นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1306 อารยธรรมที่เหนือกว่า
ตอนที่ 1306 อารยธรรมที่เหนือกว่า
แน่นอนว่าพวกเขาสื่อสารกันมิรู้เรื่อง
แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะฟังด้วยตนเองก็ตาม เขาฟังภาษาของชาวพื้นเมืองเหล่านี้มิเข้าใจ
ทว่าทัศนคติที่ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ มีต่อพวกเขานั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนเดินทางมาถึงหมู่บ้าน ชายชราหัวหน้าเผ่าผู้นั้นก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทั้งสองคือผู้นำของกองทัพนั่น เช่นนั้นพวกเขาคงเป็นแม่ทัพสินะ ดังนั้นชายชราจึงหันไปเอ่ยบางอย่างกับชาวบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นไป๋ยู่เหลียนก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
ชาวพื้นเมืองทุกคนต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนชายชราผู้นั้น จากนั้นก็เอ่ยบางอย่างที่ฟังมิออกพร้อมกับยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เเล้วก้มลงคารวะด้วยความเคารพ
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปพยุงชายชราผู้นั้นขึ้นมา ชายชราผู้นั้นตื้นตันจนมิอาจควบคุมน้ำตาได้
เขาเอ่ยอันใดบางอย่างที่ฟังมิรู้เรื่องอีกครา จากนั้นก็หยุดเอ่ยไปเสียดื้อ ๆ เขาเพิ่งคิดได้ว่าเทพเจ้าคงมิเข้าใจภาษาของตน
เขายื่นมือออกไปเชื้อเชิญด้วยความเคารพ จากนั้นก็นำฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนเดินเข้าไปข้าง ๆ กองไฟซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของชนเผ่า จากนั้นก็กวักมือเรียก มีสตรีรูปงามนำขอนไม้เข้ามาสองท่อน
และนี่ก็คือเก้าอี้ของพวกเขา
ชายชราเชิญฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนนั่ง หวางติ้งชุนและจี้ไห่เทานำทหาร 200 นายติดตามเข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนทหารที่เหลือปักหลักรออยู่นอกหมู่บ้าน
ชายชราหันไปเอ่ยกับหญิงสาวเหล่านั้นอีกสองสามประโยค หญิงสาวนางนั้นจ้องหน้าฟูเสี่ยวกวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างชอบใจ เพียงมินานนางก็พาหญิงสาวจำนวนหนึ่งในชุดกระโปรงที่ทำจากหญ้าเดินเข้ามา
บนศีรษะของพวกนางมีตะกร้าวางอยู่ พวกนางคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียน ในตะกร้านั้นมีผลไม้ที่ผ่านการล้างอย่างสะอาดมากมายหลายชนิด
“กินเถิด นี่อาจจะเป็นธรรมเนียมในการต้อนรับแขกของพวกเขา”
ชายชราจ้องมองอย่างรอคอย ไป๋ยู่เหลียนและฟู่เสี่ยวกวนหยิบผลไม้ขึ้นมาลิ้มลอง การกระทำเช่นนี้ทำให้ชายชรารู้สึกชอบใจมากยิ่งนัก เทพเจ้ายอมรับของที่เขาถวายให้แล้ว เช่นนั้นเทพเจ้าย่อมปกปักษ์รักษาพวกเขา !
ชนเผ่าของข้ารอดแล้ว !
เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากเทพเจ้า ต่อให้ศิลิสวาจะส่งคนมามากมายเพียงใด พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ !
ในขณะที่ชายชรากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นทหารนาวิกโยธินผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาไป๋ยู่เหลียน ทหารนายนั้นยืนตัวตรงเพื่อถวายความเคารพ “รายงานท่านแม่ทัพไป๋ ทหารของข้าพบว่ามีชาวพื้นเมืองจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ! ”
ไป๋หยู่เหลียนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เมื่อสื่อสารกันมิรู้เรื่อง ถือเป็นเรื่องยากที่จะรับรู้ถึงเจตนารมย์ของอีกฝ่าย แน่นอนว่าสำหรับกองนาวิกโยธินเเห่งต้าเซี่ยแล้วนั้น ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามคิดเป็นศัตรูคงมิใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่ต้องเสียกระสุนจำนวนหนึ่งไปก็เท่านั้น
เขาหันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกำลังยัดองุ่นเข้าปาก “ให้ประจำการอยู่ที่หมู่บ้าน ถ้าหากชาวพื้นเมืองพวกนั้นบุกรุกเข้ามา…ก็สังหารพวกเขาเสีย”
“ใช่ ถ้าหากพวกเขายอมแพ้ก็จงไว้ชีวิตพวกเขาเสีย”
……
……
ในฐานะหัวหน้าชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ศิลิสวามีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่
เขาปรารถนาที่จะรวมทั้งเจ็ดชนเผ่าที่เหลือในละแวกนี้ให้เป็นหนึ่งเดียว จากนั้นก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า !
ประชากรทั้งแปดชนเผ่าในละแวกนี้รวมทั้งสิ้นสี่แสนกว่าคน ชนเผ่าวาตูที่เขาเป็นผู้นำมีประชากรมากกว่าครึ่ง !
นอกจากนี้ในชนเผ่าซูลี่ยังมีหญิงสาวหน้าตางดงามวัย 16 ปี นางมีนามว่าซูเกต์ชิน !
เมื่อคราที่ผู้นำคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ ซูเกต์ชินเปรียบดั่งมุกเม็ดงามสำหรับแปดชนเผ่านี้ นางได้รับการดูแลชี้นำจากเทพเจ้า ดังนั้นนางจะกลายเป็นผู้นำของแปดชนเผ่าคนต่อไป นางต้องนำชนเผ่าทั้งแปดร่วมกันเดินหน้าเข้าไปในภาคพื้นทวีปเพื่อค้นหาเทวาคารที่ถูกลืม
เทวาคารที่ถูกลืมเป็นตำนานที่เลื่องลือกันมานานแสนนาน มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเทวาคารแห่งนั้นตั้งอยู่ที่ใด และยิ่งมิมีผู้ใดรู้ว่าภายในเทวาคารนั้นมีอันใดซ่อนอยู่
ทว่ามีคำเอ่ยที่เล่าขานกันมาช้านาน ทุกคนบนภาคพื้นทวีปแห่งนี้ล้วนเป็นคนของเทวาคารที่เดินทางมาจากแต่ละพื้นที่ เทพเจ้าในเทวาคารสอนให้บรรพบุรุษของพวกเขารู้จักเก็บฟืน รู้จักปลูกพืชผัก รู้จักล่าสัตว์รวมไปถึงรู้จักใช้ขนสัตว์หรือเปลือกไม้มาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเพื่อป้องกันความหนาวเป็นต้น
นั่นหมายความว่าอารยธรรมและภูมิปัญญาเหล่านั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากเทวาคาร ซึ่งมิรู้เช่นกันว่าตั้งอยู่ที่ใด
ถ้าหากได้ซูเกต์ชินมาเป็นผู้นำ นั่นหมายความว่าจะต้องหาเทวาคารแห่งนั้นพบและสามารถยึดครองมันมาได้ !
ทว่าตาเฒ่าหัวหน้าเผ่าซูลี่ผู้นั้นกลับปฏิเสธคำขอแต่งงานของศิลิสวาผู้ยิ่งใหญ่ !
อีกทั้งยังปฏิเสธที่จะเข้าร่วมชนเผ่าวาตูอีกด้วย !
เจ้าพวกนี้สมควรตาย !
หากรวมคนชราและคนพิการทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ชนเผ่าซูลี่มีประชากรเพียงแค่สามหมื่นกว่าคน คนที่มีกำลังพอจะทำศึกได้ก็มีแค่หมื่นกว่าคนเท่านั้น
กระจอกเช่นนั้นจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของชนเผ่าวาตูผู้แข็งแกร่งได้เยี่ยงไรกัน ?
แผนการของศิลิสวาคือทำให้พวกเขายอมแพ้หรือไม่ก็กำจัดทิ้งไปเสีย แล้วคว้าซูเกต์ชินมาครอบครอง หลังจากนั้นค่อยออกไปตามหาเทวาคารที่ถูกลืมแห่งนั้น
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เพื่อซูเกต์ชิน ศิลิสวาจึงยืนกรานที่จะมารบด้วยตนเอง
หน่วยสอดแนมย่อมเห็นการเดินทัพเข้ามาอย่างใหญ่โตของชนเผ่าวาตู สายลับนายหนึ่งวิ่งเข้ามากลางชนเผ่า จากนั้นก็หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของชายชรา ส่วนมือชี้ออกไปนอกชนเผ่า แล้วอธิบายสถานการณ์ให้ชายชราฟังด้วยสีหน้าร้อนรน
ชายชราผงะตกใจ เขาหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียน จากนั้นก็คุกเข่าลงอย่างเคารพนบนอบต่อหน้าทั้งสอง
หญิงสาวที่ดูสง่างามนางนั้นหรือก็คือซูเกต์ชิน ทอดสายตาไปมองข้างนอกชนเผ่าด้วยความรู้สึกกระสับกระส่าย
ชนเผ่าซูลี่มิอาจต้านทานการรุกรานของชนเผ่าวาตูได้เลย หากเทพเจ้าทั้งสองมิยอมช่วยเหลือชนเผ่าซูลี่แล้วล่ะก็…เกรงว่าหลังจากการสู้รบครานี้จบลง คงมิมีชนเผ่าซูลี่อีกต่อไป !
ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนหันมาสบตากัน อยู่ ๆ เขาก็โพล่งหัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าจะมีผู้บุกรุกสินะ เช่นนั้นก็สั่งสอนให้พวกมันรู้สักหน่อยว่าของจริงเป็นเยี่ยงไร ! ”
ไป๋ยู่เหลียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอกหมู่บ้าน ฟู่เสี่ยวกวนจึงพยุงร่างของชายชราผู้นั้นขึ้นมา
เขาส่งยิ้มบาง ๆ พร้อมกับโบกมือให้ชายชราผู้นั้น ทั้งยังลากตัวเขาเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
ซูเกต์ชินเห็นเทพเจ้าที่เพิ่งเสด็จออกไปกำลังปรารถบางอย่างกับกองทัพแห่งเทพเจ้า จากนั้นเหล่าทหารในชุดเกราะสีเงินก็ชักอาวุธบางอย่างที่สะพายอยู่บนหลังลงมา
ทหารเหล่านั้นเดินทัพออกไปนอกหมู่บ้าน จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ดังเดิม ที่ต่างไปจากเดิมคือพวกเขายกอาวุธขึ้นมาแล้วชี้ไปฝั่งตรงข้ามของชนเผ่า
ศิลิสวานำทัพทหารหนึ่งแสนนายพุ่งปรี่เข้ามาอย่างฮึกเหิม
เขาเข้าใกล้ชนเผ่าซูลี่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว !
เมื่อเห็นทหารในชุดเกราะสีเงินกระจายตัวอยู่นอกชนเผ่าซูลี่ เขาจึงตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณ
กองทัพหยุดชะงักอย่างกะทันหัน อยู่ห่างจากไป๋ยู่เหลียนเพียงแค่ 30 จั้ง
ศิลิสวาขมวดคิ้วแน่นด้วยความฉงน เขามิเคยพบเห็นกองทัพเช่นนี้มาก่อน กองทัพของเขาเป็นหนึ่งในแปดกองทัพที่มียุทโธปกรณ์เพียบพร้อมที่สุด !
พวกเขาสวมชุดเกราะหนัง แม้ในมือส่วนมากจะถือหอกเป็นอาวุธ แต่ก็มีอาวุธบางอย่างที่ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ด้วยเช่นกัน
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็เป็นกองทัพมีชัยเหนือศัตรูทุกฝ่ายบนปฐพีนี้
ว่าแต่ว่าฝ่ายตรงข้ามสวมอันใดกัน ?
แม้แต่ใบหน้าก็ถูกปิดเอาไว้
แล้วกระบอกสีดำทะมึนในมือของพวกเขาคืออันใดกัน ?
ดูไปดูมาเหมือนจะมิใช่ของมีคม
ชนเผ่าซูลี่ไปเอาของแบบนี้มาจากที่ใดกัน ?
ในขณะที่ศิลิสวากำลังงุนงง มิรู้ว่าจะตัดสินใจถอยหรือสู้ต่อดี ทันใดนั้นไป๋ยู่เหลียนก็ยกปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมา เขาเล็งไปยังชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่บนหลังม้า ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้นำทัพ
ในชั่วอึดใจนั้นเอง ศิลิสวารู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ความเย็นวาบนี้แผ่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเขาเอง และในชั่วอึดใจเดียวกันนั้นเอง…
“ปัง… ! ”
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว
ซูเกต์ชินที่เพิ่งเดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้านอ้าปากเหวอ นางเห็นร่างของศิลิสวาร่วงลงมาจากหลังม้าในยามที่เสียงปืนดังลั่นขึ้นมา !