นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 68 ข้าตัดสินใจแน่วแน่
ตอนที่ 68 ข้าตัดสินใจแน่วแน่
ณ ซ่างหลินโจว หอวั่งเจียงโหลว
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมายังระเบียงแล้วชายตามองออกไปยังแม่น้ำฉางเจียงอันมืดสงบ ในใจเขากลับเกิดคลื่นขึ้นมา
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้มีทั้งอาหารและสุราเลิศรส แต่มีผู้คนเดินทางมาร่วมงานน้อยเหลือเกิน
มีแค่ท่านชินอ๋อง ซื่อจื่อหยูหงอี้ อีกทั้งองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวน เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น
หยูเวิ่นหวินเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ชายหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้สามารถประพันธ์กวีจารึกลงบนหินเชียนเปยสือได้ ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก
หลังจากท่านชินอ๋องและหยูหงอี้ได้ยินเรื่องราวนี้ ก็มองฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไปทันที หินเชียนเปยสือแห่งหลานถิงจี๋เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักปราชญ์ ฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้กวีทำนองเพลงแห่งสายน้ำนี้เป็นเครื่องมือในการสลักชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง กล่าวได้ว่าเขาคว้ารางวัลสูงสุดแห่งไข่มุกแพรวพราวในโลกวรรณกรรมไว้เรียบร้อย แน่นอนว่าสิ่งนี้การันตีถึงความสามารถของเขา
สิ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดคิด หากแต่เป็นแม่นางต่งชูหลานที่ดันเขาขึ้นสู่ยอดสูง
แน่นอนว่าเขามิได้กังวลแม้แต่น้อยว่าจะร่วงลงมา เนื่องจากในหัวของเขามีกวีอีกมากมาย
หยูเวิ่นหวินเอ่ยถึงอาจารย์หูแห่งซ่างหงจาวซิ่ว ณ แม่น้ำฉินหวายที่ได้แต่งทำนองเพลงขึ้นมา จากนั้นเซวี๋ยเฟยเฟยเป็นผู้ขับร้องคนแรก จากนั้นก็ได้ยินแพร่หลายในเมืองหลวง คาดว่าไม่กี่วันคงมาถึงหลินเจียงและอาจจะกระจายไปทั่วประเทศก็เป็นได้
ดังนั้น หยูเวิ่นหวินจึงเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจังว่า “บัดนี้ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงร่ำลือไปไกล คิดจะลองเข้าสอบคัดเลือกหรือไม่ ?” แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความคิดเยี่ยงนั้น เขายังคงยืนหยัดในอุดมการณ์เดิมนั่นคือเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญใจ อีกทั้งเขารู้แก่ใจว่าการต้องร่างบัญญัติเหล่านั้นเขามิอาจทำได้ นั่นเกินกว่าความสามารถของเขา
สิ่งนี้ทำให้หยูเวิ่นหวินชอบใจยิ่งนัก นางร่วมดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนอีกสองแก้ว
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง ท่านชินอ๋องได้วางแผนพาหยูหงอี้ออกไป ดังนั้นในหอแห่งนี้จึงเหลือเพียงฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวิน 2 คน
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากเขามีเรื่องต้องปรับความเข้าใจกับหยูเวิ่นหวินเกี่ยวกับความคิดของเขาให้ตรงกัน
หยูเวิ่นหวินเดินเข้าไปด้านในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ภายในใจก่อคลื่นขึ้นมา
บรรยากาศงดงามเป็นใจเช่นนี้ หรือเขาจะอธิบาย ณ ตรงนี้ ?
หยูเวิ่นหวินดูเป็นผู้ใหญ่กว่าต่งชูหลานเล็กน้อย เกิดมาในตระกูลกษัตริย์ซึ่งเพียบพร้อมทุกสิ่งอย่าง สำหรับบุรุษทั่วไป นางเปรียบเสมือนภูเขาสูงที่ไม่อาจคว้าได้ แต่นิสัยของผู้ชายทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน !
หยูเวิ่นหวินเดินออกมา ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองนาง
พบว่านางสวมใส่ชุดสีขาว แสงไฟสาดส่องลงมา ทำให้เห็นเสื้อตัวเล็กข้างในสีแดง เสื้อนั้นฟู่เสี่ยวกวนออกแบบให้ต่งชูหลานด้วยตนเอง คาดไม่ถึงว่านางก็สวมใส่มันด้วย หากแต่ช่างสวยงามนัก
หยูเวิ่นหวินเห็นสายตาของเขาที่จับจ้องก็เกิดหน้าแดงขึ้นมา นางกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยและมองค้อนเขา แต่การกระทำนี้คล้ายกับกำลังสร้างบรรยากาศมากกว่าโกรธเคือง
บัดนี้ในหัวฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดหนึ่งลอยขึ้นมาว่าความรู้สึกนั้นไม่จำเป็นเท่าไรนัก และรู้สึกว่าตนมีจิตใจไม่แน่วแน่เสียจริง
“เสื้อนี้……ต่งชูหลานเป็นผู้สอนข้าเย็บ พวกเราทั้งสองไปยังร้านตัดเสื้อแล้วตัดเย็บสิ่งนี้ออกมา เนื่องจากสตรีในวังหลวงกล่าวว่าสวมใส่สบาย เราทั้งสองจึงตั้งใจว่าจะทำขาย”
หยูเวิ่นหวินมองออกไปยังสายธาร สายลมพัดผมเธอเบาๆ โบกสะบัดพัดมายังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ทั้งคัน ทั้งหอม ช่างน่าดึงดูดเสียจริง
“เอ่อ ข้าว่าการค้านี้สมควรยิ่ง ค้นหานางแบบที่รูปร่างได้สัดส่วน แล้วเลือกสถานที่ที่เหมาะสม จากนั้นเชิญบรรดาสตรีทั้งหลายเข้ามาเชยชม ให้นางแบบสวมใส่เสื้อนั้นแล้วเดินไปมาเป็นตัวอย่าง จะทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น”
หยูเวิ่นหวินหันไปถามว่า “นางแบบ ? คือสิ่งใดกัน ? ”
“อ้อ นางแบบนั้นคือผู้ที่เป็นแบบอย่างในการสวมใส่ เป็นสตรีที่ใช้สำหรับการโฆษณา”
หยูเวิ่นหวินจินตนาการตามคำพูดของเขา “ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว ข้าจะลองดู”
“อีกทั้งจำเป็นต้องตั้งชื่อที่จำง่าย นี่เรียกว่ายี่ห้อ เพราะสิ่งของเหล่านี้สามารถทำตามกันได้ง่าย จำเป็นจะต้องรักษาคุณภาพของสินค้า จำไว้ว่าจะต้องมีคุณภาพดีที่สุดเท่านั้น ฝีมือการเย็บก็เช่นกันต้องละเอียดประณีตจึงจะขายได้ราคาดี นี่เป็นคุณสมบัติของสินค้าที่มียี่ห้อ”
“เจ้าช่างรู้เรื่องราวมากมายยิ่งนัก”
คำพูดนี้ออกมาจากใจของหยูเวิ่นหวิน เขาผู้นี้กลั่นสุราเลิศรส อีกทั้งได้ยินจากต่งชูหลานกล่าวว่าเขากำลังทำการใดบางอย่างที่หมู่บ้านเซี่ยชุน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดจะทำการใด
“ข้าคิดว่าข้ามีเรื่องจำเป็นต้องพูดกับเจ้า” หลังจากอ้อมค้อมอยู่นาน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยออกมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบต่งชูหลาน”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนมิต้องอธิบายให้มากความสินะ
“พระราชโองการฉบับนั้นเป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอบพระทัยพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย แท้จริงข้าก็หวังว่าอยากให้ในจวนครึกครื้นขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย”
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะโมโห จึงได้ติดตามมาด้วย”
“ข้าเข้าใจในน้ำใจของเจ้าดี แท้จริงแล้วข้าก็มิได้รังเกียจ เพียงแต่……ตำแหน่งพระราชบุตรเขยนั้นข้ามิอาจรับไว้ได้จริง ๆ มิเช่นนั้นจะให้ข้ามองหน้าต่งชูหลานได้อย่างไร ?”
หยูเวิ่นหวินหันหลังให้เขาแล้วมองไปยังสายธารอีกครั้ง
นางนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน “ต่งชูหลานคือสหายคนสนิทของข้า ข้ายินดีที่จะร่วมแบ่งปันกับนาง เพียงแต่การเดินทางมาของข้าในครั้งนี้ หนึ่งเกรงว่าเจ้าจะโกรธเนื่องจากพระราชโองการ สองเพื่อติดตามเจ้าไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน พำนักที่นั่นสักสองสามวัน จากนั้น……”
หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้น นางถอนหายใจเบา ๆ “ข้าต้องการหาวิธีทำอย่างไรให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี”
นางมองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ก่อนข้าจะเดินทางมานี้ ได้พูดคุยกับชูหลานทั้งคืน นิสัยของนาง ข้ารู้ดีกว่าผู้ใด สุดท้ายแล้วนางยินยอมเห็นด้วย ข้าเองก็ซึ้งใจยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเขินอาย เขานำมือลูบจมูก “แท้จริงแล้วมีบุรุษดี ๆ จำนวนมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้”
หยูเวิ่นหวินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเคยคิดเช่นนั้น แต่คำพูดของเสด็จแม่ทำให้ข้าเปลี่ยนไป เสด็จแม่ตรัสว่าความสุขนั้นเราต้องคว้ามันมาด้วยมือของตนเอง และข้าคิดว่าเจ้าจะทำให้ข้ามีความสุขได้”
สิ่งนี้ช่างน่าขัดใจนัก ยุคสมัยนี้ผู้คนเปิดใจกว้างกว่าเดิมก็จริงอยู่ หากแต่สตรีเช่นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเช่นนี้ก็มีไม่มาก
สตรีทั่วไปต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาเท่านั้น หากสามีที่บิดามารดาจัดหาให้มิใช่คนดี ก็ต้องช้ำใจไปตลอดชีวิต
“หมู่บ้านเซี่ยชุนนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องเดินทางไป ที่นั่นลำบากยิ่ง ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรไป”
“ไม่ ข้าจักไป ข้าต้องการเห็นด้วยตาตนเองว่าชีวิตประจำวันของเจ้าเป็นเยี่ยงใด”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นออกเดินทาง ข้าจะรอเจ้าที่ประตูทิศใต้”
“อืม” หยูเวิ่นหวินตอบรับ จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางออกจากหอวั่งเจียงโหลวไป
เพียงชั่วครู่ ก็ปรากฏบุคคลหนึ่งเดินออกมาจากระเบียง ยืนพิงอยู่ขอบประตู
“ชูหลาน เขาตกลงแล้ว” หยูเวิ่นหวินชอบใจยิ่งนัก ต่งชูหลานกลับเบ้ปาก
“ผู้ชาย……เจ้าชู้เหมือนกันทุกคน ! ”
“พวกเรามิใช่สหายที่ดีต่อกันงั้นหรือ ? ”
“เช่นนี้เขาจะมิได้ใจใหญ่หรือ ? ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือ”
ต่งชูหลานหันหลังกลับมาเอ่ยถามว่า “เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วงั้นหรือ ? ”
“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะจัดการได้ ด้านเสด็จแม่คงมิใช่ปัญหาใหญ่ ข้าคาดว่าสามารถเอ่ยให้นางเข้าใจได้ ส่วนด้านเสด็จพ่อนั้น ข้าเองยังมิรู้จะทำเยี่ยงไร”
“ข้าเองก็เช่นกัน ยังไม่รู้วิธีเอ่ยเช่นไรให้ท่านพ่อท่านแม่เข้าใจ ช่างปวดหัวยิ่งนัก เจ้าว่าหากเขาไปสอบคัดเลือกคงดีไม่น้อยใช่หรือไม่ !”
“หรือว่า……ข้าควรหาวิธีมอบตำแหน่งขุนนางแก่เขากัน ?”
“วิธีนี้ข้าว่าไม่เลว”