นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 62 การเดินทาง ตอนที่ 1
ริชาร์ดเดินทางออกจากดีพบลูทันทีที่ปฏิทินพลิกไปถึงวันแรกของเดือนเมษายน เขาเริ่มออกเดินทางโดยนำกระเป๋าสัมภาระติดตัวไปด้วย ฤดูใบไม้ผลิในครั้งนี้ไม่ได้หนาวเย็นมากเท่าไหร่นัก สายลมที่พัดผ่านมาอย่างบางเบานั้นพัดเอาความเย็นมากระทบร่างกายของเขาขณะที่เขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อเข้าสู่พรหมแดนของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์
เขากำลังเดินทางไปตามถนนเส้นเล็กที่นำพาเขาให้ออกห่างจากภูเขาเอฟเวอร์วินเทอร์ ในตอนนี้เขามาถึงเส้นทางหนึ่งซึ่งคดเคี้ยวพอสมควร มันทอดยาวมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือและต่อกับถนนเส้นหลักที่กว้างมากพอให้เขามองเห็นว่ามีรถม้า 4 คันเรียงหน้ากันได้อย่างสบาย ๆ ไปตามถนนนั้น คนเหล่านั้นล้วนกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์
ริชาร์ดตีบังเหียนม้าและหันหลังกลับไปมอง ซึ่งสิ่งที่เขามองเห็นในระยะไกลออกไปคือสิ่งปลูกสร้างอันตระการตาของดีพบลูที่ค่อย ๆ หายเข้าไปในหมอกจาง ๆ หลงเหลือไว้เพียงยอดแหลมสง่างามระยิบระยับให้เห็นอยู่ท่ามกลางหมอกเมฆ และเบื้องล่างของหมอกหนานั่นก็คืออ่าวโฟล ขณะที่ยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะของภูเขาเอฟเวอร์วินเทอร์นั้นสูงตระหง่านทะลุหมอกอยู่ในท้องฟ้า
สิ่งที่เขาทิ้งไว้ที่ดีพบลูไม่ใช่แค่เวลา 5 ปีของชีวิตเขา ทว่ามีความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นที่นั่น รวมไปถึงหนี้สินมูลค่ามากกว่า 20,000,000 เหรียญทองที่เขาใช้จ่ายไปเพื่อการศึกษาด้วย เขามองเงินที่ได้ภายใต้รายการ ‘ความสุขของชารอน’ ว่ามันคือหนี้สินที่เขาตั้งใจจะใช้คืนเลเจนดารี่เมจในอนาคตอย่างแน่นอน ในช่วง 2 ปีหลังนี้ เขาได้รับเงินมากกว่า 6,000,000 เหรียญผ่านการขายรูนให้กับแบล็คโกลด์ แม้ว่าเขาได้ใช้คืน ‘หนี้’ บางส่วนไปบ้างแล้วแต่แบล็คโกลด์ก็ไม่รู้เลยว่าทำไมริชาร์ดถึงยืนยันที่จะทำแบบนั้น ทว่าเขาก็ยิ่งกว่ายินดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อริชาร์ดไม่เคยโต้แย้งอะไรเลยเกี่ยวกับส่วนต่างมหาศาลระหว่างราคาซื้อและราคาขายของผลงานที่ริชาร์ดได้สร้างเอาไว้
และต่อให้ถึงวันที่ริชาร์ดสามารถใช้หนี้ก้อนนั้นได้จนหมด ความสุขของชารอนก็จะยังคงเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าของเขา เขาคิดว่ามันมีค่ามากกว่าเงินเพียงแค่ 20,000,000 เหรียญทองอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เจ้าหนุ่มริชาร์ด ถึงเวลาที่ต้องไปกันได้แล้ว” เสียงของมอร์เดร็ดดังขึ้นจากด้านหน้าซึ่งขัดจังหวะความคิดมากมายที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในหัวของเขา
ริชาร์ดถอนหายใจ เขากระตุ้นม้าศึกให้เดินต่อโดยเร่งความเร็วขึ้นไปให้เสมอกับมอร์เดร็ด มอร์เดร็ดมองที่ม้าศึกตัวนั้นและพยักหน้าเหมือนเป็นการเห็นชอบ “ม้านั่นดีใช้ได้” เขาเอ่ย
ม้าที่ริชาร์ดกำลังขี่เป็นม้าพิเศษของอ่าวโฟลซึ่งมันคือม้าศึกสวมชุดเกราะ นี่เป็นสายพันธุ์ที่พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูมานานกว่าสามชั่วอายุคน พวกเขาได้ทำการลดด้านที่ดุร้ายรุนแรงในสัญชาติญาณสัตว์ป่าของมันให้อ่อนลงโดยไม่ทำลายความสามารถของมัน
อย่างไรก็ตาม ม้าของริชาร์ดมีร่างสูงใหญ่กว่าม้าศึกสวมชุดเกราะทั่ว ๆ ไป ตัวของมันเล็กกว่าม้าของมอร์เดร็ดเพียงไซส์เดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้มันกำลังรู้สึกหงุดหงิด ทว่าริชาร์ดก็ควบคุมมันได้ดีจนมันสามารถเร่งฝีเท้าไปเทียบข้างม้าของมอร์เดร็ดได้อย่างไม่ยากเย็น ในมุมมองของมอร์เดร็ดแล้ว ม้าตัวใดที่สามารถเข้าใกล้ ‘ลาวา’ ม้าของเขาได้และไม่ล้มตึงไปนั้นถือว่าเป็นม้าที่ดีทีเดียว ลาวาของเขาตัวนี้ไม่เหมือนม้าธรรมดาทั่วไปเพราะมันเป็นม้าที่กินเนื้อเป็นอาหาร
ในการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย ลาวามักจะออกตัวก่อนอย่างจริงจังเสมอ มันมักเตะหรือแม้แต่กัดม้าของคู่ต่อสู้จนตาย นั่นทำให้มอร์เดร็ดถือไพ่เหนือกว่าและสังหารคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายในคราวเดียว ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงมีสัตว์มายาจำนวนไม่น้อยเลยที่พ่ายแพ้ให้แก่ฝีมือของลาวา และเจ้าลาวานั้นก็เช่นเดียวกันกับมอร์เดร็ดเพราะมันก็เปล่งแสงออร่าสีเลือดออกมาตลอดเวลาเช่นเดียวกับเขา
ริชาร์ดนั่งอย่างสบาย ๆ อยู่บนหลังม้า ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรจากออร่าสีเลือดที่เปล่งออกมาจากมอร์เดร็ดเลย ร่างกายของเด็กหนุ่มในตอนนี้เติบโตขึ้นมาก และถึงแม้จะมีบางส่วนที่คล้ายกับกาตอนแต่เขาก็ดูหล่อเหลาในแบบของเอลฟ์ซิลเวอร์มูนมากกว่า มีเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ฉาบบนใบหน้าเท่านั้นที่ปกปิดว่าความคิดทั้งหมดของเขาไม่ได้เป็นของทั้งเอเลน่าหรือกาตอน
มอร์เดร็ดมองรูปลักษณ์ที่เฉียบคมของริชาร์ดผ่านทางมุมด้านข้างและยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ การที่ริชาร์ดสามารถเดินทางไปข้าง ๆ เขาได้เรื่อย ๆ โดยไม่กังวลอะไร นั่นหมายความว่าเขาจะไม่ทำให้ใครขายหน้าในการต่อสู้นองเลือดที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน
เมื่อครั้งที่เรียนวิชาอยู่กับนายา ริชาร์ดเห็นเขาทรมานคนอื่นมาก็หลายต่อหลายครั้ง มีหลายครั้งที่เขาต้องเห็นการสอบสวนที่นองเลือดและน่าหวาดกลัวมากกว่าเหตุการณ์ของบลัดแพร์รอท และพอถึงครั้งที่ 3 เขาก็ไม่ต้องพึ่งถังไม้สำหรับอาเจียนอีกต่อไป ครั้งที่ 5 เขาก็เริ่มช่วยเหลือนายาได้ ครั้งที่ 8 เขามีพละกำลังมากพอที่จะช่วยทำความสะอาดห้องครัวของนายา ! เมื่อเทียบกับกลิ่นที่คละคลุ้งในห้องครัวของนายาแล้ว ริชาร์ดแทบไม่รู้สึกถึงออร่านองเลือดที่แผ่มาจากมอร์เดร็ดเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ความกระหายเลือดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของมอร์เดร็ดก็เป็นสิ่งที่นายาไม่มีทางที่จะเทียบเทียมได้
ในอดีตเมื่อตอนที่มอร์เดร็ดเดินทางไปยังรูสแลนด์เพื่อไปรับตัวริชาร์ดและเอเลน่านั้น เขาได้นำทัพไนท์ระดับกลางที่สวมชุดเกราะหนัก ๆ รวมไปถึงทหารม้าอีก 2 คนไปกับเขาด้วย แต่ในตอนนี้ที่เขาเดินทางไปรับตัวริชาร์ดที่ดีพบลูใน 5 ปีถัดมา เขาพาไนท์มาด้วยเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
ไนท์ทั้งสองที่เขาพามาก็คือรูนไนท์ แต่ทั้งคู่เป็นรูนไนท์ระดับ 2 ที่อ่อนแอกว่ากองทหารที่มอร์เดร็ดนำทัพไปยังรูสแลนด์ในอดีตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่กองทหาร 2 กองก็ต้องใช้เวลาและความพยายามไม่น้อยเลยหากต้องการจัดการกับพวกเขาทั้งสองนี้
กลุ่มเล็ก ๆ ของคน 4 คนและม้า 5 ตัว เดินทางต่อไปอย่างช้า ๆ เพื่อไปยังดินแดนที่ไร้ขอบเขตระหว่างภูเขาและทะเล ส่วนม้าตัวที่ 5 ซึ่งเป็นตัวที่เพิ่มมานั้นทำหน้าที่ขนกระเป๋าสัมภาระเล็ก ๆ ที่พวกเขานำติดตัวมาด้วย
ในความเป็นจริงแล้วยังมีวิธีการเดินทางไกลอีกหลายวิธีในทวีปนัวแลนด์ หากมีจำนวนเงินมากพอ การเลือกเดินทางโดยใช้ไวเวิร์น 2 ขาและกริฟฟินที่ได้รับการฝึกฝนก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยในการพาผู้คนเดินทางไปตามเส้นทางที่กำหนด ไหนจะมอสแลน นกเหยี่ยว 2 หัวที่มีรูปร่างใหญ่โตก็เป็นอีกวิธีที่มีความโดดเด่นในด้านความอดทนและความสามารถในการบินระยะไกลโดยมันสามารถบินได้ไกลถึง 3,000 กิโลเมตรภายใน 1 วัน 1 คืนเลยทีเดียว นอกจากนี้ เรือลอยน้ำที่มีชื่อเสียงของกลุ่มคนแคระก็นับเป็นปาฏิหาริย์ที่สร้างขึ้นโดยเทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งมีการตกแต่งภายในที่สะดวกสบายภายในห้องเครื่อง อย่างไรก็ตาม ความอันตรายและต้นทุนของวัสดุการเล่นแร่แปรธาตุนั้นมีมูลค่าสูงกว่าการฝึกฝนให้อสูรเชื่อง ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิธีหลังนี้จึงไม่น่าพอใจเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถทนต่อแรงลมและความหนาวเย็น รวมถึงภาวะไร้น้ำหนักที่มักเกิดขึ้นจากการเดินทางผ่านทางท้องฟ้าอากาศได้นั้น การเดินทางทางน้ำก็นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ทางเลือกนี้ได้รวมเรือขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยเวทมนตร์เอาไว้แล้ว มันสามารถเดินทางได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อวัน ในขณะเดียวกัน วาฬมาชาบาลีนที่เชื่องแล้วก็สามารถเดินทางได้ไกลในระยะเดียวกับเรือดังกล่าว ทว่าการเดินทางโดยวาฬนั้นจะมีความสั่นสะเทือนมากกว่า
จากจุดแข็งและสถานะของตระกูลอาเครอนในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าริชาร์ดสามารถจ้างกริฟฟินได้มากพอที่จะข้ามไปมาระหว่างดีพบลูและเฟาสต์เป็นจำนวน 2–3 ครั้งได้เลยหากเทียบกับจำนวนเงินที่เขามีในปัจจุบัน เพราะทองคำจะดูมีมูลค่ามากขึ้นเมื่อห่างไกลออกมาจากดีพบลู
แต่แทนที่มอร์เดร็ดจะเลือกวิธีการเดินทางโดยการขี่กริฟฟินซึ่งจะสำเร็จได้ภายใน 1 สัปดาห์นั้น เขากลับเลือกวิธีการเดินทางไกลนี้โดยการขี่ม้า ด้วยวิธีนี้ มีโอกาสมากที่พวกเขาจะพบกับอันตรายต่าง ๆ และรวมระยะทางทั้งสิ้นที่ต้องเดินทางก็จะลากยาวไปราว ๆ 1 เดือน ในมุมมองของริชาร์ดนั้น 1 เดือนที่จะสูญเสียไปนี้เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่ามากและไม่อาจวัดได้ด้วยจำนวนเงิน ตอนนี้เขามีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการสร้างรูนขั้นพื้นฐาน และด้วยการศึกษาเพิ่มเติมอย่างหนักหน่วง เขาจะสามารถฝึกฝนการสร้างรูน[อจิลิตี้ขั้นพื้นฐาน]ต่อไปได้ และอาจจะสร้างรูนได้ถึง 2 อันโดยใช้เวลาเพียงแค่ 1เดือน และเมื่อหักลบจากต้นทุนของวัตถุดิบแล้ว การจะได้เงินสัก 2–3 แสนเหรียญก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ดังนั้นเขาจึงแสดงความเห็นคัดค้านมอร์เดร็ดตั้งแต่ในตอนแรก ทว่ามอร์เดร็ดยืนกรานว่านี่คือการตัดสินใจของกาตอน
เฟาสต์ตั้งอยู่ห่างจากดีพบลูมากกว่า 7,000 กิโลเมตรในระยะการบินของนกกา และหากพิจารณาภูมิประเทศที่จำกัดแล้ว การเดินทางโดยม้าในระยะห่างที่เท่ากันก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็นระยะทางที่ไกลถึง 15,000 กิโลเมตร ที่มันไกลเช่นนี้เป็นเพราะการเดินทางต้องผ่านทั้งภูเขา ป่า แม่น้ำ และพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมายซึ่งแน่นอนว่าย่อมใช้เวลามาก และพวกเขายังจะต้องเดินทางผ่านดินแดนของตระกูลต่าง ๆ ที่มุ่งร้ายต่อตระกูลอาเครอนมากถึง 10 ดินแดนด้วย และด้วยเหตุนี้ก็สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นมากมายในระหว่างการเดินทางครั้งนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยังไงก็คือการตัดสินใจของกาตอน เขาต้องการให้ริชาร์ดได้ฝึกฝนผ่านการต่อสู้ที่ต่อเนื่องซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างทางเพื่อให้ริชาร์ดได้ประสบการณ์โดยตรงจากการต่อสู้และเรียนรู้การร่วมมือกันกับรูนไนท์ รวมไปถึงกองกำลังต่อสู้ที่ชุลมุนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นเมจมือใหม่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อวันที่ริชาร์ดเดินทางเข้าสู่เฟาสต์ กาตอนหวังว่าเขาจะมีประสบการณ์การต่อสู้ติดตัวมาด้วยแล้ว