นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 76 อย่าสร้างความแค้นกับคนอื่น
ตอนที่ 76 – อย่าสร้างความแค้นกับคนอื่น
เช้าตรู่ เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ดังมาจากนอกหน้าต่าง ชิ่งเฉินพลิกตัว แต่ยังได้ยินว่าในครัวมีเสียงผัดกับข้าว
เขายันตัวลุกขึ้น ประตูของห้องนอนยังปิดอยู่ แต่เจียงเสวี่ยลุกจากเตียงแต่เช้ามาทำอาหารให้พวกเขาแล้ว
เจียงเสวี่ยเห็นเขาก็ยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าคุณก็ทำอาหารที่บ้านบ่อย ๆ สินะ เครื่องปรุงอะไรก็มีหมดเลย”
“อืม กินข้าวข้างนอกแพงเกินไปครับ” ชิ่งเฉินอธิบายหนึ่งประโยค
เจียงเสวี่ยกล่าวว่า “พ่อแม่คุณก็จริง ๆ เลยนะ ทิ้งคุณไว้คนเดียวซะได้ วางใจเถอะ ทีหลังน้าจะทำอาหารให้คุณกิน คุณไม่ต้องทำเองแล้ว คุณเรียนหนังสือให้ดี ๆ ก็พอ จริงสิ คุณมีคลาสติวหนังสือไหม ยังไงให้ฉันแนะนำคลาสติวให้คุณเถอะนะ”
ชิ่งเฉินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง นี่เริ่มจัดแจงการเรียนพิเศษให้ตนเองด้วยแล้วเหรอ
มิน่าล่ะหลี่ถงอวิ๋นเริ่มวางแผนเรื่องการ “หลบหนี” ล่วงหน้า……
แต่เขายังไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษจริง ๆ
ตอนที่เรียนมัธยมปลายปีหนึ่งปีที่แล้ว ชิ่งเฉินยังต้องออกไปทำงานรับจ้างตอนกลางคืน ตอนกลางวันฟุบบนโต๊ะพักผ่อนตลอดเพราะว่าเหนื่อยเกินไป
เวลานั้น ครูเถียนไห่หลงผู้สอนคณิตศาสตร์บรรยายบนเวที ถ้าหากชิ่งเฉินจู่ ๆ ยกศีรษะขึ้นมา เถียนไห่หลงจะทบทวนจากจิตใต้สำนึกว่าตนเองบรรยายตรงไหนผิดไปรึเปล่า
เจียงเสวี่ยยิ้มถามชิ่งเฉินว่า “เสี่ยวอวิ๋นบอกว่าคุณรับปากจะไปเขาเหล่าจวินกับเธอเหรอ”
“อืม” ชิ่งเฉินพยักหน้า
“คุณก็ตามใจเธอเกินไปแล้ว เธอบอกว่าอยากไปเล่นฉันไม่ได้รับปาก ตอนนี้คุณรับปากแล้ว เธอก็เลยงอแงไม่ไปไม่ได้” ถึงเจียงเสวี่ยจะต่อว่า แต่ไม่ได้มีน้ำเสียงต่อว่าเลย
ชิ่งเฉินคิดแล้วกล่าวว่า “ถึงยังไงเพิ่งจะประสบกับอันตรายมาสองครั้ง เวลาอย่างนี้ออกไปผ่อนคลายจิตใจก็ดีนะครับ เด็กน้อยไม่เคยประสบกับเรื่องราวประเภทนี้ อย่าให้เหลือเงามืดในจิตใจเลยครับ”
“ได้” เจียงเสวี่ยพยักหน้า “งั้นวันนี้ตอนบ่ายพวกเรารอคุณเลิกเรียนแล้วนั่งรถเมล์ไป เวลาสองชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว จากนั้นพวกเราค้างที่นั่นหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นปีนขึ้นยอดเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นเดินทางกลับ ฉันอ่านรีวิวของเม่ยถวน* มาหน่อยแล้ว มีโฮมสเตย์หลายเจ้าที่ดาวสูงมากเลย อาหารที่ทำก็อร่อยเป็นพิเศษ”
ชิ่งเฉินพูดในใจว่า นี่เห็นชัด ๆ เลยว่าเตรียมแผนมาเสร็จแล้ว
เขาถามว่า “ถ้ามีแค่สองวันหนึ่งคืนจะรีบเร่งเกินไปไหมครับ”
เจียงเสวี่ยคิด ๆ ดู “ฉันอยากรีบไปรีบกลับ สามารถให้เสี่ยวอวิ๋นกลับมาแล้วรีบไปเรียนเสริม แต่ถ้าคุณอยากอยู่หลายวัน งั้นก็ให้เสี่ยวอวิ๋นหยุดสักหลายวันเถอะ”
……
ชิ่งเฉินมาถึงห้องเรียนแต่เช้า ถึงกับค้นพบว่าหนานเกิงเฉินกับหวังอวิ๋นสองคนนั่งกระซิบกระซาบอยู่ด้วยกันแต่เช้าตรู่ ไป๋หว่านเอ๋อร์ยังไม่มาโรงเรียน
เมื่อวานสี่คนนี้ล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หลังถูกตีสลบก็ยัดใส่ถุงกระสอบ
หลังจากถูกช่วยชีวิต รับน้ำเกลือที่โรงพยาบาลพอเป็นพิธีก็กลับบ้าน
ขณะนี้ หวังอวิ๋นกำลังบอกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับหนานเกิงเฉินตาแดง ๆ จากนั้นเออออไปกับการปลอบใจของหนานเกิงเฉินในห้องเรียนเป็นครั้งคราว
ฉากนี้ดูอย่างไรก็เหมือนกับออกเดตมากกว่า……
จู่ ๆ ชิ่งเฉินรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะพลาดเรื่องราวมากมายเพราะโดดเรียน
เวลานี้หนานเกิงเฉินถามว่า “ชิ่งเฉิน นายคิดดีรึยัง จะไปเขาเหล่าจวินหรือไม่ไป”
ยังไม่รอให้ชิ่งเฉินตอบ หวังอวิ๋นเตือนเสียงต่ำ ๆ ว่า “เสี่ยวหนาน คนของพวกเราพอแล้ว รถบัสที่ฝั่งหูเสี่ยวหนิวเช่ามาสามารถนั่งได้แค่ 47 คน ตอนนี้เพื่อนนักเรียนของสองห้องรายชื่อเต็มแล้ว ยังมีสี่ห้าคนที่อยากไปแต่ไปไม่ได้”
ชิ่งเฉินยิ้มให้หนานเกิงเฉินกล่าวว่า “พวกนายไปเหอะ พอดีวันชาติฉันก็มีแผนอื่น”
“อ้อ” หนานเกิงเฉินพยักหน้า “งั้นฉันก็ไม่ไปแล้ว วันชาตินายมีแผนอะไร พาฉันไปด้วยคน”
หวังอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับเห็นชิ่งเฉินตบบ่าหนานเกิงเฉิน “มีคนเลี้ยงไม่ไปได้ไง ฉันมีธุระจริง ๆ ไม่งั้นเมื่อคืนก็รับปากนายไปแล้ว จริงสิ พวกนายจะไปเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้” หวังอวิ๋นกล่าวอย่างโล่งอก “พรุ่งนี้ 7 โมงเช้าจะมารวมตัวกันที่หน้าประตูโรงเรียน เพื่อนชิ่งเฉินครั้งนี้เสียดายมากที่ไม่สามารถให้นายไปด้วย ครั้งหน้าจะต้องชวนนายล่วงหน้าให้ได้เลย”
หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อคืน สถานะของหลิวเต๋อจู้ดูจะเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
พอพักคาบก็เห็นหูเสี่ยวหนิว, จางเทียนเจิน, ไป๋หว่านเอ๋อร์กับพวกรุมล้อมข้าง ๆ เขา กระซิบกระซาบไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน สีหน้าดูไปตื่นเต้นผิดปกติ
เพียงแต่หลิวเต๋อจู้กลับเหมือนจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนิดหน่อย จับจ้องไปรอบด้านเป็นครั้งคราว คล้ายกับว่ากำลังหาใคร
หูเสี่ยวหนิวค้นพบปัญหาข้อนี้ก่อน เขาเอ่ยอย่างอยากรู้ว่า “พี่หลิว หาใครเหรอ”
การเรียกพี่หลิวนี้เรียกได้ค่อนข้างมีกลิ่นอายสังคมผู้ใหญ่ทีเดียว
แต่ทว่าหูเสี่ยวหนิวคิดมาครึ่งวันก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร หลัก ๆ เป็นเพราะชื่อมีเอกลักษณ์เกินไป
เรียกชื่อเต็มหลิวเต๋อจู้เหรอ เหมือนแบ่งแยกเกินไป
เรียกเต๋อจู้เหรอ เหมือนอีกฝ่ายโง่เง่านิดหน่อย
เรียกจู้จึเหรอ อย่างกับว่าทุกคนอยากจะไปลงไร่หักข้าวโพดด้วยกัน**
“เอ๊ะ?” หลิวเต๋อจู้ได้สติกลับมา “ไม่ได้หาใคร”
มีแค่ตัวหลิวเต๋อจู้เองที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบอสใหญ่เร้นลับคนนั้นไม่แน่ว่าจะจับสังเกตตนเองอยู่ที่ไหนก็ได้ในตอนนี้
ความรู้สึกจิตใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ชนิดนี้ในขณะนี้ไม่ดีเลย แต่เขาได้ลิ้มรสความหวานแล้ว การร่วมงานกับบอสใหญ่เติมเต็มทั้งความหลงตัวเองและได้รับทองคำแท่งของแท้ กลับไปในเรือนจำยังสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตอีก
ชีวิตอันงดงามในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับการกอดต้นขาของบอสใหญ่ผู้นี้แล้ว
เวลานี้ หลิวเต๋อจู้เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ อธิบายกับหูเสี่ยวหนิวอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “มีเรื่องหนึ่งที่จะต้องสังเกตเอาไว้นะ คือว่า ในโรงเรียนนี้ ห้ามไปสร้างความแค้นกับใครเด็ดขาดเลย!”
หูเสี่ยวหนิวกังขาอยู่บ้าง “พี่หลิวจู่ ๆ พูดขึ้นมาทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไร” หลิวเต๋อจู้ถอนหายใจในใจ ก็คือกลัวว่าพวกนายจะไปตอแยคนที่ไม่ควรตอแย ทำลายธุรกิจน่ะสิ
……
ณ ขณะนี้ เหอจินชิวสวมชุดสูทสีเทาเดินอยู่ในเลานหมายเลข 4 ถนนสิงสู่
จู่ ๆ เขาหยุดฝีเท้าอยู่บนทางฟุตบาท เงยหน้ามองต้นอู๋ถงฝรั่งเศส*** ข้างบน
ฤดูใบไม้ร่วง ใบของต้นอู๋ถงทั้งต้นล้วนเหลืองแล้ว พอมีลมพัดผ่านก็จะมีใบไม้โปรยปรายลงมา
เหอจินชิวจู่ ๆ เหม่อไป ยืนอยู่อย่างนี้เป็นหลายชั่วโมง คล้ายกับว่าการชมทิวทัศน์จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำที่สุด เรื่องอื่นใดล้วนไม่สำคัญแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ด้านหลังเขาจู่ ๆ มีคนถามว่า “คุณไม่อยู่เมืองจิง ทำไมมีเวลามาเสียในสถานที่เล็ก ๆ อย่างนี้ล่ะ”
เหอจินชิวได้สติกลับมา เขามองไปทางเจิ้งหย่วนตงที่ยืนตรงเผงในชุดจงซานด้านหลัง ยิ้มเอ่ยว่า “บอสเจิ้งก็ไม่ใช่ว่าอยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ แสดงว่าพวกเราอยากจะไปด้วยกันแล้วล่ะ”
………………………………
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกสงสารอาจารย์ของชิ่งเฉินทุก ๆ คนเลย 555
*เม่ยถวน (美团) เว็บไซด์ bj.meituan.com ขายบริการทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ดูเว็บมามีขายอาหาร ส่งอาหาร จองโรงแรม โฮมสเตย์ ตั๋วหนัง ตั๋วเครื่องบิน/รถไฟ จองคาราโอเกะ/ห้องเกม/บาร์/สปา/สวนสนุก/ฟิตเนส จองบริการแม่บ้าน ล้างรถ ถ่ายรูป แต่งหน้า จองโรงพยาบาล ติวหนังสือ/ติวภาษา ฯลฯ เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งให้เลือกสรรจริง ๆ ค่ะ
**ทำไมชื่อต่าง ๆ ถึงให้ความรู้สึกอย่างนี้เราไม่รู้จริง ๆ ค่ะ เราเดาว่าอาจจะมีคำพ้องเสียงบางอย่างล่ะมั้ง?? ส่วนจู้จึที่เหมือนลงไร่หักข้าวโพดนี่มีความหมายสองอย่างที่เป็นไปได้ อย่างหนึ่งคือเหมือนเป็นชาวไร่ชาวนา (อันนี้อิงจากคนแปลอิ๊งนะคะ) ความหมายที่สองคือ “หักข้าวโพด” เป็นส่วนหนึ่งของสำนวน “หมีตาบอดหักข้าวโพด (熊瞎子掰苞米)” ซึ่งหมายความว่าคนที่งุ่มง่าม เรียนของใหม่ ลืมของเก่า ที่มาเป็นนิทานว่า หมีตัวหนึ่งหักข้าวโพดแล้วหนีบไว้ที่รักแร้แล้วก็หักข้าวโพดฝักต่อไป จากนั้นยกแขนขึ้นหนีบข้าวโพดฝักที่สอง แต่ตอนที่ยกแขนข้าวโพดฝักแรกก็ตกพื้น ทำให้สุดท้ายแล้วทำยังไงก็มีข้าวโพดเหลืออยู่ฝักเดียวตลอดไม่ว่าจะหักฝักข้าวโพดไปกี่ฝัก ซึ่งความหมายที่ผู้เขียนต้องการสื่อจริง ๆ คืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไร นี่เป็นมุกที่คนอ่านจีนขำกันมากเลยค่ะ ถึงเราจะไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร…..
***กรุณาอย่าถามว่าต้นอู๋ถงฝรั่งเศสมาจากไหน ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ก่อนหน้านี้ก็เรียกมันว่าต้นอู๋ถงเฉย ๆ ตอนนี้อยู่ ๆ มันมีฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นมาได้ไงไม่รู้ ทั้งนี้ต้นอู๋ถงฝรั่งเศส (法国梧桐) เป็นชื่อเรียกของต้นอิงถง (英桐) และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับต้นอู๋ถง (梧桐) เลยแม้แต่น้อย อีกอย่างคือในตอนนี้คุณผู้เขียนพิมพ์คำว่าอู๋ถงผิดเป็น 吴桐 อีกต่างหาก (อ่านออกเสียงเหมือนกัน)
ตอนที่ 77 – ACE-099