นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 83 การสมรู้ร่วมคิด ตอนที่ 3
ริชาร์ดและวอร์เรนเดินออกจากวิหารเทเลพอร์ตพร้อมกันและเดินตรงไปตามถนนที่ร่มรื่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังวิหารที่ตั้งอยู่บนยอดเขา การเดินทางนั้นยาวนานเพราะระยะทางมันยาวหลายกิโลเมตร ทว่าทิวทัศน์ที่สวยงามตามทางนั้นเพียงพอที่จะทำให้เส้นทางไกลดูสั้นลง
ริชาร์ดมาตัวคนเดียว ส่วนวอร์เรนมีผู้คุ้มกันติดตามมาด้วย 4 คน พวกเขามีสัญลักษณ์อาเครอนที่น่าประทับใจติดอยู่ตรงหน้าอก ที่นี่มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย ทั้งรูนไนท์หลายคนที่หุ้มเกราะอย่างหรูหรา รถม้าที่มีมากมายจนเกินความจำเป็น และกลุ่มคนเดินเท้าที่กระจายไปตามถนน วิหารมังกรนิรันดรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนในเฟาสต์ให้ความนับถือและถือว่ามีผู้ศรัทธาเป็นจำนวนมาก การที่วิหารไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้นั้นยิ่งสร้างสถานะที่แข็งแกร่งในหัวใจของผู้ศรัทธาให้มากขึ้นไปอีก เมื่อเดินทางเข้าใกล้วิหารประมาณ 1 กิโลเมตร แม้แต่ฟิลลิปส์ผู้กระหายเลือดหรือจักรพรรดิของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังลงจากรถม้าของตนและเดินเท้าต่อไปจนถึงวิหารมังกรนิรันดรเพื่อแสดงถึงความจริงใจ
ริชาร์ดพูดคุยกับวอร์เรนขณะที่ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปยังวิหาร การที่เด็กหนุ่มคนนี้อยู่ที่นี่มานานทำให้เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนี้มากกว่าริชาร์ด และการพูดคุยถึงความลับของ 14 ตระกูลและราชวงศ์ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขามีอะไรทำได้ตลอดการเดินทาง
ขณะที่พวกเขาอยู่ตรงมุมถนนและกำลังจะเดินทางต่อไปยังวิหารนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนเส้นทางข้างหน้าพวกเขา นี่คือกลุ่มของขุนนางอายุน้อยจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยผู้คุ้มกัน 5–6 คน คนที่โดดเด่นในกลุ่มนั้นดูเหมือนจะได้รับการปกป้องและอารักขาโดยคนที่เหลือ เขาแต่งกายด้วยชุดที่หรูหราและสง่างามซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะและภูมิหลังที่ลึกซึ้ง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตราสัญลักษณ์ดาบยาว 3 เล่มที่หน้าอกของเขานั้นบ่งบอกว่าเขาคือทายาทของตระกูลโจเซฟ
ริชาร์ดไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างตระกูลอาเครอนกับตระกูลโจเซฟ อย่างไรก็ตาม วอร์เรนมีสีหน้าไม่ดีนักขณะที่เขายิ้มเยาะและก้าวเท้าไม่กี่ก้าวเพื่อปิดกั้นเส้นทางของกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า
ในตอนแรกกลุ่มเด็กหนุ่มดูตกใจกับการกระทำที่กะทันทันนั้นก่อนจะแสดงท่าทางรำคาญใจออกมา นี่เป็นการกระทำที่กวนประสาทซะจนเหล่าผู้คุ้มกันของฝั่งตรงข้ามเริ่มม้วนแขนเสื้อขึ้น พวกเขาก้าวเท้าออกมาข้างหน้าและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เต็มที่
พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวใด ๆ เลยถึงแม้ว่าผู้คุ้มกันของวอร์เรนจะด้อยกว่าทั้งในเรื่องจำนวนและความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาไม่เกรงกลัวนั้นก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสมอง เพราะหนึ่งในนั้นได้วิ่งกลับไปรายงานสถานการณ์ที่ปราสาทเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้เริ่มที่จะรับมือได้ยาก
“ดูเหมือนวันนี้เจ้าจะอารมณ์ดีนะ ฟอล์ก” วอร์เรนกัดฟันพูด
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาสังเกตท่าทางของวอร์เรนก่อนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “เฮ้ ! นี่มันวอร์เรนตัวน้อยแห่งอาเครอนไม่ใช่รึ ? แน่นอนว่าข้ากำลัง ‘ใช้ชีวิต’ ของข้าอยู่ ขอบใจนะธอร์ ข้าได้เงินก้อนโตมาจากคาสิโนแล้วยังได้ของบางอย่างมาด้วย ของที่เขาว่ากันว่าเป็นมรดกตกทอดของเผ่าเอลฟ์โบราณน่ะ ! อีกอย่างนะ วันนี้ข้าได้ยินเรื่องที่น่าตกใจมา พวกเจ้าอยากรู้ไหมล่ะ ?”
เด็กหนุ่มที่อยู่รอบ ๆ ฟอล์กพูดคุยกันทันที พวกเขาทำท่าทางราวกับว่ากำลังรอคอยคำทำนายจากพระเจ้า สีหน้าของวอร์เรนดูไม่ดีเอาซะเลย เพราะคนที่สูญเสียมรดกตกทอดของเผ่าเอลฟ์โบราณนั้นก็คือเขาเอง ส่วนเรื่องที่น่าตกใจที่ฟอล์กพูดถึงนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มนั่นจะพูดพล่ามถึงเรื่องอะไรแต่เขาก็มั่นใจว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องดี
ริชาร์ดยืนอยู่ด้านหลังวอร์เรนและเหล่ตามองฟอล์กกับพรรคพวกของเขา ตัวเลขมากมายนับไม่ถ้วนกระเด้งไปมาอยู่ในหัวก่อนจะคงที่ในที่สุด เขาคาดเดาพลังของฝ่ายตรงข้ามได้คร่าว ๆ จากพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของพวกเขา ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่เขาใช้คำนวณพลังมานาของเมจโดยดูจากออร่าที่กระจายออกมา
ฟอล์กดูเหมือนจะเป็นพวกไฟเตอร์ที่อยู่ในระดับระหว่าง 10–12 ขณะที่ผู้คุ้มกันทั้งหมดของเขาอยู่ที่ระดับ 8–10 ส่วนเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เหลือที่จับกลุ่มกันอยู่รอบ ๆ ฟอล์กนั้่น ต่างก็มีพลังน้อยไม่ก็อ่อนแอมาก ส่วนคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอยู่ประมาณระดับเดียวกับวอร์เรน
ริชาร์ดตบไหล่วอร์เรนและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไปกันเถอะ เรายังต้องเดินทางไปวิหารต่ออีก”
หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นก็คงจะลงเอยในแบบที่เขาทั้งสองคนถูกรุมกระทืบ ถึงแม้ริชาร์ดจะรู้เทคนิคการต่อสู้ของโลกมืดอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีทางต่อกรกับผู้คุ้มกันที่แข็งแรง 6 คนและฟอล์กได้ เขาไม่ใช่วอริเออร์ด้วยซ้ำและดูเหมือนว่าเขาจะต้องได้พรจากมังกรนิรันดรเสียก่อนจึงจะสามารถต่อสู้กับไฟเตอร์กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ได้ และจากระยะประชิดเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่มีพื้นที่มากพอในการร่ายคาถาด้วย ถ้าเขามีเครื่องมือในการร่ายคาถาแบบไร้เวลาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่เขาไม่มี
ยิ่งไปกว่านั้น วอร์เรนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หากดูจากธรรมเนียมของขุนนางแล้วก็ดูจะเป็นการต่อสู้ที่ไร้จุดประสงค์และอาจจะกลายเป็นเรื่องตลกของเมืองไปซะเปล่า ๆ ริชาร์ดไม่ต้องการที่จะถูกทำร้ายหรือกระทืบโดยไม่มีเหตุผล และเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกับวอร์เรนมากขนาดนั้นด้วย หากไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน เขาทั้งสองก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้เป็นคนรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
วอร์เรนหันกลับมาและตะโกนใส่หน้าริชาร์ดเสียงดัง “เจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ พวกนี้มาจากตระกูลโจเซฟ ! และเขาเป็นลูกชายคนที่ 3 ของดยุกโจเซฟและเป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดด้วย !”
หลังจากโดนวอร์เรนตะโกนใส่ ท่าทางของริชาร์ดก็ดูไม่ดีนัก เขาปล่อยมือจากไหล่วอร์เรนและก้าวถอยหลังไป เขาไม่เคยสนใจในการต่อสู้หรือความบาดหมางระหว่างตระกูลอะไรทั้งนั้นและเห็นได้ชัดว่าวอร์เรนเป็นฝ่ายที่พยายามเอะอะโวยวายไปก่อนเอง น้ำเสียงของฟอล์กบอกเป็นนัย ๆ ว่าสถานการณ์ระหว่างเขากับวอร์เรนนั้นแทบไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นปรปักษ์กันของ 2 ตระกูลเลย ทว่ากลับเป็นการทะเลาะกันในหมู่วัยรุ่นเสียมากกว่า
และริชาร์ดเองก็ไม่ชอบตกเป็นเครื่องมือของใคร ถึงแม้ว่าจะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม
ในตอนนั้นเองที่ฟอล์กพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่ามีไอ้โง่บางคนไปป้วนเปี้ยนที่สวนเอนชานติ้งหลังจากที่พ่ายแพ้ให้แก่ข้า ให้ทายว่าโสเภณีแนนซี่บอกข้าว่าอะไร ? นางบอกว่าผู้ชายคนนั้นน่ะอยู่ได้ไม่ถึง 5 นาที ! และอวัยวะเพศของของเขาน่ะ เล็กกว่าของเอลฟ์ด้วยซ้ำไป ! ฮ่า ๆ !”
กลุ่มเด็กหนุ่มรอบตัวฟอล์กระเบิดหัวเราะออกมาในทันที สำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องบนเตียงนั้นจัดเป็นสนามรบสนามหนึ่งที่บางทีมันดูจะสำคัญกว่าสงครามเพลนซะอีก ใบหน้าของวอร์เรนร้อนผ่าวไปด้วยความอับอาย เขาแสดงสีหน้าบูดเบี้ยวและตะโกนอย่างเดือดดาล “ฟอล์ก ! เจ้าพูดถึงใคร ?”
สายตาของฟอล์กเย็นยะเยือกก่อนเอ่ยออกมา “ข้าก็กำลังพูดถึงลูกชายโสเภณีไง ทำไมรึ เจ้ามีอะไรจะพูดรึเปล่า ?”
วอร์เรนส่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลเป็นคำตอบก่อนพุ่งตัวเข้าไปที่ฟอล์กและปล่อยหมัดเข้าใส่ใบหน้าเขา การเคลื่อนไหวร่างกายที่รวดเร็วของเขานั้นเป็นผลมาจากการฝึกฝนของอาเชอร์ ดังนั้นริชาร์ดจึงไม่มีเวลาให้ตั้งตัวหรือห้ามอะไรด้วยซ้ำ
*ปั้ก !* เสียงต่ำดังก้องจากโหนกแก้มของฟอล์กทันทีหลังจากวอร์เรนอัดกำปั้นเข้าไปทำให้ร่างกายส่วนบนของเขาก็เอนไปด้านหลังเพราะแรงกระแทก ฟอล์กไม่ได้หลบหลีกการโจมตีนั้นเลยแต่เขากลับยืนนิ่งและปล่อยให้วอร์เรนปล่อยหมัดกระแทกใบหน้าของเขาได้ เขาไม่ตอบโต้หรือขยับเขยื้อนใด ๆ ไม่ว่าหมัดของวอร์เรนจะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม
ฟอล์กจ้องหน้าวอร์เรนและยิ้มอย่างชั่วร้าย “ไอ้บัดซบ ! ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว !”
ความกลัวเกาะกุมขั้วหัวใจของริชาร์ดขณะที่เขารู้สึกถึงอันตราย เขามองเห็นรังสีแห่งการฆ่าฟันในสายตาของฟอล์ก ! อย่างไรก็ตาม มันก็สายเกินไปแล้วที่เขาจะเตรียมเวทมนตร์ใด ๆ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าอย่างรวดเร็วทว่าไม่พบอะไรที่มีรูปร่างเหมือนกริชของเขาอยู่ในนั้นเลย
เขาเกือบลืมไป กริชที่นายาให้เขาไว้ป้องกันตัวเองถูกกาตอนจับโยนลงไปในภูเขาไฟนานแล้ว…
ในที่สุด สถานการณ์ที่เขาหวาดกลัวก็เกิดขึ้นเมื่อฟอล์กชี้นิ้วไปที่วอร์เรนและตะโกนเสียงดังว่า “ฆ่าไอ้พวกอาเครอนสารเลวพวกนี้ซะ !”
ผู้คุ้มกันทั้ง 6 คนของตระกูลโจเซฟพุ่งตัวมาข้างหน้าและล้อมพวกเขาไว้ทันทีก่อนจะตามด้วยกลุ่มเด็กหนุ่มที่มากับฟอล์ก แม้ว่าความแข็งแกร่งของแต่ละคนจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่พวกเขายังคงได้เปรียบในด้านจำนวนที่ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพในการต่อสู้หมู่แบบนี้
ส่วนฟอล์กนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหยียดมือและเดินไปข้างหน้า