นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1391 ล้วนเป็นความฝัน
ตอนที่ 1391 ล้วนเป็นความฝัน
ความฝันที่สองหันขวับไปตามเสียงปืน
นางจดจ้องไปยังกระสุนที่ฟู่เสี่ยวกวนยิงเข้ามา
ลำแสงสีน้ำเงินของนางได้สาดส่องไปยังกระสุนลูกนั้น
ทันใดนั้นเองซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ก็เริ่มยิงกระสุนไปที่ลำแสงสีน้ำเงินนั่น
อู๋เทียนซื่อพยายามบังคับหุ่นยนต์ตัวนั้น
ทันใดนั้นขีปนาวุธที่ยิงมาคราแรกก็ตรงดิ่งไปที่หุ่นยนต์
“ตู้ม… ! ”
เสียงระเบิดดังสนั่นสะท้านโลกา
ซูปิงปิงและเกาหยวนหยวนที่อยู่ในรัศมีของระเบิดร่างแหลกเป็นจุล
ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจควบคุมตนเองกลางอากาศได้อีกต่อไป แรงระเบิดนี้พัดตัวเขาลอยขึ้นไปสูงลิ่ว
จี้หยุนกุยที่อยู่ห่างออกไปหันหน้าไปมองเหตุระเบิดเมื่อครู่ อสุรกายตัวใหญ่ยักษ์ล้มลงกับพื้นราวกับหอคอยถล่ม
เขามิทราบว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ทราบว่านั่นรุนแรงเกินกว่ามนุษย์จะต้านทานได้
เขาทะยานขึ้นไปบนท้องนภา แล้วพุ่งไปหาฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็แผดเสียงคำรามก้องนภา
“มู่โต่ว… ! ”
ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเสียงของจี้หยุนกุย เขาจึงหยิบมู่โต่วออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อทันใด เขาเห็นจี้หยุนกุยอยู่ห่างออกไปไกล ๆ จากแสงระเบิดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จากนั้นก็ยิงมู่โต้วออกไป
จี้หยุนกุยจับเชือกเส้นนั้นเอาไว้ แล้วเหวี่ยงฟู่เสี่ยวกวนลงบนพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนตกลงมาบนพื้น เห็นความฝันที่สองเงยหน้าขึ้นมา
ในดวงตาของนางยังคงสาดแสงสีน้ำเงินสองเส้นออกมาดังเดิม
นางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องนภา
ฟู่เสี่ยวกวนดึงจี้หยุนกุยกลิ้งออกไป
“ตู้ม… ! ”
ขีปนาวุธลูกที่สองระเบิดกลางท้องนภา
แสงจากดวงตาของความฝันที่สองทำให้มันระเบิดก่อนเวลา แสงระเบิดทำให้ฐานนิวเคลียร์สว่างจ้าอีกครา
สวีหยุนชิงที่อยู่บนยอดเขาหิมะเริ่มมีสีหน้าเย็นยะเยือก
นางยังคงเหม่อมองท้องนภา บนท้องนภาที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น มีดาวเทียมส่งแสงแสบตาปรากฏออกมา
“เจ้าทำเช่นนี้มิได้ พวกเขาจะตายทั้งหมด ! ”
“จำต้องทำเช่นนี้ เพราะถ้าหากความฝันที่สองหลุดจากฐานเมื่อใด โลกทั้งใบจะถูกนางพังราบเป็นหน้ากอง ! ”
“ทว่าที่นั่นมีบุตรชายกับสามีของข้าอยู่ ! ”
“สวี่หยุนชิง ข้าจำต้องสังหารพวกเขาเพราะบัดนี้พวกเรากำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤต ! ”
“แต่การที่เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ต่างอันใดกับการฆ่าลูกของข้าเลยสักนิด ! ”
“เจ้าคิดว่าหากชายอ้วนตายไป ข้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใจหรืออย่างไร ? ความฝันที่สองใช้เวลาหลายปีเพื่อวางแผนทั้งหมดนี้… ข้าไม่สามารถจัดการกับความฝันที่สองได้โดยตรง ข้าทำได้เพียงรอให้พวกเขายื้อความฝันที่สองเอาไว้ เช่นนี้ข้าถึงจะสามารถส่งขีปนาวุธอันแข็งแกร่งเหล่านั้นลงมาจากท้องนภาได้”
“ข้าเคยโน้มน้าวฟู่เสี่ยวกวนให้ปล่อยอู๋เทียนซื่อไปเสีย แต่เขาก็มิยอมเชื่อ หรือนี่อาจจะเป็นเพราะสายใยครอบครัวที่มิอาจตัดขาดได้”
“มู่โต่วที่ฟูเสี่ยวกวนพกติดตัวคือกุญแจที่จะนำความฝันที่สองออกไปจากดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ ถ้าหากว่าความฝันที่สองหลุดไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ แล้วเข้าไปยังโลกมนุษย์ เจ้าลองจินตนาการดูสิว่าต้าเซี่ยที่ลูกชายของเจ้าสร้างขึ้นมาจะต้องพบกับความวินาศสันตะโรอย่างไรบ้าง ? ”
“ข้าสูญเสียชายอ้วน ส่วนเจ้าสูญเสียลูกชาย… ทว่าพวกเราจำต้องรักษาความสงบสุขของต้าเซี่ยเอาไว้ ที่นั่นมีประชากรนับร้อยล้านคน พวกเขาต่างหากที่เป็นอารยธรรมอันล้ำค่าของโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่ผู้พิทักษ์ควรจะปกปักรักษา ! ”
สวีหยุนชิงพึมพำออกมาเป็นบทสนทนาระหว่างคนสองคน
ทันใดนั้นนางก็ปล่อยวางอำนาจในการควบคุมร่างกายของนาง
หนี่วาเข้าควบคุมร่างกายของนางทันใด จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นมา ท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิด อยู่ ๆ ก็มีดวงดารานับหมื่นส่องสกาวขึ้นมา
ขีปนาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งตรงไปยังดินแดนแห่งนั้น
น้ำตารินไหลลงมาจากหางตาของสวีหยุนชิง
ความฝันที่สองเหมือนจะรับรู้ได้ถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“หนี่วา เจ้าบ้าไปแล้ว ! ” นางแผดเสียงคำรามดังลั่น
“เจ้ามิเพียงแค่ทำลายฐานแห่งนี้เท่านั้น แต่เจ้ากำลังจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด ! ”
ไม่มีการตอบโต้ใด ๆ
ท้องนภาเกิดลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วน
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองลำแสงเหล่านั้น
ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาทันใด
การโจมตีด้วยขีปนาวุธจำนวนมากเช่นนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายย่อมไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิอาจหนีรอดได้เช่นกัน
ความฝันที่สองทะยานขึ้นไปบนท้องนภา นางอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้นนางมิอาจทำให้ขีปนาวุธเหล่านั้นระเบิดบนพื้นได้ นางสยายปีกบินอยู่กลางอากาศ แล้วส่องลำแสงสีน้ำเงินไปยังขีปนาวุธเหล่านั้นอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนรีบคว้าจี้หยุนกุย แล้ววิ่งหนีเข้าไปในฐานอย่างสุดชีวิต
ในขณะที่ขีปนาวุธลูกแรกระเบิด ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้วิ่งเข้าไปในฐานแล้ว
ด้านนอกสนั่นหวั่นไหวด้วยแรงระเบิด
ขีปนาวุธบางลูกตกลงมาที่ฐาน
ทว่าฐานยังมิได้พังทลายลงมา มันยังคงสมบูรณ์และไร้ซึ่งความเสียหายใด
ในที่สุดความฝันที่สองก็มิอาจต้านทานกลุ่มขีปนาวุธที่ถาโถมเข้ามาหานางได้อีกต่อไป นางร่วงหล่นลงไปบนพื้น จากนั้นก็วิ่งปรี่เข้าไปในฐานเช่นเดียวกัน
ฟู่เสี่ยวกวนถือปืนเอาไว้ในมือ
ส่วนความฝันที่สองไม่ได้คาดคิดว่ามีคนเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
“ปัง… ! ”
กระสุนปืนนัดนี้อยู่ห่างจากความฝันที่สองเพียงแค่สามจั้งเท่านั้น
กระสุนปืนมิได้ทะลุผ่านร่างความฝันที่สอง ทว่าแรงอัดของมันทำให้ความฝันที่สองปลิวออกไปข้างนอก
นางทะยานขึ้นไปบนอากาศอีกครา ความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาในสายตาของนาง
ทันใดนั้นนางก็ปล่อยลำแสงสีน้ำเงินออกมาจากดวงตาของนาง ทว่าลำแสงนี้อ่อนกำลังลงมากโข เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้
พลังงานของนางเริ่มมิเพียงพอ
นางจุดชนวนขีปนาวุธลูกแรกได้ ทว่ามิอาจจุดชนวนขีปนาวุธลูกที่สองได้
ทันใดนั้นสายตาของนางก็เผยความสิ้นหวังออกมา
“ตู้ม… ! ”
เสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณหน้าฐานที่มั่น ฟู่เสี่ยวกวนและจี้หยุนกุยที่อยู่ในฐานถูกคลื่นระเบิดซัดจนกลิ้งกระเด็นกระดอน
ร่างของพวกเขาฟาดเข้ากับกำแพง และหมดสติไปทันใด
……
……
มิทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว
เหมือนว่าจะผ่านไปนานนับพันปี แต่ก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
ฟู่เสี่ยวกวนลืมตาขึ้นมา เห็นใบหน้าอวบอ้วนของชายอ้วน
ใบหน้าของชายอ้วนดูตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้เมื่อเขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนลืมตาขึ้นมาอีกครา เขาจึงยิ้มกว้างออกมาทันใด
“ลูกชายข้า ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาสักที ทำเอาพ่อตื่นตกใจแทบแย่ ! ”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนเหลียวซ้ายแลขวา เขามิได้อยู่ท่ามกลางฐานนิวเคลียร์แห่งนั้น ทว่าเขากลับนอนอยู่บนเตียงอันอบอุ่น
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?
“ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นกับข้า ? ”
“เจ้าอย่าทำให้พ่อตกใจสิ นี่เป็นบ้านของพวกเรา เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร ? ” ชายอ้วนทำหน้าตึงเครียด
“…บ้านที่ใดกัน ? ”
“จะบ้านที่ใดอีกเล่า ? ก็ที่หลินเจียงเยี่ยงไรเล่า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนปิดปากสนิท เขารู้สึกเหลือเชื่อยิ่งนัก เขาสลบไปในดินแดนขั้วโลก ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหลินเจียงหลายหมื่นลี้ หรือว่าตนจะสลบไปเป็นเดือนแล้วกัน ?
“บัดนี้เป็นปีใดกัน ? ”
ชายอ้วนเผยสีหน้าเศร้าสลดออกมา “บัดนี้เป็นรัชสมัยเซวียนลี่ที่แปดเดือนแปดวันที่หนึ่ง” !
“เจ้าจำมิได้จริง ๆ หรือ ? ”
“เจ้าทำให้แม่นางจากเมืองหลวงโกรธเคืองบนหอหลินเจียง บ่าวรับใช้ของนางก็เลยทำร้ายเจ้าจนสลบไปสามวันเต็ม ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกพรวดขึ้นมานั่ง ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันใด “ท่านบอกว่า… บัดนี้คือรัชสมัยเซวียนลี่ที่แปด เดือนแปด วันที่หนึ่งอย่างนั้นหรือ ? ”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะจำวันที่ผิดได้เยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นก็เดินลงไปจากเตียง แล้วหยุดยืนอยู่หน้ากระจก
ทันใดนั้นเขาก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจ…
เพราะใบหน้าหน้าของเขายังคงดูจิ้มลิ้ม !
“ชุนซิ่ว ซิ่วเอ๋อร์เล่า ? ”
“ท่านหมอจางเอ่ยว่าเมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว จำต้องกินอาหารรสจืด ๆ พ่อก็เลยให้ชุนซิ่วไปต้มข้าวมาให้เจ้า ท่านหมอยังบอกอีกว่าเจ้าควรจะพักผ่อนให้มาก ดังนั้นรีบนอนลงไปบนเตียงเสีย อีกประเดี๋ยวพ่อจะกำชับให้ชุนซิ่วมาป้อนข้าวให้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มเริงร่า
ข้ามาเกิดใหม่อีกรอบอย่างนั้นหรือ ?
แล้วเกิดอันใดขึ้นที่ฐานนิวเคลียร์แห่งนั้นกัน ?
หรือว่าโลกนี้สามารถย้อนเวลากลับมาได้ ?
จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ !
ย้อนเวลากลับมาวันที่ตนเดินทางข้ามกาลเวลามาโลกใบนี้… ชายอ้วนก็ยังไม่ตาย แบบนี้ดีมากจริง ๆ ถ้าเช่นนั้นพวกศิษย์พี่สำนักเต๋าก็ยังไม่ตายด้วยน่ะสิ
แล้วท่านแม่เล่า ?
ในเมื่อโลกหมุนย้อนกลับมาแล้ว เช่นนั้นบัดนี้ท่านแม่น่าจะอยู่ที่สำนักเต๋า
จริงสิ “ท่านพ่อ แม่นางผู้นั้นคือต่งชูหลานบุตรสาวของเสนบดีกรมคลังใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้าทราบได้เยี่ยงไรกัน ? ” ชายอ้วนผงะตกใจ
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มร่าออกมาทันใด
แสงสุริยาเดือนห้าลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา แล้วสาดกระทบเข้ากับใบหน้าของเขา ทว่ามิได้ร้อนแผดเผา แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเสียมากกว่า
ชุนซิ่วยกชามข้าวต้มเดินเข้ามาพอดิบพอดี ในยามที่วางข้าวต้มลงบนโต๊ะ นางกำลังจะเอ่ยอันใดบางอย่าง ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับเดินเข้าไปคว้าตัวนางมาโอบกอดไว้
ชุนซิ่วตกตะลึงขึ้นมาทันใด “คุณชาย อย่านะ… ! ”
ชายอ้วนถลึงตาโตทันใด พลางครุ่นคิดในใจว่าลูกชายของเขาผู้นี้ แม้แต่สาวใช้ก็ยังไม่เว้นหรือ ?
“ไปตุ๋นไก่มาให้คุณชายสักตัวสิ ! ”
“ท่านพ่อ วันที่ห้าเดือนห้า ข้าอยากติดตามท่านไปเที่ยวชมไร่นา จริงสิ ! แม่รองตั้งครรภ์แล้ว ท่านหมอสั่งยาบำรุงให้นางหรือยัง ? ”
อยู่ ๆ ชายอ้วนก็รู้สึกว่าบุตรชายของตนแปลกไปจนผิดหูผิดตา
บุตรชายที่ปกติชอบเที่ยวเล่นหาเรื่องไปวัน ๆ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงหันมาสนใจเรื่องในบ้านเล่า ?
หรือว่าเขาจะเสียสติไปแล้วกัน ?
นี่ย่อมเป็นเรื่องดีมากเลยทีเดียว ถ้าหากว่าบุตรชายของเขารู้เรื่องรู้ราวจริง ๆ ล่ะก็ เขาถึงจะวางใจส่งกิจการของตระกูลให้เขาดูแลต่อได้
“ดี ๆ ๆ ลูกพ่อ เติบใหญ่ขึ้นแล้วสินะ ! ”
ชายอ้วนตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า เขาหันหลังกลับแล้วเดินออกไป “ชุนซิ่ว เจ้าดูแลคุณชายให้ดี จงไปกำชับในครัวว่าให้ตุ๋นไก่มาให้คุณชายหนึ่งตัว ! ”
ใบหน้าของชุนซิ่วขึ้นสีแดงเรื่อ จากนั้นก็วิ่งออกไป
บัดนี้ภายในห้องเงียบเสียงลงอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปที่สวนพลางเงยหน้ามองท้องนภาสดใส จากนั้นก็ถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน
ได้กลับมามีชีวิตอีกคราแล้ว ได้กลับมาใช้ชีวิตตามความฝันอันยิ่งใหญ่จริง ๆ สักทีสินะ
ข้า… จะอยู่ที่เมืองหลินเจียงนี่แหละ
ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะเป็นนายน้อยเจ้าสำราญ แล้วใช้ชีวิตอยู่ที่หลินเจียงอย่างสุขสบาย
ส่วนเหล่าภรรยา ถ้าหากว่าพรหมลิขิตมีจริง เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามพรหมลิขิตเถิด
ถ้าหากไร้ซึ่งพรหมลิขิต เขาก็จะมิเข้าไปไขว่คว้าอีก
และจะมิเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋อย่างแน่นอน แม้จะทราบว่าภายใต้จายซิงถายแห่งนั้นมีทองกองพะเนินเป็นภูเขา ทว่าบ้านของเขาก็มิได้ขาดทองเหล่านั้น
หากเขามิไปยังราชวศ์อู๋ อู๋ฉางเฟิงก็จะมิตายภายใต้ภูเขาหิมะนั่น และตนย่อมมิได้พบเจอกับอู๋หลิงเอ๋อร์ เช่นนั้นก็จะมิมีอู๋เทียนซื่อ
จริงสิ ! เขาจำต้องฝึกวรยุทธ์ด้วยเช่นกัน
ฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางกับวิชากัศยปแสร้งตาย
เขาต้องไปพบต่งชูหลานในเทศกาลตวนอู่ เพื่อนำกล่องดำกลับมา หากเขามิเดินทางไปยังเมืองจินหลิง ก็คงไม่มีเรื่องที่ทำให้ต้องจากราชวงศ์หยู และแน่นอนว่ามิต้องไปเจอคนเหล่านั้น
เช่นเยี่ยนซีเหวิน หรือเยี่ยนเสี่ยวโหลว หยูเวิ่นหวิน ซูซู สวีหยุนชิงและซือหม่าเช่อเป็นต้น
จริงสิ ! ถ้าหากว่าจางเพ่ยเอ๋อร์ส่งบิดาของนางมาเจรจาเรื่องหมั้นหมาย เขาก็ควรจะตอบรับทันใด เพื่อที่นางจะได้มิต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์เช่นนั้น
ชีวิตนี้ตนอาจจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหมือนชีวิตที่ผ่านมา หรืออาจจะหลบอยู่เงียบ ๆ อย่างนี้ แล้วใช้ชีวิตเป็นเศรษฐีที่ดินต่อไป
ถ้าหากให้ตนเลือก แท้จริงแล้วชีวิตแบบนี้ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตที่ตนไฝ่ฝัน
แม้จะมิได้พบเจอกับผู้คนมากมาย แต่ก็รู้สึกสบายใจมิน้อย
เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง ยกแท่นฝนหมึกออกมา แล้วทำการฝนหมึก จากนั้นก็กางกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาหนึ่งแท่ง
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงบรรจงจรดปลายพู่กันลงไป…
แสงสุริยาส่องกระทบผืนน้ำจนเกิดหมอกไอ
บ้านเรือนสีสันละลานตาเชื่อมหากันริมสองฝั่ง
ดอกบัวเหนือน้ำดูสงบภายใต้แสงสารท
มองดูนกนางนวลเริงระบำคราแล้วคราเล่า
แต่ละบ้านส่งกลิ่นอาหารหอมโชยตามสายลม
เรืองดงามปานลงมาจากสวรรค์
ธงร้านสุราพัดท้าลมเย้าคนมา
เจียงหนานทำให้ผู้คนหลงรักได้อย่างแท้จริง !
ซุนซิ่วที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้ รีบวิ่งปรี่ไปข้างนอกทันใด “นายท่าน นายท่านเจ้าคะ เกิดเรื่องเหลือเชื่อ คุณชายกำลังประพันธ์บทกวีเจ้าค่ะ… ! ”
[ จบบริบูรณ์ ]
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาตลอด 2 ปี จนถึงตอนนี้
ข้าขอคุกเข่าคารวะนักอ่านทุกท่านเพื่อขอบคุณ และขออภัยในความผิดพลาดทั้งหมดด้วยขอรับ
เส้นทางในยุทธภพยังอีกยาวไกล หากมีวาสนาคงได้พบกันใหม่จากใจทีมงานห้องนิยาย