นักบุญนอกรีตแห่งโลกอันไร้ซึ่งจุดจบ - บทที่ 1 ตอนที่ 1 ติดแหง็กในดันเจี้ยนกับยัยทูตสวรรค์
- Home
- นักบุญนอกรีตแห่งโลกอันไร้ซึ่งจุดจบ
- บทที่ 1 ตอนที่ 1 ติดแหง็กในดันเจี้ยนกับยัยทูตสวรรค์
อ่า สวัสดีฉันชื่อ บี๋ เป็นคนไทยนี่แหละ ไอ้เรื่องชื่อนี่ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อแม่คิดอะไรอยู่ถึงให้ชื่อนี้มา ส่วนชื่อจริงของฉันมีชื่อว่า นิพพาน เทพอักษร น่ะนะ อืม หยุดการแนะนำตัวไว้แค่นี้ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
” เห้บี๋! หลังเลิกเรียนไปเกะกันเถอะ!” ไอ้เจ้านี่ที่มาทักฉันมันมีชื่อว่า คิมิซากิ เรน เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ 100% แค่มันย้ายมาเรียนที่ไทยก็แค่นั้น และก็เป็นเหตุผลทางบ้านด้วยละนะ
เรนเดินเข้ามาทักด้วยท่าทางที่ดูแฮนซั่ม ไม่สิไอ้นี่มันแฮนซั่มอยู่แล้วนี่หว่า? สาวติดตรึมกันเลยทีเดียว
“แต่ว่าแถวนี้มันไม่มีร้านคาราโอเกะนะมึง? “และนี่ก็คือฉันเอง จริงๆก็เป็นแค่เด็กม.ปลายอายุ 17 ก็เท่านั้นแหละ แถมยังไม่เอาไหนอีกต่างหาก ถึงจะเป็นโอตาคุก็เหอะนะ
ระหว่างที่ฉันกำลังอ่านมังงะอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นมาบอกกับเรน
“นี่ไม่ใช่ญี่ปุ่นที่จะมีร้านคาราโอเกะแทบจะทุกโรงเรียนหรอกนะมึง “ฉันบอกกับเรนก่อนที่จะก้มหน้าลงไปอ่านมังงะในมือต่อ
‘นี่ๆ เธอดูนั่นสิ ขนาดเรนเค้าชวนไปเที่ยวแล้วนะ ยังเถียงเลย ทั้งๆที่เป็นแค่โอตาคุน่าขยะแขยงแท้ๆ’ขณะที่ฉันกำลังคุยกับเรนอยู่ ก็มีเสียงนินทาซุบซิบมากมายดังขึ้นมาตลอดการพูดคุย
“ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้นายลำบากสินะ เอาเป็นว่าหลังเลิกเรียนเราไปดูตลาดแถวนี้กันดีไหม?”เรนก้มหัวขอโทษแล้วเอ่ยชวนฉันอีกรอบ
ฉันเหลียวตาขึ้นมามองเล็กน้อย และก็ได้ตอบตกลงไป
” อืม โอเค จะได้ไปซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าวด้วย”
“เยี่ยม! อ้อ รอบนี้ฉันพาแอนไปด้วยนะ!”เรนทำท่าดีใจ
“ยัยนั่นอ่ะนะ? “ฉันทำหน้าปลาตายก่อนจะก้มลงอ่านมังงะที่อยู่ในมืออย่างใจจดใจจ่อ
“ใช่แล้ว เห็นว่าบ้านอยู่แถวนั้นพอดี”เรนตอบกลับฉัน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่ทันไรที่เรนออกจากห้องไป คุณครูกด็เข้าห้องมาพอดิบพอดี ฉันจึงต้องเก็บมังงะที่กำลังอ่านอยู่ลงไปใต้โต๊ะ ถึงแม้ว่ามันจะสนุกมากเสียจนต้องหยิบมาอ่านให้ได้ตลอดเวลาก็เถอะ
เวลาผ่านไปจนถึงพักกลางวัน
ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่าที่โรงเรียนนั้นมันน่าเบื่อซะยิ่งกว่ามังงะที่อ่านอยู่เป็นประจำอีก เพราะงั้นในตลอดช่วงพัก ทั้งพักช่วงเช้า ช่วงกลางวันหลังจากกินข้าว หรือขนมปังเสร็จเรียบร้อย ฉันจึงต้องหยิบมังงะเล่มนั้นมาอ่านเสมอๆ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันคงอยู่ได้เลย
“โห พระเอกไม่ได้ซื่อบื้อนี่หว่า นึกว่าจะเป็นเหมือนมังงะโชเน็นทั่วไปซะอีก… “ฉันอ่านไปถึงส่วนนึงแล้วก็ต้องสบถขึ้นมา เพราะมันถูกใจฉันสุดๆ
ในเวลานี้ที่ฉันกำลังอ่านมังงะอย่างสบายใจอยู่ ก็ได้นึกขึ้นว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีสุดๆ ในช่วงม.ปลายของฉันเลย
แต่ว่าพออ่านมาจนถึงหน้าสุดท้ายแล้วก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่ผู้เขียนจะบอก
‘ถึงมังงะเรื่องนี้จะจบลงไปแล้ว แต่เรื่องราวของคุณยังไม่จบ อย่าพึ่งหมดสนุกซะละ อีกไม่นานบทสรุปของเรื่องราวทุกท่านก็จะมาถึงแล้ว’
ไอ้สิ่งที่ผู้เขียนจะสื่อนี่มัน.. มันคืออะไรกันแน่? หมายความว่ายังไงกัน? ฉันยกเลิกความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ก่อนที่จะเก็บมังงะเล่มนั้นลงไปในกระเป๋า
ถึงแม้ว่ามันจะสนุกขนาดนี้ แต่ผู้อ่านเรื่องนี้กับน้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนตอนของมันแล้ว ตอนนี้ฉันเองกลับก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองเป็นตัวเอกใน ‘อ่านชะตาวันสิ้นจักรวาล’ ซะงั้น
หรือไม่ก็คงคิดมากไปเองละมั้งนะ…
….
คาบสังคมฯ
“นักเรียนมีใครได้ดูข่าวเมื่อเช้านี้บ้างไหม? เมื่อเช้านี้ที่เกาหลีใต้ได้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินแยกขึ้น โดยที่ไม่รู้สาเหตุน่ะ นักเรียนได้ดูรึเปล่าข่าวเมื่อเช้านั่นน่ะ? “อยู่ๆครูสังคมก็ได้พูดถึงเรื่องข่าวในทีวีที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเวลา 6:55 นาที
เรื่องนี้มันไม่เท่าไหร่ แต่ว่าไอ้รอยแยกเนี่ย มันเริ่มเกิดขึ้นทั่วโลกแล้วนี่สิ แปลกมาก
และในวันเย็นนั้นเอง ขณะที่กำลังเดินกลับบ้านคนเดียว เดี่ยวๆอยู่อย่างนั้น ฉันก็ยังคงอ่านมังงะเล่มนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น จนกระทั่งมีโทรศัพท์โทรเข้ามาในสาย
“? สวัสดีครับ? “ฉันรับโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเอาไว้
《นิพพานหนีไป! หนีไปเร็วเข้า! … <เคี๊ยก! *เสียงแทรก> ที่โรงเรียนมีตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้โผล่มา- {ตุบ*} <เรน!> 》
“เห้ยเรน ! เกิดอะไรขึ้น! เห้ย!!- อะไรวะ…” หลังจากนั้นสายก็ถูกตัดไป ด้วยความมึนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้
จิก จิก จิก จิก จิก จิก จิก จิก
แต่แล้ว อยู่ๆก็มีเสียงชวนจั๊กจี้รูหูขึ้นมา ดังอยู่รอบๆเหมือนมันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมาก
อีกทั้งในตอนนี้ร่างกายของฉันยังรู้สึกหนักอย่างน่าแปลกประหลาด ราวกับว่าเหมือนถูกอะไรบางอย่างทับอกเอาไว้
บ้านเมืองโดยรอบเริ่มเกิดการเสื่อมทรามไปเรื่อยๆ พื้นดินเกิดรอยแยกขนาดใหญ่.. นี่มัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
กี๊ซซซซซ!!!!!
เสียงร้องโหยหวนของสัตว์จำพวกแมลงได้ดังขึ้นข้องหลังฉัน ฉันสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น มันช่างเป็นเสียงที่น่าสยดสยองรับรองได้เลยว่าหากใครได้ยินเข้า ต้องมีแสบหูกันบ้างแหละ
ฉันหันขวับไปข้างหลังโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด ในเวลานี้ตัวเองที่รู้สึกหนักอึ้งอยู่เต็มอก ได้คิดขึ้นมาว่าถ้าหากมีไอ้ตัวน่ากลัวๆ หรือมีความเร็วมากๆ โผล่ออกมาล่ะก็ ต้องทำใจเอาไว้เลยว่า….ไม่รอดแน่ๆ
จิก จิก จิก จิก จิก จิก จิก
เสียงชวนจั๊กจี้รูหูนั้นดังขึ้นอีกรอบ พร้อมกับร่างของตะขาบยักษ์ที่กำลังวิ่งกรูกันมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว จนฉันแทบจะตั้งตัวไม่ทัน
‘ตายแน่! ’
แต่ก่อนพวกมันจะเข้าใกล้มามากกว่านั้น ฉันก็บังเอิญไปเห็นรถที่ประตูถูกเปิดเอาไว้พอดี ก็…นับว่าเป็นโชคดีละนะที่ฉันรอดจากพวกมันมาได้ เพราะเจ้ารถคันนี้แท้ๆเลย “เห้อ ขอบคุณพระเจ้า รอดไปที- ”
ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะได้ดีใจ อยู่ๆก็ถูกเคลื่อนย้ายมาที่ไหนไม่รู้พร้อมกับรถคันนี้ซะงั้น แถมรอบๆเองก็มีแต่ป่ารกเต็มไปหมด ด้านหลังมีประตูหินเก่าแก่บางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกจากที่นี่ แต่มันกลับเปิดไม่ออกซะงั้น
“ชิบหาย ของจริงละทีนี้ ”ฉันสบถออกมาอย่างถอดใจ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีทางออกจากที่นี่ได้แล้ว ก่อนจะเหลียวไปเห็นดาบเก่าๆ วางอยู่บนพื้นพร้อมกับธนูและลูกดอก เหมือนที่นี่มันรู้ว่าฉันเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่ หรือว่าเป็นผู้ถูกเลือกจากดันเจี้ยนอะไรเทือกนั้นรึเปล่านะ?
ระหว่างที่ฉันกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่นั้นเอง ฉันก็ไม่ทันได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาในเร็วๆนี้
ในจังหวะนั้นเองก็มีมอนเตอร์หมาป่าตัวนึงเคลื่อนที่เข้าโจมตีฉันจากข้างหลังด้วยความเร็วที่สูงมาก สูงซะจนฉันรู้สึกตัวไม่ได้เลย
ฉันหันหลังกลับไปก็พบกับมันที่กำลังพุ่งมาซะแล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่า
ตายแน่ๆ
แต่แล้ว ทันใดนั้นเองก็มีแสงสีทองาว่างซ้อนทับกับทุกๆสิ่งในบริเวณนั้น อีกทั้งท้องฟ้ายังสาดส่องแสงสีทองลงมาอีก แล้วด้านข้างของฉันก็ปรากฏเป็นหญิงสาวรูปงาม ผมสีขาวบริสุทธ์ ดวงตาสีฟ้าท้องทะเล พร้อมกับปีกหกคู่ที่กำลังโบกสบัดไปมาก ทำให้เกิดเป็นขนนกสีขาวบริสุทธิ์ที่ ร่วงหล่นโปรยปรายไปทั่วบริเวณ
” มัน- …มันหยุด? “คมเขี้ยวของหมาป่าตัวนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าของฉันเพียงไม่กี่เซน ฉันโล่งใจก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ภาพฉายบางอย่างที่ฉายอยู่บนหัวมัน “…เลเวล 170…. “
ฉันมองอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าตัวเองจะถูกพามาที่ไหนก็ไม่รู้ แถมยังเป็นที่ ที่อันตรายสุๆที่มีเจ้าตัวแบบนี้เดินเพล่นพล่านอยู่ไปทั่ว
เหงื่อเย็นไหลลงมาทั้วหน้าผาก เมื่อกี้มันช่างระทึกขวัญจริงๆ ถ้าหากว่ามันไม่หยุดก่อนล่ะก็ ฉันคงตายไปแล้ว
“เดี๋ยวนะ… ทำไมมันหยุด? “คำถามเกิดขึ้นภายในหัวของฉัน
แต่เพียงไม่นานฉันก็ได้คำตอบจากเสียงที่ราวกับระฆังแห่งสวรรค์ของหญิงสาวที่ปรากฏตัวออกมา
{ รู้สึกตัวจนได้สินะ นักบุญ }
“นักบุญ.. พูดเรื่องอะไร “ฉันหันไปมองเธอโดยที่ไม่แม้แต่จะมีความรู้สึกพิศวาทใดๆ จนถึงตอนนี้หากเป็นผู้ชายจริงๆล่ะก็ต้องรู้สึกหลงไหลเป็นธรรมดา
ทว่ากลับฉันนั้น …ไม่ใช่ ฉันไม่เคยรู้สึกหลงไหลหรือรักใคร่กับคนอื่นมาก่อน และไม่รู้ด้วยว่ามันคืออะไร
{ ข้าได้รับมอบหมายจากพระบิดาให้นำสารน์นี้มาให้เจ้าโดยเฉพาะ นักบุญ }
“อะไรล่ะนั่น? … “ทันทีที่เธอนำคำภีร์บางอย่างออกมา ฉันก็รู้สึกสนใจสิ่งนั้นขึ้นมามากเลยทีเดียวเนื่องจากมันมีพลัง หรือออร่าที่ไม่น่าจะเป็นของธรรมดาเคลือบอยู่
{ เลอเมนร์ เดอลากูล จากนี้ไปนี่คือนามที่ข้ามอบให้ในฐานะนักบุญ พลังแห่งนักบุญที่เจ้าได้รับจะมีการเข้าพบกับทวยเทพของแต่ละวิหารได้ ขอเพียงแค่เจ้าภาวนา และสวดอ้อนวอน ณ วิหารแห่งนั้น
เจ้าจะมีพลังทัดเทียมกับจักรพรรดิผู้ปกครองดินแดนต่างๆ และจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ อาชีพนักบุญของเจ้าเป็นสิ่งพิเศษที่พระผู้เป็นเจ้าอย่างข้ามอบให้แก่ผู้ได้รับเลือกทั้ง 12 คน
อีกทั้งนักบุญยังมีอาวุธประจำตัวของแต่ละคน คนละชิ้น และจะแตกต่างกันออกไปตามทัศนคติ และส่วนลึกในจิตใจของคนผู้นั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นข้าเองก็ขอฝาก กาบริเอล ธิดาแห่งข้าให้อยู่ในความดูแลของเจ้าสักพักด้วย นางนั้นยังไม่มีประสบการณ์ทางโลกมากนัก จากนี้ไป อีก 2 ปี ข้าจะให้ผู้เป็นพี่สาวนาง มิคาเอล กับ ราฟาเอล ลงไปรับนางด้วยตัวเอง
ลงนาม: พระผู้สร้าง
ปล.เจ้าสามารถยืมพลังส่วนนึงจากข้าได้ทุกเมื่อ เมื่อเจ้ามีศรัทธาแรงกล้า และกล้าสวดอ้อนวอนเพื่อขอพลังจากข้า ข้าก็ย่อมมอบให้เสมอ
จาก พระบิดา }
“นักบุญ… มีบนโลกแค่ 12 คน? ไหนจะพลังนั่นอีก… ผู้กล้านี่ เทียบไม่ติดเลยแฮะ “จากที่ฟังมาทั้งหมด ก็สรุปได้ว่า นักบุญ นั้นก็คือคนที่ยืมพลังจากพระเจ้านี่เอง
แต่ดูเหมือนว่ามีคนนึงจะไม่พอใจในคำพูดของพระเจ้าสักหน่อยละนะ…
” ไม่น้าาา!!!! พระบิดาา!!! ทำไมทำกับข้าเช่นนี้!!! ได้โปรดให้ข้ากลับสวรรค์ด้วยเถอะ พระบิดา!!! “
ไอ้เสียงที่ดูเหมือนมาจากสวรรค์นั่นไปไหนซะแล้วล่ะ? ตอนนี้ก็เหมือนเสียงเด็กผู้หญิงขี้งอแงธรรมดาๆ เองนี่นา
โอ๊ะ! เธอพยายามจะทำอะไรบางอย่างด้วยล่ะ
” แหวกมิติไม่ได้! พระบิดาปิดกั้นอำนาจข้า!! บินด้วยความเร็วที่สามารถทะลุได้ก็ยังเหมือนกับว่าติดกำแพง! พระบิดาแกงข้าอ่ะ!!!! “กาบริเอลคุกเข่าน้ำตาซึมด้วยความที่ไม่เชื่อว่าพระบิดาของตนจะทำถึงขนาดนี้เพื่อให้ตนไปหาประสบการณ์
“ก่อนอื่น… ฮึบ! “ฉันต่อยเข้าไปที่ท้องของหมาป่าสายลมตัวนั้นเบาๆ จากแรงที่ฉันได้ปล่อยออกมานั้นมากพอที่สามารถจะทำให้มันแหลกเละได้เลย… แรงมาก
แต่ก่อนอื่นที่ข้าจะได้ออกเดินทางเพื่อพิชิตดันเจี้ยนนี้ เพราะมันไม่สามารถออกไปได้จนกว่าจะเคลียร์สำเร็จละนะ
“เฮ้ย คุณทูตสวรรค์ ไปกันเถอะ “
“เป็นแกเองสินะ… เป็นแก ที่ต้องทำให้ข้าติดแหง็ก อยู่นี่ อย่าอยู่เลย!!! “กาบริเอลชักดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวด้วยความเร็วสูงจนการหยุดเวลา ขณะที่ทูตสวรรค์ได้จุติมาด้วยตนเองถูกทำลง
” ตามที่บอกมา.. ดูเหมือนว่าจะต้องทำอย่างนี้เพื่อขอพลังจากพระเจ้าสินะ.. สวดอ้อนวอนนน “ฉันกุมมือไส้ที่อก ก้อมหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับหลับตา
ในขณะนั้นเองที่ฉันกำลังภาวนา อยู่ๆเวลาโดยรอบก็ถูกหยุดลงอย่างกระทันหัน แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ขยับไม่ได้ ปลายคมดาบของนางนั้นห่างเพียงแค่ไม่กี่มิลจากสายตาฉันเท่านั้นเอง
” ข้าแด่พระบุตร และพระจิต ขอพระบิดาผู้รังสรรค์สรรพสิ่ง ทรงมอบเรี่ยวแรง กำลัง ทรงมอบพลังที่สามารถพิชิตความชั่วร้ายตรงหน้าให้ข้า อาเมน “ฉันยกมือที่กุมกันแน่นขึ้นเหนือหัว คุกเข่าลง หยดน้ำใสๆค่อยๆไหลรินลง บนใบหน้า แสงสีทองสาดส่องทั่วหล้า และได้รวมเข้ามาอยู่ในตัวของฉัน
{ พ่อตอบรับคำภาวนาของลูก }
เสียงทุ้มต่ำ แต่ฟังดูอบอุ่น ได้ดังกึกก้องไปทั่ว
จากนั้นเวลาก็กลับมาเป็นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ เลอเมนร์ นั้นได้มีออร่าสีทองขนาดใหญ่ปกคลุ่มตัวเขาเอาไว้ ทรงผมกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นปลิวไสว คล้ายกับว่ามันไร้แรงโน้มถ่วง ดวงตาเป็นประกายสีทองสวยสดงดงาม
คมดาบของกาบริเอลที่เป็นถึงทูตสวรรค์ที่มีแรงค์ EXX ถูกหยุดไว้ได้ด้วยเพียงปลายนิ้วเท่านั้น แต่มันไม่สามารถถูกทำลายได้ เพราะอาวุธชิ้นนั้นมันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์
“ยืมพลังจากพระเจ้ามันทำแบบนี้นี่เอง สงสัยจากนี้ไปคงต้องเข้าโบสถ์ สวดภาวนา อ่านไบเบิล บ่อยๆแล้วละ”
กาบริเอลมองภาพที่เห็นตรงหน้าที่อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
” เป็น.. เป็นไปไม่ได้.. พระเจ้า… มอบพลังให้กับนักบุญ ทั้งที่… ไม่เคยทำมาก่อน “
ตัดจบตอน