นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 65 พิชิตสวรรค์ ตอนที่ 2
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปแล้ว หลังจากนี้เจ้ายังมีเวลาอีกมากให้สำรวจทุกอย่างภายในนี้” มอร์เดร็ดตีที่ลำตัวของลาวาเพื่อให้มันเดิน ส่วนริชาร์ดก็ระงับความหวาดหวั่นของเขาก่อนที่จะตามมอร์เดร็ดไปติด ๆ
พวกเขาเดินทางมาถึงเนินเขาโดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง บริเวณนี้มีความกว้างประมาณ 5 กิโลเมตรและมีความสูงราว ๆ 3 กิโลเมตร ภูเขานี้ได้แสดงให้เห็นถึงความงดงามที่น่าเกรงขามในตัวของมันอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์ที่จะมองความงามนี้ให้ทั่วทั้งหมดได้ภายในครั้งเดียว พวกเขาต้องมองในมุมที่แตกต่างกันออกไปจึงจะเห็นความสวยงามของที่แห่งนี้ได้เต็มตา
เส้นบาง ๆ ที่พวกเขาเห็นเป็นเส้นทางที่จะนำพาพวกเขาขึ้นไปถึงยอดเขา หากมองไกล ๆ จะเห็นเหมือนเป็นเส้นบาง ๆ เล็ก ๆ แต่ในตอนนี้มันเผยให้เห็นแล้วว่ามันกว้างขวางมากพอที่จะให้รถม้าถึง 4 คันเดินคู่ขนานกันไปได้ ถนนถูกปูด้วยหินที่ไม่ได้เรียบเท่าไหร่นัก ทว่าพวกมันกลับเชื่อมต่อกันได้เป็นอย่างดีโดยไม่มีรอยร้าวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย สิ่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้คือส่วนของพื้นที่ถูกอัดอย่างหนาแน่นจนเรียบเพื่อให้ล้อของรถม้าเดินทางขึ้นไปได้โดยไม่ไหลลงมา ระหว่างทางมีราวจับเหล็กตกแต่งไว้พร้อมประดับด้วยปลายราวจับที่เป็นรูปปั้นสัตว์ร้ายที่ดูเหมือนมีชีวิตอยู่จริง ส่วนตรงกลางทางเดินก็มีแผ่นหินที่ถูกทาด้วยสีเหลืองยกขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้ทางได้เห็นถึงการจราจรที่อยู่ตรงหน้า
ริชาร์ดเงยหน้าขึ้นเพื่อมองไปตามทางเท้าตรงหน้า จากพื้นที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้หากเขาเงยหน้าจนสุด เขาจะมองเห็นเพียงแค่เมฆหนาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมยอดเขาเท่านั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะจินตนาการถึงเกาะที่อยู่ข้างบนนั้นได้ ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์และการคำนวณของเขาไม่เคยผิดพลาด ในเวลานี้เขาจึงเริ่มคำนวณความยาวของทางเดินผ่านทางลาดนี้อีกครั้ง ความยาวของเส้นทางนี้ทอดยาวไปไกลมากจนทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาจะต้องจ่ายเงินไปกับค่าอิฐและสิ่งก่อสร้างพวกนี้เท่าไหร่จึงจะสามารถสร้างออกมาได้ขนาดนี้ สำหรับเขาแล้วราคาที่ต้องสูญเสียไปคงจะเป็นจำนวนเงินที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เขาเคยคำนวณค่าก่อสร้างภายในดีพบลู แต่ในเวลานี้สิ่งที่เขาคำนวณเป็นเพียงแค่เส้นทางที่จะเดินทางขึ้นไปในเมืองแห่งตำนานเท่านั้น
“ริชาร์ด ดูนั่น !” เสียงของมอร์เดร็ดดังขึ้นทำให้เขารีบมองไปยังจุดที่มอร์เดร็ดบอกทันที สิ่งที่เขามองเห็นคืออาคารที่ดูแปลกประหลาดมากมาย อาคารเหล่านั้นอยู่ห่างออกไปจากเขาประมาณ 1 กิโลเมตร โดยลักษณะสำคัญที่สุดของตึกที่อยู่ภายในนี้คือหลังคาเป็นแบบเรียบ ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับให้กริฟฟินบินลงมาหยุดพักก่อนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งหากมันหายเหนื่อยแล้ว ส่วนใหญ่พวกมันจะบินไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพุ่งตัวผ่านเมฆไปยังจุดสูงสุดของยอดเขา
เวลากริฟฟินออกบิน ส่วนใหญ่พวกมันจะรองรับคนได้เพียง 1–2 คนเท่านั้น ทว่ามีบางกลุ่มที่สามารถแบกรับคนจำนวนมากขึ้นไปได้ด้วยปีกขนาดมหึมาของมัน ความยิ่งใหญ่ของปีกแผ่อยู่กลางอากาศจนบดบังแสงอาทิตย์อย่างน่าอัศจรรย์ มันทะยานตัวขึ้นก่อนจะเปล่งเสียงออกมาดังกึกก้อง
“นี่เป็นที่ที่กริฟฟินลงมารับหรือส่งผู้คน เจ้าสามารถขึ้นไปอยู่บนตัวมันเพื่อให้มันส่งเราขึ้นหรือลงจากยอดเขาได้ แต่จำไว้ว่ามันไม่สามารถพายานพาหนะอื่น ๆ ขึ้นไปด้วยได้ และที่ปลายอีกด้านหนึ่งของภูเขายังมีไวเวิร์นกับเหยี่ยวมอร์สฮิลที่เจ้าสามารถใช้ได้ แต่คนของเฟาสต์มักจะรับไม่ค่อยได้กับกลิ่นที่เหม็นฉุนของมัน ดังนั้น ไวเวิร์นจึงมักถูกใช้สำหรับขนส่งสินค้าเท่านั้น เอาล่ะ ถึงเวลาที่ต้องขึ้นไปแล้ว ตามข้ามาใกล้ ๆ นี่อาจเป็นการเดินทางที่ใช้เวลายาวนาน ข้าแนะนำว่าเจ้าควรเพิ่มเวทมนตร์ให้กับม้าของเจ้าหน่อยก็ดี”
ลาวาเปล่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ก่อนที่มันจะออกเดินทางต่อไปหลังจากที่มอร์เดร็ดตบแผงคอของมัน แม้ว่าเส้นทางนี้จะกว้างแต่มันก็ยังแออัดไปด้วยกลุ่มไนท์และรถส่งของที่ต่างก็ใช้เส้นทางนี้สวนกันไปมา ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น ไนท์จำนวนมากที่ริชาร์ดเห็นตลอดระยะทางที่เดินทางมาก็ล้วนแต่เป็นรูนไนท์ซึ่งบางกลุ่มดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มของมอร์เดร็ดอยู่ไม่น้อย
เมื่อม้าขึ้นมาถึงขอบเมฆแล้ว ริชาร์ดก็รู้สึกได้ถึงพลังงานเวทมนตร์ที่กำลังฟุ้งอยู่ในอากาศ รวมถึงมีมานาไหลเวียนอยู่รอบ ๆ อย่างลึกลับ หากใครก็ตามได้มาจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงมัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพราะมันเป็นลักษณะของพลังงานในรูปแบบที่มีเส้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานอยู่เต็มไปหมด เมื่อเขาพยายามถอดรหัสถึงจุดประสงค์ของเส้นพลังงานพวกนี้ เขาก็ต้องตกตะลึงในทันทีเพราะสิ่ง ๆ นี้คือส่วนหนึ่งของผังเวทมนตร์ ! ถ้าทุกส่วนภายในก้อนเมฆเต็มไปด้วยเส้นพลังงานพวกนี้แล้ว ผังเวทย์นี้มันจะใหญ่ขนาดไหนกัน ?
“ดูตรงนั้น ! ประตูที่จะไปสู่เฟาสต์อยู่ข้างหน้าเจ้าแล้ว !” มอร์เดร็ดตะโกนเตือนริชาร์ดจากชั้นเมฆที่อยู่สูงขึ้นไปจนทำให้เขาได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง เขาเร่งม้าของเขาให้อ้อมเส้นทางตรงนั้นอย่างรวดเร็ว และในเวลานี้เขารู้สึกได้ว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในลานกว้างขนาดใหญ่แล้ว
ภายในนี้ไม่มีเมฆมาบดบังทัศนียภาพของเขาอีกต่อไป และเส้นขอบฟ้าก็ไกลสุดลูกหูลูกตาจนน่าทึ่ง เขาค้นพบว่าเขาได้เข้ามาอยู่ภายในลานขนาดใหญ่ที่กว้างราว ๆ 1 กิโลเมตร บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยหินสีเงินซึ่งเขาเองก็ไม่รู้แหล่งที่มาของต้นกำเนิดของมัน รอยเท้าของม้าไม่ได้สร้างรอยขีดข่วนบนพื้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เห็นว่าวัสดุในที่แห่งนี้มีความทนทานอย่างมาก พื้นที่ที่เขาเข้ามาเต็มไปด้วยแสงสีทอง อีกทั้งยังมีเส้นสีฟ้าครามและเขียวมรกตอีกมากมาย เส้นเหล่านี้เป็นเหมือนกับรูนและสัญลักษณ์ของคาถาซึ่งดูเหมือนจะมีไว้เพื่อสร้างวงเวทย์ขนาดใหญ่ ในเวลานี้เขายังไม่สามารถบอกได้ว่าองค์ประกอบที่เขาเห็นนี้คืออะไร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาก้าวเข้ามาถึงที่นี่ ความรู้สึกของมานาที่ไหลเวียนมาจากวงเวทย์ก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างฉับพลัน
ริชาร์ดรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังก้าวขึ้นไปยังวงเวทย์ ทว่านี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ศึกษามาก่อน ไม่เพียงแต่ความแตกต่างจากวงเวทย์ดั้งเดิมที่เขารู้จักเท่านั้นแต่เขายังไม่สามารถเข้าใจถึงความหมายของสัญลักษณ์ที่อยู่ภายในนี้ได้อีกด้วย วงเวทย์ชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ความรู้จากการศึกษาทฤษฎีเวทมนตร์ที่เขาเคยอ่านมาจะสามารถอธิบายได้
ทันใดนั้นเอง เขาก็หันไปเห็นรูปสลักขนาดใหญ่ที่อยู่กลางลาน มันมีความสูงกว่า 100 เมตร ซึ่งเป็นรูปสลัก 2 ของวอริเออร์ที่กำลังถือดาบอยู่ในมือ ใบหน้าของพวกเขามีเสื้อคลุมปรกอยู่ส่วนดาบที่อยู่ในมือมีลักษณะเรียบง่าย ทว่ารูนที่พวกเขาแบกอยู่นั้นมีลักษณะที่แปลกประหลาดอย่างมากเพราะตรงกลางใบมีดมีสีฟ้าครามแต่งแต้มอยู่อย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของรูปสลักอยู่ในท่าที่กำลังโค้งตัวเล็กน้อยราวกับว่ากำลังเคารพผู้ที่เหนือกว่าพวกเขา แม้ว่ารูปสลักนี้จะไม่มีชีวิต แต่ริชาร์ดก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจที่ส่งออกมามัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสัมผัสได้ถึงพลังและความเด็ดเดี่ยวในการสังหารที่หนักแน่นออกมาจากรูปปั้นพวกนี้ด้วย
ด้านหลังของรูปสลักทั้งสองเป็นเสาขนาดใหญ่ 2 ต้นที่มีความสูงประมาณ 100 เมตรและมันก็ยึดเข้ากับหลังคาทรงโดม ไม่ว่าจะเป็นเสาหรือเพดานต่างก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการใช้วัสดุจากหินชนิดเดียวกันทั้งหมด นอกจากนั้น เส้นเวทมนตร์ที่เป็นสีฟ้าครามและเขียวมรกตก็ยังปรากฏให้เห็นโดยรอบจนสร้างความแปลกใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะจ้องมองสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ใกล้มากเพียงใด เขาก็ยังไม่เจอกับรอยแยกของหินเลยแม้จุดเดียวจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าผลงานเหล่านี้อาจจะถูกสร้างออกมาโดยการใช้ก้อนหินขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว
แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ใครกันที่มีความสามารถในการแกะสลักผลงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้ ?
ริชาร์ดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง เขาหลับตาลงก่อนพยายามล้างความคิดที่อยู่ในหัวออกไป และเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะจ้องมองไปยังหลังคาโดมตรงประตูทรงโค้งที่ตรงกลางถูกเขียนไว้ว่า ‘เฟาสต์ ’ ดูเหมือนนี่ว่าจะถูกจารึกโดยการใช้เวทมนตร์เช่นเดียวกับที่ใช้ภายในนัวแลนด์ นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าชื่อของเมืองถูกแกะสลักด้วยเวทมนตร์คาถาแล้ว เขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานอื่นใดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างประตูโค้งมนขนาดมหึมานี้กับเมืองแห่งตำนานได้เลย