นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1242 แม่กับลูก
ตอนที่ 1242 แม่กับลูก
ณ เมืองคานเทียร์ จักรวรรดิโมริยะ
ที่นี่เป็นเมืองป้อมปราการที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง !
มันเป็นเมืองป้องกัน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขากานซูย่าและเป็นหัวเมืองทางทิศใต้ของจักรวรรดิโมริยะ
ก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้โจมตีเมืองคานเทียร์ เขาเลือกที่จะเดินเลียบเทือกเขากานซูย่าเพื่อไปยังที่ราบฮอลต์แทน ทว่าท้ายที่สุดก็เดินทางไปมิถึงที่ราบฮอลต์ เขาวกอ้อมเทือกเขากานซูย่าเข้าไปโจมตีเมืองปาฏลีบุตรแบบสายฟ้าแลบ
บัดนี้เมืองคานเทียร์ได้ตกอยู่ในมือของคูฉาน
บัดนี้เขากำลังสำรวจแผนที่ขนาดยักษ์ภายในที่ว่าการ
เขาได้ทราบข่าวสงครามของจักรวรรดิโมริยะกับต้าเซี่ยแล้ว เพราะในบรรดาทหารที่ยอมสวามิภักดิ์มีจำนวนมิน้อยที่เคยเป็นทหารโมริยะมาก่อน
“เหตุใดเขาถึงมิโจมตีเมืองคานเทียร์เลยเล่า ? จากเมืองนี้ไปเมืองหลวงใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ถ้าหากโจมตีเมืองนี้ก่อน กองนาวิกโยธินก็มิต้องเผชิญหน้ากับกองทัพโมริยะที่วนทัพกลับไป ทั้งยังยึดครองเมืองปาฏลีบุตรได้เร็วกว่าเดิมสามวัน”
“ส่วนกองนาวิกโยธินก็สามารถรอจนกว่ากองทัพหลักจะมาถึง พวกเขาสามารถยึดเมืองปาฎลีบุตรได้อยู่แล้ว…หากเป็นเช่นนั้นอโศกจะมิสามารถกู้เมืองกลับมาได้เลยด้วยซ้ำ ! ”
“เจ้ายังมิเข้าใจดีพออย่างที่แม่เข้าใจสินะ” หยูซูหรงที่เปลี่ยนกลับมาร่างเดิมเอ่ยขัดขึ้นมา
“ฟู่เสี่ยวกวนเผยพรสวรรค์ด้านการทหารเมื่อคราที่ราชวงศ์หยูยังเรืองอำนาจอยู่ ปีนั้นเซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏขึ้นที่กองทัพชายแดนตะวันตก เขาทำให้กองกำลังชุดแดงติดแหง็กอยู่ในด่านชีผานที่ทางสายเก่าจินหนิว หลังจากนั้นก็ลงมือสังหารจนราบ”
“เซวี๋ยติ้งชานถอยร่นมาประจำอยู่ที่เมืองเจี้ยนเหมิน ฟู่เสี่ยวกวนฝ่าเข้าไปอย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เขาตัดศีรษะของเซวี๋ยติ้งซานคาเมืองเจี้ยนเหมิน เป็นอันว่าความวุ่นวายในครานั้นถูกสยบลงในที่สุด”
หยูซูหรงยืนอยู่หน้าแผนที่พลางยื่นมือชี้ “ฟู่เสี่ยวกวนยกกองทัพ 400,000 นายเข้ามา แม้ซันเจียอี้ที่เป็นผู้รักษาการณ์เมืองคานเทียร์ในตอนนั้นจะมีทหารในมือนับล้านนาย แต่ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่าทหารที่เพิ่งเกณฑ์มาใหม่ทั้งหนึ่งล้านนายนั้น ย่อมแพ้ราบคาบ”
“กองทัพทั้งสี่แสนนายของฟู่เสี่ยวกวนสามารถยึดเมืองคานเทียร์ แล้วเดินทางไปยังเมืองปาฏลีบุตรได้อย่างง่ายดาย”
“ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าตอนนั้นจักรพรรดิของจักรวรรดิโมริยะกำลังยกกองทัพไปยังที่ราบฮอลต์ ถ้าหากเขาตีเมืองคานเทียร์ให้แตกพ่าย อโศกย่อมยกทัพกลับมา กองกำลังหลักของเขาก็จะเผชิญหน้ากับกองทัพของอโศกพอดี อีกทั้งยังมีโอกาสจัดการกับอโศก จากนั้นเมืองปาฏลีบุตรก็จะตกอยู่ในมือของเขาอย่างมิต้องสงสัย”
“ทว่าเหตุใดเขาถึงละทิ้งเมืองที่เหมือนจะแข็งแกร่งทว่าก็อ่อนปวกเปียกเยี่ยงเมืองคานเทียร์ไปเสียดื้อ ๆ เล่า ? เขายังมิทันไปถึงที่ราบฮอลต์ก็วกกลับมาเสียแล้ว ทั้งยังบัญชาการให้กองทัพ 20,000 นายของเฮ้อซานเตาล่วงหน้าไปโจมตีเมืองปาฏลีบุตรก่อนอีกด้วย ? ”
“เหตุผลเป็นเพราะเฮ้อซานเตาจำต้องตายเยี่ยงไรเล่า ! ”
คูฉานตกตะลึงขึ้นมาทันใด “เฮ้อซานเตาเป็นถึงมือขวาของฝ่าบาทเชียวนะ ! ”
“เจ้ามิรู้หรอกว่านิสัยของเฮ้อซานเตาผู้นั้นชอบแหกกฎ คนที่สามารถบัญชาการเฮ้อซานเตาได้นั้นมีน้อยจนแทบมิต้องนับ”
“ฟู่เสี่ยวกวนหวังจะสละบัลลังก์พักใหญ่แล้ว แม้เขาจะยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาทเพราะโอรสของเขาล้วนแต่ยังเยาว์”
“ถ้าเขาจากต้าเซี่ยไปในตอนนี้ ต่อให้เป็นโอรสพระองค์โตที่เข้ามาสืบทอดบัลลังก์ต่อ เขาก็มีอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น”
“ในกองทัพนอกจากจัวเปี๋ยหลีกับไป๋ยู่เหลียนแล้ว คาดว่าคงมิมีผู้ใดสั่งเฮ้อซานเตาได้แล้ว ทว่าไป๋ยู่เหลียนมีความคิดที่จะออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษเช่นเดียวกับฟู่เสี่ยวกวน ส่วนเฮ้อซานเตาช่ำชองด้านการรบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าเขารบชนะในศึกจักรวรรดิโมริยะ ฟู่เสี่ยวกวนคงต้องประทานตำแหน่งใหญ่โตให้กับเขา”
“เฮ้อซานเตากุมกองนาวิกโยธิน กองทหารที่ฝีมือดีที่สุดของต้าเซี่ยเอาไว้ ทั้งยังควบตำแหน่งแม่ทัพกองทัพเรือที่สามอีกด้วย เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากยิ่งนัก มากเสียจนฟู่เสี่ยวกวนต้องกลับมาพิจารณาว่าเมื่อเขาจากต้าเซี่ยไป เฮ้อซานเตาจะก่อเรื่องใดขึ้นมาหรือไม่ ? ”
“ดังนั้น การที่กองทัพนาวิกโยธิน 20,000 นายถูกกำจัดทิ้งมิเหลือซากในเมืองปาฏลีบุตรนั้น มิใช่ความผิดของเฮ้อซานเตา ทว่าเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงไรเล่าที่สังหารพวกเขาทางอ้อม ! ”
คูฉานชะงักไปชั่วครู่ เขากลืนน้ำลายลงหนึ่งอึก จากนั้นจึงส่ายศีรษะช้า ๆ พลางเอ่ยว่า “เขามิใช่คนแบบนั้น ! ”
“เเม่รู้ว่าเขามีบุญคุณต่อเจ้า ตอนที่เขาไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋เมื่อครานั้น เขายังเป็นเพียงชายหนุ่มที่ซื่อสัตย์จริงใจคนหนึ่ง ลูกเอ๋ย…ทุกวันนี้เขาเป็นจักรพรรดิแล้ว เขาเป็นจักรพรรดิมาหลายปีแล้ว เจ้ายังคิดว่าเขายังซื่อสัตย์จริงใจเหมือนแต่ก่อนอยู่อีกหรือ ? ”
“ความคิดคนเราเปลี่ยนไปตามสถานะนั่นแหละ สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้คือการปูทางให้อนาคตของต้าเซี่ย เลือกสิ่งที่ดีที่สุดและสร้างเสถียรภาพส่งต่อให้ผู้สืบทอดเยี่ยงไรเล่า”
“แม่ขอเดิมพันเอาไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าหากฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าแม่กำลังทำเรื่องพวกนี้อยู่ เขาย่อมส่งคนมาสังหารพวกเราอย่างแน่นอน เจ้าเอง…ก็มิรอด ! ”
คูฉานนิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงถอนหายใจออกมา “ท่านมิควรทำเรื่องพวกนี้ ส่วนข้า…ข้าเพียงอยากให้ที่นี่สงบสุขเท่านั้นเอง หลังจากนั้นค่อยมาเผยแพร่พุทธศาสนาอย่างตั้งใจ”
หยูซูหรงหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็จ้องมองไปยังผมดกดำที่งอกเต็มศีรษะของคูฉาน “พุทธศาสนาจะช่วยให้ผู้คนพ้นทุกข์ได้ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองเท่านั้นแหละ ! ในสภาวะระส่ำระส่ายเช่นนี้ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของมนุษย์ด้วยกันเอง ! ”
“บัดนี้เจ้ามีทหารภายใต้บังคับบัญชา 2,000 นายแล้ว และเจ้ายังมีเมืองที่ยึดครองมาได้นับสิบเมือง ความสงบสุขค่อย ๆ กลับคืนมาสู่ผืนปฐพีนี้ ทั้งยังมีราษฎรอีกนับมิถ้วนที่ฝากชะตาชีวิตไว้กับเจ้า ! ”
“เจ้าคิดว่าหากเจ้าโกนผมแล้วสลัดทิ้งอำนาจในมือของเจ้าไป เจ้าคิดว่าคนที่รับช่วงอำนาจแทนเจ้าเขาจะเก็บพระสงฆ์เยี่ยงเจ้าไว้หรือ ? ”
“เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงจากราชวงศ์หยูแล้วไปขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิราชวงศ์อู๋เล่า ? เพราะว่าเสด็จพี่ของข้าคุมเขามิอยู่ ถ้าหากเขามิไป ท้ายที่สุดเขาก็จะจบชีวิตในราชวงศ์หยู ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมเหนือผู้ใด เขาซื้อใจราษฎรราชวงศ์หยู ทั้งยังทำให้ราษฎรเข้าใจผิดเอาว่าเสด็จพี่บังคับขู่เข็ญให้เขาต้องจากไป”
“เขาครอบครองทุกสิ่งในใต้หล้า มิว่าจะเป็นราษฎรหรือขุนนางแห่งราชวงศ์หยู มิมีผู้ใดลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเขา ต่างก็สวามิภักดิ์ต่อเขาทั้งหมด”
“ที่ผ่านมาเขาเคยสละทิ้งอำนาจหรือไม่ ? มิเคยแม้แต่คราเดียว ทั้งยังกุมอำนาจไว้แน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก ! ”
“ลูกเอ๋ย ความจริงมักจะโหดร้ายเยี่ยงนี้เสมอ เจ้าต้องฝึกตนเองให้แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า เจ้าต้องกุมอำนาจของเจ้าเอาไว้ให้มั่นมีเพียงวิธีการนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสานฝันของเจ้าให้เป็นจริงได้”
“ก็เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงไรเล่า เมื่อเขาก่อสร้างต้าเซี่ยที่แข็งแกร่งขึ้นมา เขาสามารถสละทุกสิ่งแล้วออกไปใช้ชีวิตสันโดษเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินได้ตามที่เขาปรารถนา ถ้าหากเจ้ายึดครองผืนปฐพีนี้มาได้ เมื่อบุตรของเจ้าเติบใหญ่ เจ้าสามารถออกไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้ดังที่ใจของเจ้าปรารถนา ! ”
“เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“คำว่าให้อภัย จำต้องเข่นฆ่าก่อนถึงจะเกิดการให้อภัย ! ”
“หากไร้การเข่นฆ่า การให้อภัยจะเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร ! ”
คูฉานหมดคำจะเอ่ย เพราะสิ่งที่หยูซูหรงเอ่ยมาทั้งหมดคือเรื่องจริง
ตอนที่เขารับบทบาทผู้ใหญ่บ้านในเทือกเขาไทเออร์ เขาเพียงมิอยากเห็นชาวบ้านต้องแข็งตายหรือหนาวตาย เขาจึงนำคนในหมู่บ้านไปรวบรวมกองโจรทั้งเทือกเขาไทเออร์ จากนั้นก็ลงจากเขาแล้วมุ่งหน้าเข้าโจมตีในแต่ละเมือง
การออกรบครานี้มิจบมิสิ้น รบจนมาถึงตรงนี้ อีกหนึ่งเดือนให้หลังจากนี้ ตนจะนำทัพไปประชิดเมืองปาฏลีบุตร
“ท่านมิได้หลอกใช้ข้าเพื่อแก้แค้นให้ราชวงศ์หยูใช่หรือไม่ ? ”
หยูซูหรงยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดข้าต้องแก้แค้นให้ราชวงศ์หยูด้วยเล่า ? ข้าเพียงหวังให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หวังให้เจ้าเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงไรเล่า ! ”
“และที่สำคัญก็คือพวกเราต้องมีชีวิตต่อไป ! ลูกเอ๋ย…รีบรวมเอกราชให้เสร็จในเร็ววันเถิด แม่คิดว่าคนของฟู่เสี่ยวกวนอาจจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้”