นางบำเรอเติมใจ - ตอนที่ 62
แต่เมื่อเดินออกมาก็เจอกับคนที่เธออยากหลบหน้าที่สุด ร่างบางหยุดชะงักมองหน้าเขาเหมือนคนแปลกหน้า ทั้งที่พึ่งจะแยกจากกันเมื่อวาน
กรวิทย์เองก็จ้องหน้าเธอไม่ต่างกัน เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมาดักรอเธอหน้าห้องน้ำแบบนี้ด้วย
“มีอะไรรึเปล่าคะ” หทัยรัตน์ทนต่อความอึดอัดไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้น
“เก็บของที่ห้องมาหมดแล้วเหรอ” คำถามของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มตำหัวใจของเธอ ห้องที่เธอเคยอยู่กับเขา เตียงที่เคยนอนด้วยกัน จากนี้ไปมันคงเป็นของคนอื่น
“หมดแล้วค่ะ” ของของเธอ เธอเก็บมาหมดแล้ว อาจจะมีบางอย่างที่เธอไม่ได้เก็บมาด้วย อยู่ตั้งสองปีเกือบสามปีมันก็ต้องมีของที่ใช้ร่วมกันเป็นธรรมดา นั่นแหละ ของพวกนั่นแหละที่เธอไม่เก็บมา เธอเอามาแค่ของที่เป็นของเธอจริงๆ
กรวิทย์พยักหน้าเข้าใจ
“แล้วนี่ไปอยู่ที่ไหน”
หทัยรัตน์มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขามาดักรอเธอหน้าห้องน้ำเพื่อถามคำถามพวกนี้เหรอ เพื่ออะไร
“อยู่แถวๆ ที่ทำงานนั่นแหละค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วหวานไปก่อนนะคะ” ตอบเสร็จเธอก็ขอตัว
“หมอคนนั้น คือคนที่เธอจะอยู่ด้วยงั้นเหรอ” ร่างบางหยุดเดินทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น ตัวแข็งทื่อ รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
“แล้วคุณอยากรู้ไปทำไมคะ” เธอหันหน้าไปเผชิญกับเขา กำมือแน่น เขาคิดว่าการที่เธอออกมาจากเขาเพื่อที่จะหาคนใหม่รับเลี้ยงงั้นเหรอ ใช่สินะ เธอมันผู้หญิงขายตัว ต้องมีเสี่ยเลี้ยงถึงจะอยู่ได้
“แค่อยากรู้เขาเป็นคนดีรึเปล่า”
“หึ” หทัยรัตน์หัวเราะเบาๆ รู้สึกสมเพชตัวเอง
“เป็นห่วงฉันงั้นเหรอคะ” ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยแสดงท่าทีแบบนี้กับเขา ไม่เคยโกรธหรือโมโหใส่เขาสักครั้ง เพราะเธออยู่กับเขาด้วยหน้าที่
แต่ตอนนี้เธอกำลังโมโหผู้ชายตรงหน้า เขาไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยมองเห็นการกระทำและความรู้สึกที่เธอแสดงออกต่อเขาเลย
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถ้าฉันจะมีคนเลี้ยงใหม่ฉันต้องหาเอาที่ดีๆ แน่นอน” เธอโกรธเขาจนอดเอ่ยคำประชดประชันออกไปไม่ได้ ทั้งที่ใจจริงอยากจะบอกเขาว่า เธอไม่คิดจะทำอาชีพแบบนั้นอีกแล้ว
“ก็ดี” คำสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากปากเขายิ่งทำให้เธอเม้มปากแน่น
“ขอตัวนะคะ” ไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้สักวินาทีเดียว กลัวว่าน้ำตาจะไหลออกมาให้เขาเห็น รีบเดินกลับมาที่โต๊ะที่มีกวินนั่งรออยู่
กวินพอจะเดาออกว่าที่หทัยรัตน์เดินกลับมาด้วยสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แบบนี้ เพราะผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หลังจากที่เธอลุกออกไป ผู้ชายคนนั้นก็ลุกออกไปด้วย เขาเดาว่าทั้งสองคนคงไปคุยอะไรกันมา
“กลับเลยไหมครับ” กวินเอ่ยถาม
“ค่ะ”
“งั้นไปกันเลยครับ ผมจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว” หทัยรัตน์พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินนำออกไป ซึ่งสวนทางกับกรวิทย์ที่เดินกลับมาที่โต๊ะพอดี เธอพยายามไม่หันไปมองหน้าเขา คนใจร้าย
“หวานครับ ผมไปส่ง” กวินเดินเข้าไปแตะแขนเธอเมื่อเห็นเธอเดินไปข้างหน้าไม่หยุด
“คะ ค่ะ” หทัยรัตน์หยุดเดินแล้วหันมาหากวิน
“ผมไปส่งครับ”
“คุณวินมีธุระต่อรึเปล่าคะ ถ้ามีหวานกลับเองก็ได้”
“ไม่มีครับ ผมเป็นคนชวนคุณหวานออกมาทานข้าวนะครับ”
“ใช่สิ วันนี้หวานจะเลี้ยงคุณนี่น่ากลับให้คุณจ่ายเฉยเลย ค่าอาหารเท่าไหร่คะ เดี๋ยวหวานเอาเงินให้” เธอทำท่าจะเปิดกระเป๋ากวินเลยรีบห้ามไว้
“เอาไว้ครั้งหน้าดีกว่าครับ ครั้งนี้ผมเป็นคนชวน ผมเลี้ยงเอง”
“แต่”
“ไม่มีแต่ครับ ไปเถอะขึ้นรถ แดดมันร้อนเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” หทัยรัตน์ถอนหายใจอย่างจนใจ เดินไปขึ้นรถกับเขา
“รีบกลับไหมครับ” กวินหันมาถามขณะออกรถ
“ทำไมเหรอคะ”
“ไปนั่งเล่นกับผมก่อนได้ไหม”
“ที่ไหนคะ” หทัยรัตน์ขมวดคิ้วถามเขา ความจริงเธอก็ไม่ได้อึดอัดหรอกนะที่อยู่กับกวิน แต่เธอแค่ไม่อยากให้เขามาชอบเธอจริงๆ เพราะเธอไม่มีค่าให้เขามาคิดแบบนั้นด้วยสักนิด
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้ครับ ไปนะ” แค่เห็นเขาส่งสายตาเหมือนอ้อนวอนขอร้องให้เธอไปด้วยมาให้ มันก็ทำให้เธอใจอ่อน กวินเหมือนรู้ทุกอย่างกับเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร แต่เขาก็ไม่พูดไม่ถามอะไร
ร่างบางเอนตัวลงกับที่นอนหลับตาลงปล่อยให้สมองให้ว่างเปล่า เธออยากหยุดคิดเรื่องต่างๆ ที่ประดังเข้ามาสักสิบวินาทีก็ยังดี หลังจากที่กวินบอกให้เธอไปนั่งเล่นกับเขาก่อน เขาก็พาเธอไปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง บรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้เย็นสบาย ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“เฮ้อ เธอควรจะทำตัวให้ชินนะหวาน” หทัยรัตน์พึมพำบอกตัวเอง ดีดตัวขึ้นไปลากกระเป๋าที่ยังไม่ได้จัดเสื้อผ้าเข้าตู้มาจัดการ พอเสร็จเธอก็เดินสำรวจห้องอีกรอบ ห้องนี้น่าอยู่มากสำหรับเธอห้องไม่ใหญ่มากสภาพแววล้อมดี
คอนโดที่เธอขอให้พิรุณรักจัดการให้แบบเร่งด่วนมีทั้งห้องเล็กห้องใหญ่ ราคาก็ถือว่าแพงใช้ได้ แต่ด้วยเธอก็มีเงินสำรองอยู่บ้างเลยสามารถซื้อได้
เธออยู่กับกรวิทย์มาสองปีกว่าเขาให้อะไรเธอก็รับหมด ไม่มีว่าจะไม่เอา เพราะเธอถือว่ามันเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะได้ เธอไม่ได้นั่งเล่นตัวหรือเกรงใจอะไรเขา ฐานะเธอกับเขามันชัดเจนอยู่แล้วว่า เธอเป็นเด็กเสี่ย เขาให้อะไรเธอรับหมด
วันนี้เธอเข้ามาอยู่ก่อนโดยมีชื่อของแฟนเพื่อนเป็นคนจัดการให้ เรื่องเอกสารต่างๆ ค่อยเอาไปให้คุณแซคทีหลัง
เดินสำรวจมาถึงห้องครัว เปิดตู้เย็นก็เจอกับความว่างเปล่า แม้แต่น้ำก็ไม่มีสักขวด เธอคงต้องลงไปซื้อของมาไว้แล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอก
ร่างบางเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน เปิดออกมาว่ามีเงินกี่บาท ต้องกดเพิ่มรึเปล่า คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าหากัน ดึงบัตรทุกอย่างออกมาจากกระเป๋า
“บัตรประชาชนเราหายไปไหนนะ” พึมพำแล้วครุ่นคิด เมื่อพอคิดออกก็ต้องตาโต ใช่ เธอลืมไว้ที่คอนโดของกรวิทย์ ไม่ใช่ลืมแค่บัตรประชาชนแต่เธอลืมทั้งกระเป๋า
ปกติเธอจะใช้กระเป๋าสตางค์สองใบ ใบเล็กกับใบใหญ่ ใบเล็กก็ไว้พกกับกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ ใบใหญ่ก็ใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่ แล้วเมื่อเช้าตอนที่ออกมาเธอลืมกระเป๋าสตางค์อีกใบสนิทเลย เพราะเมื่อวันก่อนเธอพึ่งจะใช่มัน บัตรเอทีเอ็มบางใบก็อยู่ในนั้น
ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด เธอต้องรีบไปเอา ว่าแล้วเธอก็ออกจากห้องตรงไปยังคอนโดของกรวิทย์ทันที หวังว่าเขาจะยังไม่กลับมา เธอไม่พร้อมเผชิญหน้ากับเขาตอนนี้ พอมาถึงเธอก็ขอกุญแจสำรองจากลอปบี้เพราะเธอคืนกุญแจเขาไปแล้วโดยวางไว้ที่หัวเตียง พนักงานก็ให้เธอโดยง่ายเพราะรู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากันดี
พอเข้ามาในห้องเธอก็รีบเดินตรงไปที่ห้องนอน จำได้ว่าเก็บมันไว้ที่ลิ้นชักหัวเตียง แต่พอก้าวเข้ามาในห้องเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหลที่ค่อยๆ เงียบลง ร่างบางแข็งทื่อมองไปยังทางห้องน้ำ เสียงเปิดประตูห้องน้ำยิ่งทำให้เธอไม่กล้าขยับ
ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำ เส้นผมเปียกลู่หน้าอกแข็งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามมีน้ำเกาะพราว ภาพตรงหน้าทำให้เธอหายใจติดขัด
ชายหนุ่มเองเมื่อเห็นหญิงสาวอยู่ในห้องก็หยุดชะงักค้างมือที่กำลังเช็ดผม ขมวดคิ้วมอง หทัยรัตน์แทบกลั้นหายใจกับสายตาของเขา
“หวานมาเอาของค่ะ” เธอตั้งสติแล้วรีบพูด เดินไปที่หัวเตียงเปิดลิ้นชักหยิบของเธอที่ต้องการออกมา ชูให้เขาดูเพื่อยืนยันว่าเธอมาเอาของจริงๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรเธอก็หันหลังเดินออกจากห้อง
“ฉันต้องการเธอตอนนี้เท่าไหร่” เสียงเข้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เธอหยุดชะงัก