่น ราวกับว่าสามารถกักเก็บไออุ่นเอาไว้ได้
โหลวชิงอันดึงมือของตันหวายมาทาบลงแนบอกเขาแล้วกล่าว “เป็นเจ้าที่ติดค้างบุญคุณเขา กระต่ายโง่ หากข้าช่วยไว้ เมื่อไหร่เจ้าถึงจะได้ชดใช้กัน? เจ้าติดค้างสิ่งที่ข้าจะให้เจ้าก็พอแล้ว ถึงเวลาเขาหายดี ข้าค่อยรับยาในคืนมา พาเจ้าไปปลีกตน”
“ถึงเวลานั้น ข้าจะพาเจ้ากลับต้าฮวงซาน ที่นั่นเคยเป็นเขตแดนของข้า พวกเราอาจปลูกต้นไม้สักหลายต้น อยู่ร่วมเรียงเคียงกันไปเช่นนี้”
ตันหวายตะลึงงัน แม้จะรู้ดีว่าเขาต้องจากไปเมื่อตอบแทนบุญคุณเสร็จสิ้น แต่ก็ยังอดคาดหวังถึงชีวิตที่โหลวชิงอันพรรณนาอยู่ลึกๆ ไม่ได้
“ท่านพูดจริงหรือ?” ตันหวายลังเลเล็กน้อย
โหลวชิงอันกอดเขาไว้ในอ้อมแขน พินิจมองอย่างถ้วนทั่ว เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าจะหลอกเจ้าลงคอเชียวหรือ?”
“อือ…เช่นนั้นท่านจะมอบยาในให้ข้าอย่างไร?” ตันหวายถาม
โหลวชิงอันหรี่ตา ประชิดกายเขาพลางพ่นลมหายใจอุ่นร้อนรดข้างใบหู ยิ้มกล่าว “ซวงซิว[1]”
——
[1] ซวงซิว (双修) คือการฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นคู่