นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 67 เมืองในตำนาน
ถึงแม้ไม่เงยหน้ามองท้องฟ้าที่น่าอัศจรรย์ พื้นดินของเฟาสต์ก็มีความกว้างใหญ่ที่ไม่ได้ต่างจากบนท้องฟ้าเลย สิ่งปลูกสร้างที่มีสไตล์แตกต่างกันทอดยาวไปตามทิวทัศน์ไกลสุดลูกหูลูกตา บางส่วนเป็นหลังคาทรงกลมและบางส่วนเป็นหลังคาทรงแหลม บ้างก็มีผนังม่านประดับด้วยกระจกสีสันสดใสและหน้าต่างทรงฝรั่งเศสบานใหญ่… ส่วนโถงทางเดินที่คดเคี้ยวนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน
เมื่อเดินผ่านทางแยก ริชาร์ดยังมองเห็นระเบียงเหนือทางเดินปกคลุมไปทั่วทั้งบล็อก ลานน้ำพุเรียบ ๆ รูปแบบต่าง ๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งล้วนแต่ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งประดับตกแต่งอย่างเช่นเสา ราวระเบียง รูปปั้นแกะสลัก เครื่องกระเบื้อง หรือภาพจิตรกรรมฝาผนังของโมเสกที่ฝังอยู่นั้นมีอยู่ทุกที่ทว่าไม่มีที่ซ้ำกันเลย
แสงสีทองอ่อน ๆ ปกคลุมไปทั่วทำให้ทั้งเมืองเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ในแสงยามเย็นที่สวยงามที่สุด และแม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนต่างก็แต่งตัวได้ดีอย่างอย่างไร้ที่ติอีกทั้งยังปฏิบัติตัวกันอย่างสง่างามเหมาะสมกับสไตล์ของเมือง
อย่างไรก็ตาม ริชาร์ดมองเห็นความสมบูรณ์แบบในแบบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขามองข้ามผ้าใบบังแดด ของตกแต่งต่าง ๆ ตราและสัญลักษณ์ บอนไซ และสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นไปเลย เพราะตัวเมืองนี้มันสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ สี รูปร่าง หรือสไตล์ของถนนทุกสาย แม้แต่การสร้างสรรค์เล็ก ๆ อย่างเช่นลานน้ำพุที่แสดงถึงความกลมกลืนออกมาได้อย่างประหลาดก็มีส่วนช่วยทำให้พวกมันดูสมบูรณ์และแยกออกจากกันไม่ได้ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในการออกแบบและสร้างขึ้นในเวลาเดียวกัน และมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องดัดแปลงอะไรเพิ่มเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสำหรับเมืองที่ใหญ่มากขนาดนี้
ถนนเส้นหลักของเมืองเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย สำหรับถนนสายยาวที่เขาเดินตามมอร์เดร็ดไปนั้น นอกเหนือจากที่ว่าหินทุกก้อนบนเส้นทางมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ทุกอย่างก็เหมือนกันหมดราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกสกัดแยกออกมาจากหินก้อนใหญ่ก้อนเดียวกัน
ถนนสายสำคัญเป็นทางลาดขึ้นที่ดูไม่ชันมาก และเมื่อมันยิ่งทอดยาวขึ้นไปก็ยิ่งปลีกตัวและเงียบสงบมากขึ้น ต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามถนนนั้นมีขนาดใหญ่มากจนยอดของมันเกือบจะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า กิ่งไม้ของบางต้นที่ห้อยลงมามีผลไม้สุกสีแดงเข้มที่ไหวเพราะสายลมน้อย ๆ ส่วนกิ่งก้านที่กว้างและอวบอิ่มรวมถึงใบไม้ก็ล้วนแกว่งไปมาเพราะสายลมเช่นกัน
ริชาร์ดสังเกตต้นไม้ทุกต้นตามเส้นทางด้วยความตั้งใจ ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักต้นไม้เหล่านั้นว่าคือต้นอะไร แต่เขาก็บอกได้จากลักษณะภายนอกว่าตามธรรมชาติแล้วต้นไม้เหล่านั้นควรจะอยู่ทางใต้ที่มีสภาพอากาศเป็นเขตร้อนแทนที่จะมาอยู่บนพื้นที่ราบสูงทางเหนือซึ่งมีสภาพอากาศที่เย็นและแห้ง
สภาพอากาศของที่ราบนิรันดรไม่สามารถทะลุผ่านประตูหน้าของเมืองเฟาสต์เข้าไปได้ ไม่ว่าอากาศภายนอกจะเป็นอย่างไรแต่ภายในเมืองแห่งตำนานก็มีอากาศอบอุ่นและชื้นอยู่เสมอตลอดทั้งปี โดยอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหล่าต้นไม้ล้วนแต่มีลักษณะที่สูง ร่มรื่น ลำธารใส และน้ำพุก็งดงาม
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของถนน ริชาร์ดก็มองเห็นวิหารที่งดงามโอ่อ่า วิหารนั้นมีความสูงถึง 7 ชั้นและสามารถเข้าถึงได้จาก 67 เส้นทางที่ล้อมรอบอยู่ทุกทิศทางซึ่งแคบกว่าถนนสายยาวเล็กน้อย จตุรัสด้านหน้าวิหารเต็มไปด้วยยานพาหนะทุกประเภท รวมไปถึงสถานีของกริฟฟิน ไวเวิร์น และเหยี่ยวมอร์สฮิล ใกล้ ๆ กันนั้นมีกลุ่มของทาสที่สวมเสื้อคลุมปักด้วยตราสัญลักษณ์ของตระกูลต่าง ๆ กำลังเคลื่อนย้ายสิ่งของที่ดูมีน้ำหนักเข้าออกจากสถานีโดยไม่มีการหยุดพัก รวมทั้งมีฝูงของกริฟฟินบินลงมาส่งขุนนางที่แต่งตัวดีอยู่เป็นครั้งคราว
ด้วยความสูง 12 เมตรและความกว้าง 10 เมตรทำให้ประตูหลักของวิหารใหญ่มากพอให้รถม้าขนาดใหญ่ 3 คันผ่านไปพร้อม ๆ กันได้ บนยอดประตูนั้นมีตราสัญลักษณ์รูปนาฬิกาทรายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของมังกรนิรันดรประทับอยู่ เมื่อเข้าไป ริชาร์ดก็เห็นห้องโถงหลักขนาดใหญ่ที่มีทางออก 7 ทางและโถงทางเดินที่คดเคี้ยวขึ้นไปด้านบน
เขาเดินตามมอร์เดร็ดผ่านทางออกที่ 3 นับจากทางซ้าย และเข้าสู่ห้องโถงที่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย แต่ถึงแม้มันจะเล็กกว่านั้น ห้องโถงนี้ก็ยังคงกว้างกว่า 100 ตารางเมตรอยู่ดีซึ่งสามารถบรรจุรถม้าบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดได้เลย ตรงบริเวณสุดทางของห้องโถงมีวงเวทย์อยู่ และมีหุ่นเวทมนตร์ที่สะอาดสะอ้านและมีเอกลักษณ์ 2 ตัวหมอบอยู่ด้านข้าง รังสีแสงแสดงให้เห็นจากหน้าอกของมันเป็นครั้งคราวและหลอมโลหะเวทมนตร์ชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งพวกมันต้องการบีบให้เป็นรูปร่าง
มอร์เดร็ดชี้ไปที่หุ่นเวทมนตร์ 2 ตัวนั้นก่อนพูดขึ้น “พวกมันเป็นผู้พยากรณ์ของมังกรนิรันดร พูดตรง ๆ ก็คือไม่มีใครรู้หรอกว่ามันมาจากไหน แต่มันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่มนุษย์ค้นพบและตั้งรกรากอยู่ที่เฟาสต์แล้ว เจ้าคงเห็นแล้วว่าทุกที่ในเฟาสต์เชื่อมโยงกับเวทมนตร์ พวกมันจะซ่อมแซมวงเวทย์ที่เสียหายโดยอัตโนมัติรวมไปถึงซ่อมถนนและวิหารด้วย พวกมันเหมือนกับเป็นผึ้งที่ใช้แรงงาน”
ริชาร์ดจ้องหุ่นเวทมนตร์ 2 ตัวนี้อยู่พักหนึ่งจึงถามขึ้น “พวกมันดูแปลกและก็แตกต่างจากหุ่นเวทมนตร์ทั้งหลายที่ข้าเคยศึกษามา พวกมันเคลื่อนไหวได้ยังไงกันรึ ?”
มอร์เดร็ดยักไหล่ “อาจเป็นพลังเวทมนตร์บางอย่างที่เรายังไม่รู้ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม เมื่อพวกมันหมดพลังงาน พวกมันก็จะวิ่งไปที่วิหารมังกรนิรันดรและอยู่ที่นั่น 1 คืน หลังจากนั้นพวกมันก็จะสามารถทำงานต่อไปได้อีก 2–3 เดือนเป็นอย่างมาก เจ้าว่ามันน่าหลงใหลหรือไม่ ? ตอนแรกผู้คนมองพวกมันในฐานะคนรับใช้ของมังกรนิรันดร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็ค่อย ๆ แสดงความเคารพและบูชาต่อพวกมันอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีพวกมัน เฟาสต์ก็คงจะล่มสลายไปนานแล้ว อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีช่างเหล็กที่เป็นมนุษย์คนใดสามารถซ่อมแซมสิ่งใดในเมืองนี้ได้เหมือนกับพวกมัน”
“แต่ว่า ริชาร์ด” เขาพูดเสริม “ยังไม่มีใครค้นพบได้เลยว่าหุ่นพวกนี้ทำมาจากอะไร เคยมีตระกูลที่แอบจับหุ่นเวทมนตร์เพื่อนำไปวิเคราะห์ แต่นั่นก็ทำให้มังกรนิรันดรโกรธมาก และคืนนั้นก็ได้เกิดอาเพศขึ้นบนเกาะของตระกูลนั้น ทั้งหินภูเขาไฟระเบิด พายุเฮอริเคน สึนามิ และพายุฟ้าคะนองราวกับว่าอวสานของโลกมาถึงแล้ว จนในที่สุดก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีและอยู่รอดได้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับหุ่นเวทมนตร์อีกเลย”
ริชาร์ดจับประเด็นได้ทันทีและถามคำถามเพิ่มเติม “มอร์เดร็ด ท่านหมายความว่าแต่เดิมเฟาสต์มีอยู่มานานแล้ว และพวกเราก็ค่อยค้นพบมันพร้อมทั้งเข้ายึดครองเมืองนี้ใช่หรือไม่ ?”
“ใช่ การสร้างเมืองที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ขึ้นมาได้ด้วยเฉพาะฝีมือของมนุษย์เท่านั้นคงเป็นปาฏิหาริย์แล้วล่ะ !” มอร์เดร็ดถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เห็นได้ชัดว่าปาฏิหาริย์แบบนี้สามารถปราบได้แม้กระทั่งอัศวินผู้กระหายเลือดและไนท์ที่ชื่นชอบการสังหารอย่างเขา เขาตบไหล่ริชาร์ดและพูดต่อ “เหตุผลที่ตระกูลใหญ่ ๆ มากมายรวมถึงพ่อของเจ้ากระตือรือร้นที่จะเข้ามาอยู่ในเฟาสต์โดยไม่กลัวว่าจะต้องสูญเสียอะไรก็ตามนั่นก็คือวิหารแห่งมังกรนิรันดร การสังเวยให้กับมังกรนิรันดรในวิหารนั้นจะเปิดโอกาสให้ได้รับความดีความชอบจากมังกร พรทุกด้านก็รวมอยู่ด้วย แต่พรที่มีค่าที่สุดในบรรดาทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับการไหลของเวลา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับโชคลาภของคนที่นำเอาของมาสังเวย การเสนอของสังเวยนั้นเป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์และตระกูลขุนนางทั้ง 14”
ขณะที่พูดอยู่นั้นมอร์เดร็ดก็ได้นำตัวลาวามาแล้ว เขาก้าวเข้าสู่วงเวทย์เทเลพอร์ตก่อนที่วงเวทย์จะเริ่มเปล่งแสงสีน้ำเงินอมเขียวสดใสออกมาขณะที่ม่านแสงบาง ๆ พุ่งขึ้นจากพื้นดินและล้อมรอบร่างของพวกเขาทั้งสองไว้ ริชาร์ดรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยก่อนที่ทุกอย่างจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้ง
ผ่านไปครู่เดียว พวกเขาก็มาปรากฏตัวอีกครั้งในลานขนาดเล็กเพียงไม่กี่พันเมตร ทว่าสถานที่แห่งนี้แยกออกจากพื้นที่อื่นด้วยรั้วต่ำ ๆ ไม่ไกลจากด้านหลังของริชาร์ดคือขอบของเกาะ เขาสามารถมองเห็นก้อนหินที่กระจัดกระจายกำลังลอยไปมาอยู่กลางอากาศอย่างอิสระและโคจรอยู่รอบ ๆ เกาะซึ่งเป็นภาพที่น่าประหลาดใจพอสมควร
นอกจากนี้เขายังเห็นท่าเรือยาวกว่า 10 เมตรกำลังเปล่งประกายโลหะแวววาวและพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่นอกเกาะซึ่งยื่นออกไปทางตะวันตกของลานกว้างนั้นก็คือลานวิ่งสำหรับออกตัวบินของกริฟฟินและไวเวิร์นที่จะบินขึ้นและลงจอดอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่ไกลออกไปตรงบริเวณท้ายสุดมีโกดังเรียงเป็นแถวอยู่ และมีรังของกริฟฟินกับไวเวิร์นตั้งอยู่ทางซ้ายและขวาของลานวิ่งตามลำดับ