นับถอยหลังสู่การประหารราชาปีศาจ (Yaoi) - เล่มที่ 1 บทที่ 7 นิ้วและมือ
“…เฮ้อ เป็นอย่างที่ข้าคิด”
ตัวเขากลับมายังความฝันอันน่าหดหู่นั่นอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างมืดสนิท กระทั่งแขนยังมิอาจยื่นออกไปได้ รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นเชื้อราจากความเปียกชื้น
“จะว่าไปการฝันเรื่องเดิมๆ ติดต่อกันหลายวันเช่นนี้มันดูน่าแปลกเกินไป อีกทั้งความรู้สึกในโลกแห่งความฝันนี้ยังสมจริงจนราวกับมิใช่ความฝัน…”
เมื่อรู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องขาดอากาศหายใจ โม่จ้านจึงสูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกและเริ่มยกมือขึ้นไล่คลำไปตามขอบ บริเวณฝาและขอบของ ‘โลงศพ’ มีช่องว่างเล็กๆ ช่องหนึ่ง โม่จ้านพยายามอย่างสุดความสามารถ ทว่ากลับทำได้เพียงยื่นปลายนิ้วออกไปได้แค่นิ้วเท่านั้น
ในใจของโม่จ้านรู้สึกไม่ยินยอม เขาออกแรงผลักฝาโลงอีกครั้ง ก็ยังมิอาจทำให้มันขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย เห็นทีตัวเขาหากยังคิดจะงัดมันให้เปิดออกด้วยเรี่ยวแรงเพียงเท่านี้ เกรงว่าต่อให้นิ้วขาดก็คงจะมิมีทางสำเร็จ
ผ่านไปไม่นานนัก ความรู้สึกอึดอัดกลับเริ่มคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง โม่จ้านที่ยังทำสิ่งใดไม่สำเร็จสักอย่างเริ่มร้อนรนในใจ เขาออกแรงข่วนผนังด้านข้าง จากนั้นจึงได้สัมผัสประสบการณ์ที่ว่าเรื่องดีมิเคยมาคู่ เรื่องชั่วมิเคยมาเดี่ยว อย่างลึกซึ้ง เมื่อเสี้ยนไม้ตำเข้าในซอกเล็บของเขาอย่างเหมาะเจาะ เจ็บจนท่านราชาปีศาจร้อง “โอ้ย” ออกมา
โม่จ้านเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัว ความเจ็บปวดจากเสี้ยนไม้ตำมือยังคงเด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้น หลังจากได้สติกลับคืนมา เบื้องหน้าของตัวเขายังคงเป็นประตูฉาบทองบานใหญ่และขั้นบันไดหินอันเย็นเฉียบ ตะเกียงเวทมนตร์ส่องแสงสลัว ราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น
“โลกเฮงซวยนี่ กระทั่งความฝันยังต้องเจ็บสมจริงขนาดนี้เชียวหรือ…” โม่จ้านนึกถึงเรื่องที่ตนเพิ่งทำเมื่อครู่แล้วรู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งกาย
ไม่ทันให้โม่จ้านได้ผ่อนคลายสติอารมณ์ ประตูก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้งหนึ่ง โม่จ้านสะดุ้งตกใจ ภาวนาในใจว่า ‘โอมเพี้ยงๆ ขออย่าให้เป็นอูลั่ว’ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู ตัวเขาก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก ถึงขั้นเผยรอยยิ้มยินดีเลยทีเดียว
เวลาเที่ยงวันมาถึงแล้ว พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองเยวียเฮ่อเอ่อร์กับตาเฒ่ารับใช้ลู่อี้ของเขาเอาข้าวมาส่งให้ตน
โม่จ้านมีความรู้สึกอันดีต่อพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองที่มีใจใคร่รู้มาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็สนใจเขาเช่นกัน ดังนั้นราชาปีศาจจึงใช้การกินข้าวเป็นข้ออ้าง คนทั้งสองพูดคุยกันถึงเรื่องอาวุธเย็นอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้จะเป็นเพียงการบอกเล่าความคิดเห็นของตนเรื่อยเปื่อย ทว่าโม่จ้านกลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายอายุน้อยถึงเพียงนี้ แต่กลับรู้วิธีดูแลอาวุธเย็นและการใช้งานแต่ละชนิดเป็นอย่างดี พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองอย่างเยวียเฮ่อเอ่อร์อุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจเช่นกัน แม้ว่าการอธิบายของอีกฝ่ายจะฟังดูประหลาด ทั้งยังพูดคำที่ตนฟังมิเข้าใจ กระนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในสนามรบอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมิคิดปิดบัง ตนถามสิ่งใดก็ตอบสิ่งนั้น เกิดเป็นความรู้สึกดีต่อราชาปีศาจที่อยู่ตรงหน้าขึ้นหลายส่วน
คนทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนม มิได้สนใจชายชราผู้เผยสีหน้าไม่พอใจและยังคงยืนเป็นเสาอยู่ด้านข้างอย่างลู่อี้ ขณะมองเยวียเฮ่อเอ่อร์ที่ตาเป็นประกายและพ่นน้ำลายไม่หยุด โม่จ้านผ่อนลมหายใจออกมา เอ่ยถามหนึ่งคำถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เยวียเฮ่อเอ๋อร์ ตอนเจ้าฝัน ร่างกายรู้สึกเจ็บหรือไม่? เช่นเตะขอบเตียงหรือหัวโขก”
“เจ้าปีศาจชั้นต่ำ! นึกมิถึงว่าเจ้าจะกล้าเรียกนามของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง?”
ลู่อี้ที่กำลังอารมณ์เสียพบโอกาสบันดาลโทสะ ชายชรายกมือขึ้นชี้หน้าโม่จ้านที่กำลังถือชามข้าว
“แน่นอนว่ามี ครั้งหนึ่งข้าเคยชกตัวเองกลางดึก ยามเช้ารู้สึกปวดหน้าถึงได้เห็นรอยช้ำ”
เยวียเฮ่อเอ่อร์หัวเราะพลางเกาหัว แลบลิ้นออกมาด้วยความเขินอาย
“โชคดีที่มีคนรับใช้เป็นพยาน มิเช่นนั้นพวกเขาคงคิดว่าข้าแอบไปสนามฝึกอีกแล้ว”
เด็กคนนี้นิสัยบ้าระห่ำมากพอจริงๆ โม่จ้านเผยยิ้มบาง เอ่ยถามต่อไปว่า “เช่นนั้นมันเจ็บเหมือนตอนตื่นหรือไม่?”
เยวียเฮ่อเอ่อร์ทำหน้าสงสัย “ไม่นะ มิเช่นนั้นข้าก็คงเจ็บจนตื่นแล้ว”
ลู่อี้ที่ถูกหมางเมินอย่างสิ้นเชิงกายแข็งทื่อ มือชะงักค้างอยู่กลางอากาศ จะวางก็มิได้ จะยกก็มิเหมาะสม
โม่จ้านกัดตะเกียบพลางใช้ความคิด เห็นทีจะไม่ใช่ความพิเศษของโลกนี้ แต่เป็นความพิเศษของตัวเขาเท่านั้น
เยวียเฮ่อเอ่อร์เห็นโม่จ้านมิเอ่ยอันใดก็ยักไหล่และจ้องมองนิ้วมือของโม่จ้าน โม่จ้านได้สติกลับมา หันมองไปทางเด็กน้อยด้วยแววตาสงสัย
“ท่านราชาปีศาจ หากมิตัดเล็บให้ดีๆ ยามที่เผลอเกาตัวเองจะหนังถลอกเอานะ” เยวียเฮ่อเอ่อร์เสนอแนะด้วยสีหน้าจริงจัง
“…อุ๊บ….ฮ่าๆๆๆๆ…” โม่จ้านนิ่งงัน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ
ลู่อี้ที่เดือดดาลอย่างยิ่งอดจนเหลืออด มือข้างหนึ่งแย่งตะเกียบไปจากมือของโม่จ้าน ส่วนมืออีกข้างคว้าแขนเยวียเฮ่อเอ่อร์ดึงออกห่าง
“เจ้ากินเสร็จนานแล้วใช่หรือไม่? พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง พวกเราควรกลับไปได้แล้วขอรับ ยามบ่ายยังมีเรื่องต้องทำนะขอรับ”
เยวียเฮ่อเอ่อร์เผยสีหน้าไม่ยินดีถูกลู่อี้ฝืนลากออกไป ยังมิวายหันกลับมาบอกลาโม่จ้าน โม่จ้านโบกมืออย่างอารมณ์ดีพร้อมทั้งส่งคนทั้งสองที่ฉุดกระชากลากถูกันหายไปหลังบานประตูด้วยสายตา แว่วเสียงสอนสั่งยังมีเสียงแก้ต่างของเยวียเฮ่อเอ่อร์เอ่ยแทรกว่า “ถึงจะเป็นราชาปีศาจก็มิอาจกินทิ้งกินขว้าง”
โม่จ้านหัวเราะอย่างจนปัญญา เขายืดแข้งยืดขาอีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
….อืม คล้ายกับพวกเขาจะลืมมัดตัวเขาเอาไว้
โม่จ้านนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเยวียเฮ่อเอ่อร์ไปเรื่อย หากเล็บยาวเกินไปก็ไม่ดีจริงๆ ทั้งไม่สะอาดและไม่สะดวก แต่กระทั่งชีวิตของเขายังน่าเป็นห่วง จะมีเวลาไปสนใจว่าเล็บสั้นเล็บยาวได้อย่างไร
ราชาปีศาจโม่นั่งแกะลวดลายบนพื้นอย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นกลับสะดุ้งตกใจ คล้ายกับนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง—ในความฝัน หนึ่งข่วนของเขาทำเอาตัวเองเจ็บเจียนตาย ทว่าแผ่นไม้หนาที่แสนธรรมดาที่ถูกข่วนกลับมิมีเศษผงหลุดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ยิ่งในฝันสมจริงเพียงใด ตัวเขาก็น่าจะยิ่งสมจริงเท่านั้นสิ…” โม่จ้านยกมือขึ้นมองเล็บมือที่ทั้งยาวและแหลมคม อีกทั้งยังแข็งมิต่างจากเหล็กกล้าของตน หลังลองข่วนหนึ่งครั้งยังมีเสียงลมตามมา ทิ้งหนึ่งรอยขูดไว้บนเสาหินด้านหลังเสาลงทัณฑ์อย่างชัดเจน “…แต่เหตุใดเล็บถึงอ่อนเสียแล้ว?”
กระทั่งเสาหินที่แข็งแกร่งยังข่วนจนเป็นรอย นึกไม่ถึงว่าแผ่นไม้ที่ถูกความชื้นจนขึ้นรากลับไม่เป็นรอยแม้สักนิด? นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว
โม่จ้านพยายามหวนนึกถึงรายละเอียดในความฝัน ความทรงจำอันเด่นชัดทำเอาเขาสะดุ้งตกใจ ไม่ใช่ว่าเล็บอ่อนลง แต่เป็นความยาวของเล็บที่ไม่เหมือนกัน!
เมื่อคนเราเกิดความสงสัย ก็มักจะจับสังเกตอะไรได้หลายอย่าง โม่จ้านยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา เขาจดจ้องข้อนิ้วหนาใหญ่และเล็บมือแหลมคมมิต่างกับสัตว์ป่า หากในความฝันคือตัวเขาจริง มี ‘มีดแหลมคม’ เช่นนี้ จะถึงขั้นมิอาจสร้างรอยให้ไม้เน่าเปื่อยได้เลยหรือ?
โม่จ้านยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตัวเขาใช้มือขวาคลำซอกกระดานในความฝัน ตอนที่พยายามยืดนิ้วมือได้แตะโดนตรงส่วนกลางของขาใหญ่ ยามนั้นเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก ทว่าเมื่อดูจากข้อนิ้วมือที่แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อปล่อยมือลงก็แตะเกือบถึงหัวเข่า ทั้งๆ ที่เป็นเผ่าปีศาจเหมือนกัน เหตุใดร่างกายจึงได้แตกต่างกันมากถึงเพียงนี้?
หรือจะบอกว่านั่นมิใช่ความฝัน แต่เป็น…ร่างกายของคนอื่น?
โม่จ้านถูกความคิดของตนเองทำให้ตกใจเสียแล้ว ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อ ภายในหัวผุดความเป็นไปได้ขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ไหนแต่ไรมาตนมักมีความคิดยอมจำนนต่อโชคชะตา ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ชอบฝืนเผยใบหน้ายิ้มแย้มต่อหน้าผู้คน กระนั้น ความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดก็เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ แม้จะเป็นตัวเขาเองที่เคยผ่านมรสุมชีวิตมามากมาย ยามเมื่อความตายเข้ามาใกล้ก็ยังอดที่จะรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
มิต่างอันใดกับคนกำลังจะจมน้ำตาย หากคว้าสิ่งใดที่ลอยน้ำได้เอาไว้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ยังคงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดึงรั้งมันไว้มิยอมปล่อย แม้จะรู้ว่ามิอาจคาดหวังสิ่งใด แต่เมื่อคิดว่าจะมีโอกาสรอด ตนก็ยังพยายามคว้าเอาไว้สุดชีวิต
โม่จ้านสูดหายใจเข้าลึก ฝืนบังคับตนเองให้สงบสติอารมณ์ลง ในฐานะผู้รักการอ่านนิยายและผู้ข้ามมิติ ตนจะต้องจัดระเบียบอารมณ์ของตัวเองก่อนการนอนหลับครั้งต่อไปและต้องคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ที่นึกออกให้ชัดเจน