นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 27 ค่ำคืนนี้มิเคยได้หลับ
ตอนที่ 27 ค่ำคืนนี้มิเคยได้หลับ หยูเวิ่นหวินมิรู้ว่างานชุมนุมกวีนั้นจบลงได้เยี่ยงไร เพราะนางนำบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมานั้น ขึ้นมายังชั้นห้าเพื่อให้อาจารย์ฉินได้พิจารณา “กระหม่อมกล่าวแล้ว สหายเยาว์วัยของกระหม่อมนั้นยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง” อาจารย์ฉินอ่านกวีบทนั้น ลูบเครายาว และกล่าวยิ้ม ๆ “คนที่สามารถกล่าวออกมาได้ว่าเพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย ความสามารถนั้นจะปลอมได้เยี่ยงไร” “เขา เขากล่าวประโยคนั้นออกมาอย่างนั้นรึ?” หยูเวิ่นหวินตื่นตระหนกอย่างมาก นี่น่าตกใจยิ่งกว่าคราแรกที่ได้เห็นบทกวีค่ำคืนที่เมามายเสียอีก องค์หญิงเก้าทรงศึกษาอยู่ภายในกั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่ว ศาสตร์แขนงต่าง ๆ ย่อมศึกษาจนแตกฉาน นางย่อมเข้าใจธรรมะที่แฝงเอาไว้ในประโยคนี้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะอายุ 16 ปี จะมีความรู้ระดับสูงถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไรกัน “แน่นอน ครานั้นเขากล่าวออกมาต่อหน้าชายชราเยี่ยงกระหม่อม กล่าวไปแล้วก็ละอายยิ่ง ค่ำนั้นยังมีชูหลานอยู่ด้วย กระหม่อมถามเขาว่าศึกษาตำราเพื่อเหตุใดกัน ความตั้งใจเดิมของกระหม่อมคือเพื่ออบรมสั่งสอนเขา เพื่อให้เขามีจิตใจสงบมากพอที่จะเล่าเรียน และมิหมกมุ่นกับวิถีเล็กน้อยเหล่านั้น” อาจารย์ฉินหัวเราะตนเอง “ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากที่เขาสูดลมหายใจได้ไม่นานก็กล่าวประโยคนี้ออกมา จนชายชราเยี่ยงกระหม่อมละอายใจนัก กระหม่อมได้เรียบเรียงตำราและนำส่งให้แก่ขุนนางระดับสูงแล้ว คิดไว้ว่าประโยคนี้จะสามารถเข้าสำนักศึกษาได้ เพื่อให้บัณฑิตใต้หล้าได้เรียนรู้” “น่าเสียดายนัก สหายน้อยของกระหม่อมมิได้สนใจวิถีของขุนนาง กล่าวว่าอยากจะศึกษาสิ่งต่าง ๆ ทั้งยังกล่าวอีกว่า… มีลู่ทางอีกมากมายในใต้หล้า ย่อมมีคนเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน กระหม่อมได้ลองครุ่นคิดดูแล้ว ที่เขากล่าวมาทั้งหมดนั้นก็มีเหตุผล ดังนั้น การที่เขามิมาร่วมงานกวีนี้ ตัวกระหม่อมก็หาได้รู้สึกประหลาดใจอันใด เพราะหนทางนั้นช่างต่างกัน” “แต่บทกวีที่เขาส่งมา ก็เป็นสิ่งจรรโลงโลกวรรณกรรม” อาจารย์หลี่ไร้คำพูด เขาเคยเป็นผู้สอนฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน อดทนไปได้ยังไม่ถึงเดือน ก็จำต้องเป็นฝ่ายเอ่ยลา เพียงเพราะไม้ผุมิสามารถแกะสลักได้ เรื่องข่าวลือนั้นเขาก็ได้ยินมาเช่นกัน แต่เอนเอียงไปในทิศทางที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดลอกบทกวีสองบทนั้นเสียมากกว่า แต่ในยามที่อาจารย์ฉินเอ่ยด้วยตนเอง เขามิอยากจะเชื่อและยากที่จะเชื่อได้ยิ่งนัก “ท่านปู่ฉิน กล่าวถึงเพียงนี้… ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีพรสวรรค์เยี่ยงนั้นรึ?” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอีกครา “มีพรสวรรค์ยิ่ง! ท่านจะได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยตัวของท่านเองในภายภาคหน้า” “ระหว่างเขาและชูหลาน… มีความสัมพันธ์กันจริงเยี่ยงนั้นรึ?” ฉินปิ่งจงครุ่นคิดและกล่าวขำ ๆ “นี่คือเรื่องส่วนตัวของคนหนุ่มสาว ชายชราเยี่ยงกระหม่อมจะไปเข้าใจได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ แต่สหายน้อยของกระหม่อมคงจะสนใจชูหลานอยู่เล็กน้อย” “เพราะกวีบทนี้รึ?” “มิใช่บทนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นหนึ่งวันก่อนที่ชูหลานจะออกจากหลินเจียงไป ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์กวีอำลาให้แก่ชูหลานหนึ่งบท ความหมายนั้น… ชูหลานน่าจะเข้าใจดี” หยูเวิ่นหวินดวงตาเป็นประกาย แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็นกวีที่มีใจความเยี่ยงไรกัน?” “หากได้ร่ายร้องออกมา หลินเจียงต้องสั่นสะเทือนอีกคราเป็นแน่ กวีบทนั้นมีไว้สำหรับชูหลาน เพราะกระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์นั้น กระหม่อมจึงได้เห็น แต่ถ้าหากไม่มีคำอนุญาตจากชูหลาน กระหม่อมเองก็มิกล้ากล่าวออกมา หวังว่าองค์หญิงจะทรงเข้าพระทัย” หยูเวิ่นหวินอ้าปากหวอ แล้วเอ่ยถามอีกครั้งอย่างยิ้ม ๆ “เยี่ยงนั้นแล้ว จากที่ท่านปู่ฉินได้เห็นมา ชูหลานสนใจคุณชายตระกูลฟู่นั้นบ้างหรือไม่?” “เรื่องนี้ไม่น่ากล่าวเท่าใดนัก อย่างไรเสียสหายน้อยของกระหม่อมก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้า แต่ชูหลานนั้นเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ต่งคังผิงเป็นเยี่ยงไรกระหม่อมรู้ดี เขามองฐานะทางสังคมเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองหลวงก็ยังมีเยี่ยนซีเหวินอยู่ด้วย” …… ….. สุดท้ายผู้คนต่างก็แยกย้าย ซ่างหลินโจวก็กลับมาสงบอีกครา หยูเวิ่นหวินกำลังรับลมอยู่นอกเรือนพักผ่อน มองดวงจันทร์ดวงดารา ดวงตาทอประกาย ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้ตัดสินใจ “พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนฟู่” “เจ้ากล่าวอันใดออกมากัน?” หยูหงอี้อุทาน “เบาเสียง! พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปจวนฟู่” “ไปทำอันใดอย่างนั้นหรือ?” “…สุราเทียนฉุนของเขาเลิศรสยิ่ง ข้าจะไปหาเขาเพื่อซื้อสุรา” คืนนั้น หยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายให้แก่ต่งชูหลาน เนื้อความในจดหมายเขียนถึงคนผู้นั้นและกวีบทนั้น แน่นอนว่าเป็นนางที่เก็บต้นฉบับของกวีนั้นไว้ ทุกครั้งที่อ่านก็ต้องหัวเราะออกมาอยู่ร่ำไป เพราะอักษรเหล่านั้น… อัปลักษณ์เกินไปแล้ว นางนั่งอยู่ริมลำธาร ริมลำธารแห่งนี้นั้นไร้ผู้คน ลมพัดแรงเล็กน้อย พัดจนเสื้อผ้าของนางยับย่น พัดจนผมของนางปลิวไสวพันกันจนยุ่งเหยิง นางกอดเข่าเอาไว้ด้วยสองมือ ราวกับหนาวเล็กน้อย หากมีคนมาพบเข้า ย่อมรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งแรกแน่ ไฟของเรือหาปลาบนน่านน้ำได้ดับลงไปแล้ว มืดมิดจนมองมิเห็นสิ่งใด ในศีรษะของนางยังคงสับสน ราวกับมีปมหลายพันอยู่ในศีรษะ สลัดไม่ออก ตัดไปก็ยุ่งเหยิง ครุ่นคิดถึงผู้คนและเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายก็มาหยุดที่ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น จนถึงวันนี้ นางก็ยังมิเคยเจอฟู่เสี่ยวกวน แต่มิรู้ว่าเหตุใด ในหัวของนางกลับได้วาดรูปลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนออกมาแล้ว นางเกิดในตระกูลราชวงศ์ มิมีผู้ใดเข้าใจความโดดเดี่ยวของนาง แม้แต่สหายสนิทอย่างต่งชูหลาน ก็มิรู้ความลับที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจนี้ของนาง ที่นี่มิใช่จวนในเมือง และนางในวัย 17 ปี ก็ยังคงมีความฝัน …… …… เมืองหลวงจินหลิง ตรอกหวู่อี้ จวนต่ง ต่งชูหลานพิงอาคารและมองออกไปไกล ๆ ไฟในตรอกหวู่อี้ยังคงส่องสว่าง และจะสว่างไปจนถึงรุ่งสาง แต่สีของค่ำคืนได้ชะล้างความรุ่งเรืองของถนนสายนี้ไปจนหมดสิ้น ในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ และเงียบงันทำให้รู้สึกเงียบสงบและช่างว่างเปล่ายิ่งนัก ข้อศอกของนางค้ำอยู่ที่ราวจับ คางวางอยู่กลางฝ่ามือ สายตาของนางมิได้จดจ่ออยู่ที่ใด เด็กสาวที่อายุเพียง 15 ปี กลับเกิดความโศกเศร้าขึ้นในใจ แต่เดิมนางเป็นคนที่เยือกเย็นและฉลาด เพียงแต่มีบางเรื่องที่เข้ามาอยู่ในหัวของนาง ทำให้นางต้องคิดหนัก ด้วยฉะนี้จึงทำให้นางกลายเป็นคนที่คิดช้าไปชั่วขณะ หรือกล่าวได้ว่านางไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว แต่นางก็อดที่จะคิดเกี่ยวกับมันมิได้ ในวันนี้ที่เบี้ยหลุดออกไปนอกกระดาน นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองกำลังคิดถึงเขา เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเยี่ยงนี้ปรากฏขึ้นมา แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับชายหนุ่มมากความสามารถในเมืองหลวงมามากมาย แต่นางก็มิเคยยั้งสติมิอยู่ถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยนซีเหวิน ก็ไม่มีทางที่จะทำให้นางเป็นหนักได้ถึงเพียงนี้เป็นแน่ ระยะเวลาสั้น ๆ ยี่สิบวันในหลินเจียง และเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจังเพียงไม่กี่คราเท่านั้น ก็จะถูกเขาพิชิตไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ? ต่งชูหลานยังคงเข้าใจจิตใจของตนเองได้ดี ว่าแท้ที่จริงแล้วกำลังไปในทิศทางใด เหตุผลก็บอกกับนางว่าสำหรับพวกเขานั้นมิมีทางเป็นไปได้ เพราะสถานะที่แตกต่างกัน และเพราะบิดามารดาที่มองสถานะเป็นหลักสำคัญ แม้ว่าเขาจะร่ำรวยที่สุดในประเทศ แต่เขาก็เป็นเพียงพ่อค้า ในสายตาของมารดาเขาเป็นเพียงชนชั้นล่างสุดในสังคมอยู่ดี แต่ในใจนั้นก็ยังบอกกับนางว่า นางชอบเขา และมิมีเหตุผลอันใดต้องนำมาขัดแย้ง หากต้องกล่าวหนึ่งเหตุผลอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะกวีบทนั้นที่เขาได้ประพันธ์ออกมา นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ของทางเดินนี้ หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร? ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง ล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึงหวู่อี้อย่างชัดเจน เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้หายไป ด้วยเสียงไก่ที่หน้าต่าง …… ….. ไฟเรือนเล็กชั้นสองของจวนฟู่ยังคงสว่างอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนฟังเรื่องราวจากชุนซิ่วจนจบแล้ว ก็ชมเชยสาวน้อยผู้นี้เป็นอย่างมาก กล่าวว่าภายภาคหน้าหากมีใครมาใส่ร้ายคุณชายของเจ้าอีก เจ้าก็สาดโทสะนี้แทนคุณชายผู้นี้เสีย! จากนั้นเขาก็อ่านหนังสือต่อ หลังจากนั้นชุนซิ่วก็พบว่าต้นฉบับเหล่านั้นได้หายไปแล้ว จึงได้เอ่ยถาม “ต้นฉบับที่ข้ารวบรวมไว้ล่ะเจ้าคะ?” “ส่งให้ชูหลานแล้ว หากนางอ่านมันจบ นางจะส่งกลับมาเอง” “เจ้าค่ะ… คุณชายเขียนต่อเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากอ่านด้วยเช่นกัน” “ได้ หากข้าว่างเมื่อไหร่ข้าจะเขียน” “เจ้าค่ะ” “พอแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอ่านคัมภีร์เล่มนี้อีกสักครั้ง” เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ชุนซิ่วครุ่นคิด ไปยังห้องครัวเพื่อทอดไข่แล้วเดินกลับเข้ามา “คุณชาย ข้าขอตัวไปนอนก่อนนะเจ้าค่ะ” “ไปเถอะ” ฟู่เสี่ยวกวนทานไข่ทอดพลางอ่านหนังสือไป จนกระทั่งจดจำคัมภีร์ฉุนหยางซินจิงทั้งหมดได้ขึ้นใจ เงยหน้าขึ้นมา นอกหน้าต่างก็สว่างขึ้นด้วยแสงของดวงอาทิตย์และมีเสียงไก่ขันดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ
ตอนที่ 27 ค่ำคืนนี้มิเคยได้หลับ
หยูเวิ่นหวินมิรู้ว่างานชุมนุมกวีนั้นจบลงได้เยี่ยงไร เพราะนางนำบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมานั้น ขึ้นมายังชั้นห้าเพื่อให้อาจารย์ฉินได้พิจารณา
“กระหม่อมกล่าวแล้ว สหายเยาว์วัยของกระหม่อมนั้นยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”
อาจารย์ฉินอ่านกวีบทนั้น ลูบเครายาว และกล่าวยิ้ม ๆ “คนที่สามารถกล่าวออกมาได้ว่าเพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย ความสามารถนั้นจะปลอมได้เยี่ยงไร”
“เขา เขากล่าวประโยคนั้นออกมาอย่างนั้นรึ?” หยูเวิ่นหวินตื่นตระหนกอย่างมาก นี่น่าตกใจยิ่งกว่าคราแรกที่ได้เห็นบทกวีค่ำคืนที่เมามายเสียอีก
องค์หญิงเก้าทรงศึกษาอยู่ภายในกั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่ว ศาสตร์แขนงต่าง ๆ ย่อมศึกษาจนแตกฉาน นางย่อมเข้าใจธรรมะที่แฝงเอาไว้ในประโยคนี้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะอายุ 16 ปี จะมีความรู้ระดับสูงถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไรกัน
“แน่นอน ครานั้นเขากล่าวออกมาต่อหน้าชายชราเยี่ยงกระหม่อม กล่าวไปแล้วก็ละอายยิ่ง ค่ำนั้นยังมีชูหลานอยู่ด้วย กระหม่อมถามเขาว่าศึกษาตำราเพื่อเหตุใดกัน ความตั้งใจเดิมของกระหม่อมคือเพื่ออบรมสั่งสอนเขา เพื่อให้เขามีจิตใจสงบมากพอที่จะเล่าเรียน และมิหมกมุ่นกับวิถีเล็กน้อยเหล่านั้น”
อาจารย์ฉินหัวเราะตนเอง “ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากที่เขาสูดลมหายใจได้ไม่นานก็กล่าวประโยคนี้ออกมา จนชายชราเยี่ยงกระหม่อมละอายใจนัก กระหม่อมได้เรียบเรียงตำราและนำส่งให้แก่ขุนนางระดับสูงแล้ว คิดไว้ว่าประโยคนี้จะสามารถเข้าสำนักศึกษาได้ เพื่อให้บัณฑิตใต้หล้าได้เรียนรู้”
“น่าเสียดายนัก สหายน้อยของกระหม่อมมิได้สนใจวิถีของขุนนาง กล่าวว่าอยากจะศึกษาสิ่งต่าง ๆ ทั้งยังกล่าวอีกว่า… มีลู่ทางอีกมากมายในใต้หล้า ย่อมมีคนเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน กระหม่อมได้ลองครุ่นคิดดูแล้ว ที่เขากล่าวมาทั้งหมดนั้นก็มีเหตุผล ดังนั้น การที่เขามิมาร่วมงานกวีนี้ ตัวกระหม่อมก็หาได้รู้สึกประหลาดใจอันใด เพราะหนทางนั้นช่างต่างกัน”
“แต่บทกวีที่เขาส่งมา ก็เป็นสิ่งจรรโลงโลกวรรณกรรม”
อาจารย์หลี่ไร้คำพูด เขาเคยเป็นผู้สอนฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน อดทนไปได้ยังไม่ถึงเดือน ก็จำต้องเป็นฝ่ายเอ่ยลา เพียงเพราะไม้ผุมิสามารถแกะสลักได้
เรื่องข่าวลือนั้นเขาก็ได้ยินมาเช่นกัน แต่เอนเอียงไปในทิศทางที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดลอกบทกวีสองบทนั้นเสียมากกว่า แต่ในยามที่อาจารย์ฉินเอ่ยด้วยตนเอง เขามิอยากจะเชื่อและยากที่จะเชื่อได้ยิ่งนัก
“ท่านปู่ฉิน กล่าวถึงเพียงนี้… ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีพรสวรรค์เยี่ยงนั้นรึ?” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอีกครา
“มีพรสวรรค์ยิ่ง! ท่านจะได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยตัวของท่านเองในภายภาคหน้า”
“ระหว่างเขาและชูหลาน… มีความสัมพันธ์กันจริงเยี่ยงนั้นรึ?”
ฉินปิ่งจงครุ่นคิดและกล่าวขำ ๆ “นี่คือเรื่องส่วนตัวของคนหนุ่มสาว ชายชราเยี่ยงกระหม่อมจะไปเข้าใจได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ แต่สหายน้อยของกระหม่อมคงจะสนใจชูหลานอยู่เล็กน้อย”
“เพราะกวีบทนี้รึ?”
“มิใช่บทนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นหนึ่งวันก่อนที่ชูหลานจะออกจากหลินเจียงไป ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์กวีอำลาให้แก่ชูหลานหนึ่งบท ความหมายนั้น… ชูหลานน่าจะเข้าใจดี”
หยูเวิ่นหวินดวงตาเป็นประกาย แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็นกวีที่มีใจความเยี่ยงไรกัน?”
“หากได้ร่ายร้องออกมา หลินเจียงต้องสั่นสะเทือนอีกคราเป็นแน่ กวีบทนั้นมีไว้สำหรับชูหลาน เพราะกระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์นั้น กระหม่อมจึงได้เห็น แต่ถ้าหากไม่มีคำอนุญาตจากชูหลาน กระหม่อมเองก็มิกล้ากล่าวออกมา หวังว่าองค์หญิงจะทรงเข้าพระทัย”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากหวอ แล้วเอ่ยถามอีกครั้งอย่างยิ้ม ๆ “เยี่ยงนั้นแล้ว จากที่ท่านปู่ฉินได้เห็นมา ชูหลานสนใจคุณชายตระกูลฟู่นั้นบ้างหรือไม่?”
“เรื่องนี้ไม่น่ากล่าวเท่าใดนัก อย่างไรเสียสหายน้อยของกระหม่อมก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้า แต่ชูหลานนั้นเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ต่งคังผิงเป็นเยี่ยงไรกระหม่อมรู้ดี เขามองฐานะทางสังคมเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองหลวงก็ยังมีเยี่ยนซีเหวินอยู่ด้วย”
……
…..
สุดท้ายผู้คนต่างก็แยกย้าย ซ่างหลินโจวก็กลับมาสงบอีกครา
หยูเวิ่นหวินกำลังรับลมอยู่นอกเรือนพักผ่อน มองดวงจันทร์ดวงดารา ดวงตาทอประกาย ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้ตัดสินใจ
“พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนฟู่”
“เจ้ากล่าวอันใดออกมากัน?” หยูหงอี้อุทาน
“เบาเสียง! พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปจวนฟู่”
“ไปทำอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“…สุราเทียนฉุนของเขาเลิศรสยิ่ง ข้าจะไปหาเขาเพื่อซื้อสุรา”
คืนนั้น หยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายให้แก่ต่งชูหลาน เนื้อความในจดหมายเขียนถึงคนผู้นั้นและกวีบทนั้น แน่นอนว่าเป็นนางที่เก็บต้นฉบับของกวีนั้นไว้ ทุกครั้งที่อ่านก็ต้องหัวเราะออกมาอยู่ร่ำไป
เพราะอักษรเหล่านั้น… อัปลักษณ์เกินไปแล้ว
นางนั่งอยู่ริมลำธาร ริมลำธารแห่งนี้นั้นไร้ผู้คน ลมพัดแรงเล็กน้อย พัดจนเสื้อผ้าของนางยับย่น พัดจนผมของนางปลิวไสวพันกันจนยุ่งเหยิง
นางกอดเข่าเอาไว้ด้วยสองมือ ราวกับหนาวเล็กน้อย หากมีคนมาพบเข้า ย่อมรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งแรกแน่
ไฟของเรือหาปลาบนน่านน้ำได้ดับลงไปแล้ว มืดมิดจนมองมิเห็นสิ่งใด
ในศีรษะของนางยังคงสับสน ราวกับมีปมหลายพันอยู่ในศีรษะ สลัดไม่ออก ตัดไปก็ยุ่งเหยิง
ครุ่นคิดถึงผู้คนและเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายก็มาหยุดที่ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น
จนถึงวันนี้ นางก็ยังมิเคยเจอฟู่เสี่ยวกวน แต่มิรู้ว่าเหตุใด ในหัวของนางกลับได้วาดรูปลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนออกมาแล้ว
นางเกิดในตระกูลราชวงศ์ มิมีผู้ใดเข้าใจความโดดเดี่ยวของนาง แม้แต่สหายสนิทอย่างต่งชูหลาน ก็มิรู้ความลับที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจนี้ของนาง
ที่นี่มิใช่จวนในเมือง และนางในวัย 17 ปี ก็ยังคงมีความฝัน
……
……
เมืองหลวงจินหลิง ตรอกหวู่อี้ จวนต่ง
ต่งชูหลานพิงอาคารและมองออกไปไกล ๆ ไฟในตรอกหวู่อี้ยังคงส่องสว่าง และจะสว่างไปจนถึงรุ่งสาง แต่สีของค่ำคืนได้ชะล้างความรุ่งเรืองของถนนสายนี้ไปจนหมดสิ้น ในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ และเงียบงันทำให้รู้สึกเงียบสงบและช่างว่างเปล่ายิ่งนัก
ข้อศอกของนางค้ำอยู่ที่ราวจับ คางวางอยู่กลางฝ่ามือ สายตาของนางมิได้จดจ่ออยู่ที่ใด เด็กสาวที่อายุเพียง 15 ปี กลับเกิดความโศกเศร้าขึ้นในใจ
แต่เดิมนางเป็นคนที่เยือกเย็นและฉลาด เพียงแต่มีบางเรื่องที่เข้ามาอยู่ในหัวของนาง ทำให้นางต้องคิดหนัก ด้วยฉะนี้จึงทำให้นางกลายเป็นคนที่คิดช้าไปชั่วขณะ หรือกล่าวได้ว่านางไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
แต่นางก็อดที่จะคิดเกี่ยวกับมันมิได้
ในวันนี้ที่เบี้ยหลุดออกไปนอกกระดาน นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองกำลังคิดถึงเขา
เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเยี่ยงนี้ปรากฏขึ้นมา แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับชายหนุ่มมากความสามารถในเมืองหลวงมามากมาย แต่นางก็มิเคยยั้งสติมิอยู่ถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยนซีเหวิน ก็ไม่มีทางที่จะทำให้นางเป็นหนักได้ถึงเพียงนี้เป็นแน่
ระยะเวลาสั้น ๆ ยี่สิบวันในหลินเจียง และเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจังเพียงไม่กี่คราเท่านั้น ก็จะถูกเขาพิชิตไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ?
ต่งชูหลานยังคงเข้าใจจิตใจของตนเองได้ดี ว่าแท้ที่จริงแล้วกำลังไปในทิศทางใด
เหตุผลก็บอกกับนางว่าสำหรับพวกเขานั้นมิมีทางเป็นไปได้ เพราะสถานะที่แตกต่างกัน และเพราะบิดามารดาที่มองสถานะเป็นหลักสำคัญ แม้ว่าเขาจะร่ำรวยที่สุดในประเทศ แต่เขาก็เป็นเพียงพ่อค้า ในสายตาของมารดาเขาเป็นเพียงชนชั้นล่างสุดในสังคมอยู่ดี
แต่ในใจนั้นก็ยังบอกกับนางว่า นางชอบเขา และมิมีเหตุผลอันใดต้องนำมาขัดแย้ง
หากต้องกล่าวหนึ่งเหตุผลอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะกวีบทนั้นที่เขาได้ประพันธ์ออกมา
นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ของทางเดินนี้
หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน
แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?
ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น
ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง ล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย
ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึงหวู่อี้อย่างชัดเจน
เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้หายไป ด้วยเสียงไก่ที่หน้าต่าง
……
…..
ไฟเรือนเล็กชั้นสองของจวนฟู่ยังคงสว่างอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนฟังเรื่องราวจากชุนซิ่วจนจบแล้ว ก็ชมเชยสาวน้อยผู้นี้เป็นอย่างมาก กล่าวว่าภายภาคหน้าหากมีใครมาใส่ร้ายคุณชายของเจ้าอีก เจ้าก็สาดโทสะนี้แทนคุณชายผู้นี้เสีย!
จากนั้นเขาก็อ่านหนังสือต่อ หลังจากนั้นชุนซิ่วก็พบว่าต้นฉบับเหล่านั้นได้หายไปแล้ว จึงได้เอ่ยถาม “ต้นฉบับที่ข้ารวบรวมไว้ล่ะเจ้าคะ?”
“ส่งให้ชูหลานแล้ว หากนางอ่านมันจบ นางจะส่งกลับมาเอง”
“เจ้าค่ะ… คุณชายเขียนต่อเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากอ่านด้วยเช่นกัน”
“ได้ หากข้าว่างเมื่อไหร่ข้าจะเขียน”
“เจ้าค่ะ”
“พอแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอ่านคัมภีร์เล่มนี้อีกสักครั้ง”
เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ชุนซิ่วครุ่นคิด ไปยังห้องครัวเพื่อทอดไข่แล้วเดินกลับเข้ามา “คุณชาย ข้าขอตัวไปนอนก่อนนะเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนทานไข่ทอดพลางอ่านหนังสือไป จนกระทั่งจดจำคัมภีร์ฉุนหยางซินจิงทั้งหมดได้ขึ้นใจ
เงยหน้าขึ้นมา นอกหน้าต่างก็สว่างขึ้นด้วยแสงของดวงอาทิตย์และมีเสียงไก่ขันดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ