นับถอยหลังสู่การประหารราชาปีศาจ (Yaoi) - เล่มที่ 1 บทที่ 3 พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง
โม่จ้านฝันตื่นหนึ่ง
ภายในฝันนั้นตนถูกขังไว้ในสถานที่ลักษณะคล้ายกล่องทรงยาวมิต่างกับโลงศพ ร่างทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ รู้สึกอึดอัดเสียจนแทบหายใจมิออก โม่จ้านพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ทว่ามิว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจทำลายกำแพงหนาแข็งแรงลงได้ เสี้ยวนาทีที่จวนจะขาดอากาศหายใจ โม่จ้านที่รู้ตัวว่าโดนผีอำตัดสินใจชกหน้าตนเองสุดกำลังไปหนึ่งที จึงสามารถปลุกตัวเองให้ตื่นได้สำเร็จ
ภายในห้องเงียบสงัดยังคงไร้ซึ่งผู้คน แม้จะมีกำแพงกั้นก็ยังได้ยินเสียงระฆังดังเลือนราง โม่จ้านอ้าปากหาวออกมา มั่นใจแล้วว่าความง่วงงุนได้สลายหายไปจนหมด ถึงแม้ตัวเขาจะฝันร้าย แต่ก็ยังคงนอนเต็มอิ่ม
“ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาแปดโมงเช้าของวันที่สอง หากมีอะไรให้กินก็คงจะดี…”
โม่จ้านที่ได้รับสมญานามว่า ‘นาฬิกาชีวิตมนุษย์’ ค่อนข้างมั่นใจในลางสังหรณ์ของตนเองมิน้อย หลังจากนั้นท้องที่ว่างเปล่าที่ยังคงมีน้ำย่อยไหลทะลัก ประเดี๋ยวบีบรัดเข้าหากัน ประเดี๋ยวเกิดเป็นความแสบร้อนก็ทำให้โม่จ้านผู้รักในการกินทนมิไหวอย่างยิ่ง
ที่แท้ราชาปีศาจก็หิวเป็นเช่นกัน? ยังนึกว่าราชาปีศาจกินพลังเวทเป็นอาหาร หรืออาจจะมีการสังเคราะห์แสงหรือระบบหมุนเวียนนอกร่างกายเสียอีก? และกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มิต้องกินอาหารแล้ว เห็นทีว่าตัวเขาคงจะคิดมากเกินไป
“นี่! เจ้าพวกคนที่อยู่ข้างนอก! อยากจะให้ข้าอดตายเสียก่อนใช่หรือไม่!” โม่จ้านร้องตะโกนไปทางประตูใหญ่ น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงพลังดังกระทบกำแพงหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนว่ามิมีเสียงตอบรับใดๆ ตอบกลับมา ซึ่งก็มิผิดไปจากที่คาดนัก หากคนข้างนอกสามารถได้ยินเสียงข้างใน เช่นนั้นเจ้าเด็กน้อยคงมิมีทางร้องไห้เสียงดังถึงเพียงนั้น
ไก่ย่าง ไก่ทอด ซาลาเปา เกี๊ยว หมูตุ๋นน้ำแดง ข้าคิดถึงพวกเจ้าเหลือเกิน…
เมื่อคิดว่าตนเองอาจต้องกลายเป็นราชาปีศาจที่อดตายตนแรก โม่จ้านก็อดนึกถึงยามที่สมาชิกในครอบครัวทั้งห้าผลัดกันทำกับข้าวไม่ได้ ในตอนนั้นเด็กน้อยทั้งสามที่ยังคงร่ำเรียนหนังสือบีบบังคับให้พ่อกับแม่จัดการแข่งขันทำอาหาร ผลที่ได้คืออาหารฝีมือสาวใช้ที่เชี่ยวชาญงานกลับไม่ถูกปากคนทั้งครอบครัวมากที่สุด แต่น้องชายที่เพิ่งเข้าครัวเป็นครั้งแรกกลับได้รับคำชมเป็นเสียงเดียวกัน เรียกได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด
ในขณะที่โม่จ้านกำลังหวนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ จนมิอาจถอนตัวกลับ ประตูบานใหญ่ฉาบทองก็ค่อยๆ แง้มออกเป็นซอกเล็ก หนึ่งศีรษะสวมหมวกเหล็กชะโงกเข้ามา สิ่งที่เผยออกมานอกหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะเห็นจะมีเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่จดจ้องราชาปีศาจผู้ถูกคุมขังไว้กลางห้องอย่างมิละสายตา ด้านหลังศีรษะมีมือตกกระข้างหนึ่งตบลงบนบ่าเป็นเชิงบอกให้เขาอย่าขวางหน้าประตู
“…?!”
ท้องที่ว่างเปล่าทำให้ประสาทการรับกลิ่นของโม่จ้านไวกว่าปกติ กลิ่นหอมของอาหารเรียกสติของโม่จ้านให้กลับสู่ความเป็นจริงทันที โม่จ้านเงยหน้าขึ้นมองเห็นเงาร่างหนึ่งสูงร่างหนึ่งต่ำของคนสองคนเดินลงมาตามขั้นบันได สายตาอันแหลมคมของโม่จ้านปะทะเข้ากับกล่องอาหารในมือของคนตัวเล็ก โม่จ้านถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างอดมิได้
ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวคล้ายพระสังฆราชมีท่าทีเหนื่อยหอบ กำลังเดินตามคนรูปร่างผอมเตี้ยที่เดินลงบันไดอยู่ด้านหน้าด้วยฝีเท้าคล่องแคล่ว
“ท่านพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองรอข้าด้วยขอรับ กระดูกของข้าแก่ชราถึงเพียงนี้แล้วมิอาจวิ่งทันท่าน”
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าให้ข้าเอามาส่งเองก็พอแล้วมิใช่หรือ?” คนตัวเล็กถอดหมวกเกราะออก เผยให้เห็นใบหน้าองอาจหล่อเหลาของเด็กหนุ่มกับเส้นผมสีน้ำเงินเงางาม “อีกเรื่องหนึ่ง ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือปู่ลู่อี้ว่าให้เรียกข้าว่าเยวียเฮ่อเอ่อร์ก็พอแล้ว เรียกพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ครั้งแล้วครั้งเล่าทำเอาข้ารู้สึกอึดอัดจะตายอยู่แล้ว”
“ขออนุญาตให้ข้าปฏิเสธเถิดขอรับ การที่ท่านใกล้ชิดสนิทสนมนับเป็นวาสนาของลู่อี้ ทว่ายังคงต้องแยกแยะระดับขึ้นให้ชัดเจนขอรับ”
ชายชราเคราขาวค้อมเอวอยู่ครึ่งค่อนวัน มิใช่เรื่องง่ายกว่าจะกลับมาเหยียดหลังตรงอีกครั้ง ภายในน้ำเสียงเจือด้วยความหยามเหยียดที่มีต่อราชาปีศาจอย่างมิอาจปกปิด
“ที่สำคัญ จะปล่อยให้พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสองมาอยู่ใกล้กับเจ้าสิ่งมีชีวิตโสมมเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอดอาหารมาสิบกว่าวันแล้ว วันนี้ก็จะต้องมิยอมกินอีกเป็นแน่ขอรับ คาดว่าเขาคงอยากทำให้ตนเองอดตายเพื่อล้มการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่โชคดีที่ท่านสมเด็จพระสันตะปาปาฉีดยาบำรุงร่างกายให้เขา ดังนั้นต่อให้เขาคิดจะอดตายก็มิมีทางทำสำเร็จ”
ชายชราเคราขาวเหลือบมองโม่จ้านปราดหนึ่ง แค่นเสียงเย้ยหยันดัง “ชิ” ก่อนหันไปเผยยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กน้อย
“แต่ว่านะปู่ลู่อี้ ยาบำรุงร่างกายนั้นคงล้ำค่ามากกระมัง ข้าจำได้ว่ามีเพียงยามที่มือสังหารของพระวิหารต้องซ่อนตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่เท่านั้นจึงจะสามารถได้รับ เช่นนั้นเหตุใดจึงเอามาใช้กับราชาปีศาจเล่า?” เด็กน้อยนามว่าเยวียเฮ่อเอ่อร์ขมวดคิ้ว เอ่ยถามไปทางชายชราเคราขาวด้วยสีหน้าสงสัย
“แค่กๆ…เอ่อ หลังเติบใหญ่ท่านก็จะได้ทราบขอรับ” ใบหน้าของชายชราแข็งทื่อทันใด รอยยับย่นบนใบหน้ามิอาจปกปิดสีหน้ากระอักกระอ่วนเอาไว้ได้
เพื่อให้ผู้อื่นได้ตายให้ผู้คนดู กระทั่งยาที่ใช้ในการเคลื่อนทัพยังหยิบเอามาใช้ นับว่าโหดเหี้ยมอำมหิตมิน้อยเลยจริงๆ… โม่จ้านแขวะอยู่ในใจ
ที่แท้ราชาปีศาจคนก่อนยอมเป็นหยกแตกเสียยังดีกว่ากลายเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ กระนั้นกลับเศร้าโศกกระทั่งตายก็ยังมิอาจยอมตายได้ ภายใต้สถานการณ์น่าเวทนาเช่นนี้ นับได้ว่าช่างสิ้นหวังเหลือเกิน
“ข้าจะกิน” โม่จ้านยอมเทหมดหน้าตัก อิ่มตายย่อมดีกว่าหิวตาย
ชายชราส่งสายตาประหลาดใจออกมา ทว่าเด็กน้อยกลับสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง เยวียเฮ่อเอ่อร์ยังเคลื่อนย้ายโต๊ะตัวหนึ่งที่มิรู้ว่าไปเอามาจากที่ใด จัดวางกล่องอาหารและชุดรับประทานอาหารแต่ละชิ้น จากนั้นมองไปทางชายชรา
“ปู่ลู่อี้ รีบปล่อยเขาเร็วเข้า ข้าอยากดูเขากินข้าว!”
มุมปากของโม่จ้านอดหยักยกมิได้ ดูราชาปีศาจกินข้าวมันน่าตื่นเต้นถึงเพียงนั้นเชียวรึ?
“เพราะถึงอย่างไรก็มีวงเวทย์ดูดพลังและวงเวทย์วิญญาณ เขาคงก่อเรื่องอันใดมิได้…”
ชายชราทำปากยื่นก่อนล้วงเอากุญแจออกมาอย่างมิยินยอมนัก จัดการไขแม่กุญแจใหญ่ที่คล้องโซ่ตรวนหนาเอาไว้ เมื่อมิมีโซ่ตรวนหนักอึ้งพันธนาการ โม่จ้านที่ตัวอ่อนล้าและแผ่นหลังที่ปวดเมื่อยเหยียดเอวไล่ความเกียจคร้าน สัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายของกล้ามเนื้อในแต่ละส่วน
การเป็นอิสระนี่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ โม่จ้านคิดด้วยความรู้สึกตื้นตัน
แม้ว่าจะถูกปลดพันธนาการ ทว่าร่างกายกลับยังมิค่อยมีเรี่ยวแรงนัก คาดว่า ‘วงเวทย์ดูดพลังปีศาจ’ นั้นคงจะร้ายกาจมากจริงๆ โม่จ้านเดินมาข้างโต๊ะแล้วนั่งขัดสมาธิอย่างตรงไปตรงมา จับช้อนและส้อมก่อนจะเริ่มขยับแก้มเคี้ยว
“นั่น ลุง…”
โม่จ้านแทบสำลักอาหาร ตนที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ในโลกก่อนเพิ่งจะเคยโดนเรียกว่าลุงเป็นครั้งแรก ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว
“ท่านเป็นราชาปีศาจจริงหรือ?” เด็กน้อยมองพิจารณาบุรุษร่างกายกำยำตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
โม่จ้านปรายตามองเด็กน้อยปราดหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หากข้ามิใช่ราชาปีศาจ เช่นนั้นพวกเจ้าจับข้ามาเล่นบ้านตุ๊กตาหรืออย่างไร?
คล้ายกับเด็กน้อยจะรับรู้ได้เช่นกันว่าตนถามคำถามโง่ๆ ออกไป จึงเกาหัวพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่านราชาปีศาจ ท่านแข็งแรงกำยำถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”
โม่จ้านนิ่งเงียบ ประโยคนี้ฟังดูเหมือนนักเรียนใหม่ถามครูอยู่ในโรงยิม
“ฝึกฝนตนเองให้หนัก รอกระทั่งเจ้าล้มพวกคนโง่เง่าในกองอัศวินที่สวมชุดเกราะสีเงินเป็นประกายเหล่านั้นลงกับพื้นได้หมด เจ้าก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเหมือนกับข้าเอง”
กินอิ่มแล้วอารมณ์ดีขึ้น โม่จ้านมิถือสาหากจะพูดจาหยอกล้อกับเจ้าเด็กคนนี้มากสักหน่อย ทั้งยังถือโอกาสหันไปเหลือบมองตาเฒ่าที่แทบจะยื่นหูเข้ามา
“เจ้าคนชั่ว! ห้ามเจ้าหยามเกียรติกองอัศวินของสันตะสำนักอันศักดิ์สิทธิ์!” ชายชราเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธอย่างที่คิดเอาไว้ ในใจของท่านราชาปีศาจรู้สึกลำพองเป็นอย่างยิ่ง
เยวียเฮ่อเอ่อร์แอบหัวเราะด้วยความพอใจเช่นกัน เขายิ่งรู้สึกสนใจราชาปีศาจที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าเดิม เด็กน้อยคิดอยากจะส่งนิ้วออกไปจิ้มแขนของราชาปีศาจ ทว่ากลับถูกชายชราที่มีท่าทีตกใจมิต่างกับนกเห็นคันธนูดึงกลับไปในทันทีทันใด
“ท่านพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ละเว้นข้าเถิด…หากท่านยังเล่นสนุกต่อไป มิแน่ว่าอาจจะถูกราชาปีศาจจับกินเข้าไปนะขอรับ…”
“ข้ามินึกสนใจของดิบ อย่าเอาความชอบของเจ้ามาครอบใส่หัวของข้า” โม่จ้านยักไหล่
เยวียเฮ่อเอ่อร์มิเชื่อคำพูดของชายชราอย่างเห็นได้ชัด เขาขัดขืนมือของลู่อี้แล้ววิ่งรอบตัวโม่จ้านสองรอบ
“พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง ได้เวลาแล้วขอรับ เขาเองก็กินเสร็จแล้วเช่นกัน พวกเราก็ควรกลับได้แล้วขอรับ”
ความหงุดหงิดของชายชราปะทุหนักยิ่งกว่าเดิม เขาเข้ามาดึงแขนของเด็กน้อยด้วยสีหน้าบึ้งตึง มืออีกข้างหนึ่งคิดอยากจะยกโซ่ตรวนขึ้นมาพันรอบกายโม่จ้าน ทว่ากลับถูกน้ำหนักของโซ่ตรวนกดทับจนซวนเซ
“……อุ๊บ…ฮ่าๆๆๆๆๆ””
โม่จ้านมองลู่อี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น จนในที่สุดก็กลั้นหัวเราะเอาไว้มิไหว สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางขอให้เยวี่ยเฮ่อเอ่อร์มาช่วยเหลือ
เด็กน้อยเยวียเฮ่อเอ่อร์กลั้นหัวเราะ ขณะเอาสายโซ่พันธนาการรอบกายโม่จ้าน ยังมิวายแอบลูบคลำกล้ามเนื้อกับต้นขาแข็งแรงของโม่จ้านไปหนึ่งที ตามด้วยเผยสีหน้าอิจฉาออกมา เด็กน้อยมิสามารถเอื้อมมือไปถึงเสาเหล็กด้านบนได้ ยังคงต้องให้ชายชราเหยียบโต๊ะเล็กขึ้นไปมัดให้อย่างขาสั่น คนที่เคารพผู้ใหญ่และรักเด็กมาแต่ไหนแต่ไรอย่างโม่จ้านเห็นแล้วรู้สึกมิค่อยสบายใจนัก กลัวว่าหากอีกฝ่ายล้มลงมาเพราะยืนมิมั่นคง ท้ายที่สุดยังต้องโทษว่าเป็นความผิดของตนอีก
สายโซ่หนักอึ้งพันรอบกายของราชาปีศาจอีกครั้ง ถึงแม้การมัดเอาไว้เช่นนี้จะดูแน่นหนาพอประมาณแล้ว ทว่าความเป็นจริงกลับหลวมยิ่งนัก คล้ายกับเพียงเอามาห้อยคล้องไว้เท่านั้น
…ระดับฝีมือเช่นนี้ยังนับว่าด้อยกว่าพวกอัศวินใจดำ มือหนักพวกนั้นอยู่มากโข โม่จ้านพึมพำในใจพลางพยายามใช้ลิ้นดึงเนื้อเส้นหนึ่งที่ติดอยู่ในซอกฟันออกมา ตาคมจ้องมองแผ่นหลังหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ปิดประตูลง ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามออกไปหนึ่งประโยคอย่างอดมิได้
“ในเมื่อข้าทำความชั่วมากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยังมอบของกินให้ข้าอีก?”
“ท่านเทพแห่งแสงสว่างรักทุกสรรพสิ่ง ต่อให้เจ้าเป็นเชื้อสายของเผ่าปีศาจ ก็ยังให้อาหารก่อนจะมอบโทษตาย”
……เฮอะๆ ไสหัวไป