นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 35 ลอบสังหาร
ชายหนุ่มหันไปจ้องหน้าเอรินทันทีที่นางคัดค้านออกมา และรีบโต้กลับคำพูดนั้นเพื่อหาความเป็นธรรมให้กับตนเอง “แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าจนตรอกเช่นนี้ กฎของดีพบลูกำหนดให้พวกข้ามีสิทธิ์เรียกเงินคืนจากเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่พวกข้าต้องการ ถ้าเจ้าไม่อยากจ่าย เจ้าก็ต้องมาทำงานกับข้าเพื่อแลกกับหนี้สินที่เจ้ายืมไป ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ต้องออกไปจากดีพบลูซะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหน้ามาทางริชาร์ดด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม “ท่านลอร์ดริชาร์ด พวกข้าอาจจะไม่สมควรที่จะมาปรากฏตัวที่นี่ แต่พวกข้าก็ทำตามกฎภายในนี้ไม่ได้ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ท่านชารอนเคยพูดไว้ว่าสัญญาที่ทำขึ้นจะคุ้มครองความเป็นธรรมให้กับเจ้าหนี้ทุกคน และผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่เคยคืนเงินหรือจ่ายดอกเบี้ยให้กับพวกเราเลยแม้แต่เหรียญเดียว สิ่งที่นางกำลังทำมันขัดแย้งกับกฎภายในดีพบลูแห่งนี้ !ดังนั้นท่านต้องไม่หลงเชื่อเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกของนาง!”
แม้ว่าท่าทีของเขาจะดูเหมือนให้ความเคารพกับริชาร์ดอยู่มากแต่คำพูดของชายผู้นั้นกลับแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและไม่ยอมใครออกมาอย่างชัดเจนเช่นกัน ถึงแม้ว่าดีพบลูจะไม่ได้มีกฎมากมายเท่าไหร่นัก แต่กฎที่มีอยู่ทุกข้อก็มีความแข็งแกร่งและทรงพลังในตัวของมันเอง ความแข็งแกร่งนั้นมากยิ่งกว่าเกราะเหล็กที่แข็งกล้า ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ละเมิดกฎเหล่านั้นได้แม้จะเป็นเหล่าแกรนด์เมจเองก็ตาม และแน่นอนว่านั่นหมายถึงริชาร์ดด้วยเช่นกัน
ริชาร์ดขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองเอริน ชั่วครู่หนึ่งที่สบตากัน เขาก็พบร่องรอยความหวาดกลัวภายในดวงตาคู่นั้นก่อนที่นางจะหลบสายตาไปไม่กล้าสู้หน้าเขา เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็ปลดปล่อยไฟร์บอลในมือให้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที ซึ่งไฟร์บอลลูกนั้นได้ระเบิดกระจายออกจนกลายเป็นลูกไฟขนาดเล็กจำนวนมาก
การควบคุมเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมนี้ทำให้ชายทั้งสามหน้าถอดสี พวกเขาก้าวถอยหลังออกไปด้วยความตกใจ ทว่าในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาทำมีเหตุผลเพียงเพราะหากพวกเขาถูกริชาร์ดทำร้ายจนบาดเจ็บหรือพิการในขณะที่เขากำลังอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะได้รับเหรียญเป็นค่าชดเชย ซึ่งนั่นก็อาจจะพอคุ้มค่าอยู่บ้าง
ดวงตาของริชาร์ดกวาดมองไปที่คนทั้งสามก่อนจะกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะเป็นคนจ่ายหนี้สินของนางให้ พวกเจ้าไสหัวออกไปซะ!”
“แต่…” 1 ใน 3 คนนั้นเปล่งเสียงออกมาราวกับยังไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน พร้อมทั้งเหลือบมองไปยังเอรินที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของริชาร์ด
ทว่าริชาร์ดยิ้มเหี้ยมเกรียมให้กับพวกนั้น “อะไร ยังข้องใจอะไรอีก ?”
ชายทั้งสามใบหน้าซีดเซียวและไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อจากนั้น หัวหน้ากลุ่มจ้องไปยังเอรินก่อนตะโกนใส่นางด้วยน้ำเสียงดุดัน “ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าให้ข้าเห็นเจ้ามาคนเดียวก็แล้วกัน!”
ริชาร์ดหันมองเขาด้วยสายตาที่น่ากลัวอีกครั้งจนทำให้คนเหล่านั้นเร่งฝีเท้าล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว เขาก็หันกลับมามองหญิงสาวที่ยังคงเอาแต่ยืนกอดตัวเองอยู่เงียบ ๆ เขาจึงถอนหายใจแล้วถามออกไป “เจ้ายืมคนพวกนั้นไปเท่าไหร่ ?”
“หนะ… หนึ่ง… หนึ่งพันสองร้อยเหรียญ” เสียงของเอรินแผ่วเบาและสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ ไหล่ของนางกระตุกขึ้นลงเบา ๆ และสั่นไหวจนสังเกตได้ นั่นชัดเจนแล้วว่านางกำลังแอบร้องไห้ นางพยายามก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตาแต่ไหล่และลำตัวบางกำลังขยับโยกจากแรงสะอื้นอย่างเห็นได้ชัด
ริชาร์ดอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างกับนางแต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเงียบและทำเพียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขายังจำช่วงเวลาในตอนที่เอรินบอกกับเขาว่าไม่ต้องการ ‘ใช้’ เงินของเขาได้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนว่า 1 ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงตัวนางไปจนหมด หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไม่บอกจำนวนหนี้สินที่มีออกมาเช่นนี้อย่างแน่นอนทว่าในตอนนี้นางละทิ้งความบริสุทธิ์ ความภาคภูมิใจในตัวเอง รวมถึงความเย่อหยิ่งที่เคยมีไปจนหมดสิ้น สาวน้อยที่โผล่หน้าเข้ามาที่ประตูห้องน้ำของเขาด้วยอารมณ์ที่สดใสในตอนนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ริชาร์ดรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกบีบรัดจนอึดอัดและเจ็บปวดโดยไม่ทันตั้งตัว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคำพูดที่คนเหล่านั้นพูดกับเอรินว่า ‘ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเอาตัวเข้าแลกกับผู้ชายเพื่อเงินมาก่อน’ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คงจะเป็นเพราะนางต้องมาจนปัญญาเพียงเพราะเงินแค่ 1,200 เหรียญ
1 ปีก่อนหน้านี้เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่เขาใช้จ่ายสำหรับค่ามานาโพชั่นเพียง 2 ขวด ซึ่งใช้สำหรับการทดสอบเวทมนตร์ของเขา ทว่าในตอนนี้เขาไม่ได้ดื่มมานาโพชั่นธรรมดาแบบนั้นอีกแล้วเพราะมันด้อยประสิทธิภาพและช้ากว่าที่ควรจะเป็นสำหรับตัวเขาไปแล้ว ในตอนนี้เขาจึงไม่ได้สนใจรายจ่ายในแต่ละเดือนที่เขาได้รับอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะเป็นเลขศูนย์ 4 ตัว หรือจะเป็นเลขเก้า 4 ตัว ก็ไม่ได้มีความหมายแตกต่างกัน
เขาเงียบไปโดยมีอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายอัดแน่นผันผวนกันอยู่ในดวงตาคู่คมจนยากที่ใครจะมาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้ เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบว่า “ข้าจะคืนเงินเหล่านี้ให้ทั้งหมด ยังมีอะไรอีกไหม ?”
เอรินแสดงท่าทีลังเลก่อนพูดเสียงแผ่วเบาคล้ายกระซิบ “คะ… คือว่า ข้ายืมเงินจากคนอื่นอีก 2-3 คนเป็นจำนวน 400 เหรียญ แต่ข้าจะหาทางออกด้วยตัวข้าเอง…”
ทว่าเขากล่าวแทรกขึ้น “ทั้งหมด 1,600 เหรียญ ใช่หรือไม่ ? ไม่มีปัญหา”
เอรินรีบเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของนางก่อนที่จะเงยหน้ามองเขาตรง ๆ นางมองจ้องเขาและส่งยิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าบนใบหน้าของคนที่กำลังจนมุม พร้อมกันนั้นนางก็ใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองให้เข้าที่ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยแต่มั่นคงขึ้นมากกว่าเดิม “ข้าขอบคุณมาก ๆ แต่ข้าไม่มีปัญญาคืนเงินจำนวนมากขนาดนั้นให้หมดในครั้งเดียวหรอกนะ ข้าจะต้องหาเงิน และอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งปี… ในตอนนี้นอกจากตัวของข้าแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรเลย หากเจ้าต้องการตัวข้า เจ้าสามารถเรียกข้าได้ตลอด…”
ริชาร์ดทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่นางกำลังพูด เขาหยิบกระดาษออกมาเขียนรายการลงไปในนั้น และเซ็นชื่อกำกับอย่างรวดเร็วและยื่นมันให้กับนางทันทีก่อนที่นางจะพูดจบ จากนั้นเขาก็ตั้งท่าเดินกลับไปยังที่พักของเขาโดยไม่กล่าวอำลา
ทว่าทันทีที่เขาก้าวเท้าออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว หญิงสาวก็ยกมือขึ้นกอดตัวเองแน่นแล้วทรุดฮวบลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ท่าทางที่น่าสงสารนั้นทำให้ริชาร์ดถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินกลับมาหานาง นางเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนกระซิบบอกกับเขาว่า “ข้า… ข้าแค่กลัว ข้าขอโทษ…”
“กลัวคนพวกนั้น ?”
นางพยักหน้าเงียบ ๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงยื่นมือออกมาตรงหน้าและส่งมันให้กับนางก่อนจะพูดขึ้นว่า “งั้นก็ไปกัน ข้าจะไปส่งเจ้า ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหากเจ้าเดินไปกับข้า ยังมีใครกล้าทำอะไรเจ้าอีกรึเปล่า ?”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยเจตนาที่ต้องการสังหาร ในตอนนี้เขาได้ให้สัญญากับนางแล้วว่าจะจ่ายหนี้ของนางให้ และแน่นอนว่าเขาสามารถส่งใครก็ตามที่กล้ามารังควานไปลงนรกได้ไม่ยากหากพวกเขากล้าสร้างปัญหา เพียงแต่ในตอนนี้เขาไม่สนใจที่จะให้บทเรียนใด ๆ กับคนเหล่านั้นก็เท่านั้น
พื้นที่หลักของดีพบลูมีกฎที่แตกต่างจากบริเวณเขตพื้นที่ส่วนที่เป็นชายแดนอย่างมาก เพราะโดยปกติถ้าเป็นพื้นที่ชายแดน เมื่อมีการสังหารใครสักคนเกิดขึ้น ผู้สังหารจะต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นการชดใช้ แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามทำการยั่วยุหรือสร้างความอับอายให้กับผู้กระทำผิดก่อน ผู้กระทำผิดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยในส่วนนั้น
เอรินยื่นมือมาจับมือของเขาเพื่อให้เขาฉุดให้นางลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะปล่อยมือของเขาออก แล้วนางก็ออกเดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ ถนนจากหอคอยหลักที่มุ่งหน้าไปทางเขตชายแดนค่อนข้างไกลและเงียบสงัด ในตอนนี้ มีผู้สัญจรไปมาเพียงคนสองคนเท่านั้นที่กำลังเดินอยู่ภายใต้ความมืดของเส้นทางนี้ และคนเหล่านั้นต่างพากันก้าวเดินอย่างเร่งรีบโดยไม่มีใครหันมาสนใจพวกเขาทั้งสองเลย ความคึกคักสูญหายไปหมดแล้ว ในเวลานี้ทุกคนต่างเร่งเดินทางกลับบ้านเพื่อพักผ่อนและรอต้อนรับงานในเช้าวันใหม่ที่รอพวกเขาอยู่
ริชาร์ดและเอรินก้าวเดินอย่างเงียบ ๆ ไปตลอดทาง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนทำให้พวกเขาต่างไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะพูดต่อกัน
บ้านของเอรินอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ตรงบริเวณสุดขอบชายแดน ที่พักของนางตั้งอยู่ในพื้นที่แออัดที่ไม่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกของดีพบลูได้ หน้าต่างภายในห้องของนางที่น่าจะเป็นสิ่งประดับตกแต่งเพียงอย่างเดียวถูกติดตั้งไว้เพื่อให้เปิดไปเจอกับผนังห้องพักอื่น และแสงสว่างที่เกิดขึ้นภายในห้องก็มาจากตะเกียงธรรมดา ๆ เพียงดวงเดียว
บริเวณเขตพื้นที่ชายแดนนี้ รูปทรงของบ้านจะมีลักษณะเดียวกันทั้งหมด และหน้าต่างเหล่านั้นก็ล้วนแต่เปิดให้เห็นได้เพียงพื้นที่สี่เหลี่ยมที่อยู่รอบข้างเท่านั้น คนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ ดีพบลูต่างก็เลือกที่จะมาอาศัยอยู่ตรงชายแดนมากกว่า ถึงแม้ว่าบ้านในส่วนนี้จะมีภายในบ้านที่มืดอย่างมากก็ตาม เพราะขอแค่อยู่ภายในอาณาเขตรั้วของดีพบลูได้ก็ถือว่ามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ดีมากกว่าเมืองรอบ ๆ ที่พวกเขาเคยอยู่มากมายแล้ว
หลังจากที่ส่งเอรินตรงหน้าประตูพร้อมจดจำสถานที่พักของนางแล้ว เขาก็หันหลังเดินจากไปทันที เขาจงใจที่จะไม่สบสายตาของนางก่อนที่จะจากมา ค่ำคืนที่มืดมิดในที่แห่งนี้เงียบสงัดมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ สายลมหนาวที่พัดผ่าน และน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำในตะเกียงทำให้เปลวไฟกะพริบไหวไปมาตามแรงลมรวมถึงทำท่าริบหรี่ราวกับจะดับลงได้ทุกเมื่อ เงาจากเพลนอื่นที่มีขนาดใหญ่ราวกับสัตว์ประหลาดคืบคลานไปทุกพื้นที่ และมันดูราวกับพร้อมที่จะกระโดดออกมาล่าเหยื่อได้ตลอดเวลา
ริชาร์ดรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บจากบางสิ่งบางอย่างที่กำลังย่างกรายเข้ามา ที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับส่วนนอกสุดของดีพบลูที่อยู่ติดกับเส้นกั้นเขตแดนและอุณหภูมิในตอนนี้ก็คือ -10 องศา นี่ทำให้แม้ว่าเสื้อคลุมของเขาที่ทำจากผ้าและวัสดุเนื้อดีกว่าเสื้อคลุมแบบปกติยังไม่สามารถกันความหนาวได้ อย่างไรก็ตาม ความหนาวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความหนาวที่มาจากธรรมชาติ ความดำมืดและความชื้นที่เย็นจัดราวกับธารน้ำแข็งที่ไม่เคยถูกแสงอาทิตย์ทำให้ละลายมามากกว่าหมื่นปีปะทะเข้ากับร่างกายของเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกคล้ายกับตัวเองกำลังอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานเลื้อยยั้วเยี้ยไปมาอยู่ด้านหลัง และถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บ แต่เขากลับรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลซึมทั่วร่างกายจนทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เหนียวเหนอะหนะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะปลดกระดุมตรงปกคอเสื้อคลุมออก
ทว่าเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้าที่ปกคอเสื้อ ความร้อนระอุสายหนึ่งก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ! สัญลักษณ์ตรงปกคอเสื้อของเขาเริ่มเปล่งแสงพร้อมทั้งส่งความร้อนออกมา นี่เป็นสิ่งพิเศษที่ศิษย์ฝึกหัดของชารอนเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง นอกจากมันจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานะของเขาแล้ว มันยังสามารถเป็นเครื่องมือในการตรวจจับศัตรูที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย เมื่อใดก็ตามที่สัญลักษณ์นี้ส่งความร้อนออกมานั่นหมายถึงในตอนนี้ศัตรูของเขากำลังอยู่ใกล้ ๆ เขาแล้ว และมันยังช่วยบ่งบอกอีกด้วยว่า ศัตรูเหล่านั้นกำลังมีเจตนาที่จะสังหารเขาให้ตายอย่างชัดเจน!
ริชาร์ดตัวแข็งทื่อ เงามนุษย์ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของเขาแล้วพุ่งตัวเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ความว่องไวของคนผู้นี้ราวกับเสือชีต้าห์เลยทีเดียวเพราะเพียงพริบตาเดียวเขาและกริชสีเทาหม่นในมือก็พุ่งเข้าถึงตัวของเขาอย่างรวดเร็ว
การโจมตีในครั้งนี้โหดเหี้ยมและเฉียบขาด ไร้ซึ่งความปราณี และดูเหมือนว่าจะเป็นการโจมตีระยะใกล้ ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะเป็นวอริเออร์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะหลบหลีกการโจมตีนี้ได้ แน่นอนว่ากับอโคไลท์ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่อย่างเขายิ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ การโจมตีในลักษณะนี้ต้องเป็นฝีมือของพวกแอสซาซินอย่างแน่นอน แอสซาซินและอาเชอร์จัดว่าเป็นศัตรูที่น่ากลัวของเหล่าเมจ เพราะแอสซาซินสามารถต่อสู้ในระยะประชิดได้ดีขณะที่อาเชอร์สามารถจัดการเมจจากระยะไกลได้
โชคยังดีที่กริชสีเทาหม่นนั้นไม่ได้จู่โจมเข้าใส่ร่างกายของเขาโดยตรงแต่มันพุ่งเข้าปะทะกับเสื้อคลุมของเขาแทน และด้วยเนื้อผ้าที่ทำจากวัสดุชนิดพิเศษทำให้อาวุธนั้นไม่สามารถแทงทะลุเสื้อคลุมได้ และทันใดนั้นเอง แอสซาซินก็พุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง เขาแทงกริชในมือเข้าใส่ริชาร์ดก่อนจะเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เสื้อคลุมเวทมนตร์ของเขาเปล่งแสงเรืองสีเหลืองและปลิวขึ้นกลายเป็นโล่กำบังในการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามให้เขาในทันที
ในตอนนั้นเองแอสซาซินก็รู้สึกคล้ายกับว่าแขนและอาวุธของเขาติดแหง่กอยู่ในโคลนที่ข้นเหนียว มันยากเกินกว่าที่จะสะบัดอาวุธในมือของเขาให้หลุดออกมาได้ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำการลอบสังหารเมจ ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้เขารู้วิธีการรับมือกับโล่เวทมนตร์เช่นนี้เป็นอย่างดี เขายังคงมุ่งเน้นกดปลายมีดไปยังจุดเดิมขณะที่เพิ่มการออกแรงผลักดันให้มันเข้าไปลึกมากขึ้น ไม่นานนักก็เกิดเสียงดังลั่นและมีรูขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนเสื้อคลุมของริชาร์ดอย่างฉับพลัน
ทว่าอีกด้านของเสื้อคลุมของริชาร์ดกลับว่างเปล่า แอสซาซินอาศัยเวลาในเสี้ยววินาทีนั้นสะบัดอาวุธออกไปจากมือ ส่วนริชาร์ดเองก็ใช้โอกาสนี้พุ่งตัวหลบหนีเข้าไปในซอยมืดที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรอย่างรวดเร็ว
แอสซาซินยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเพราะเส้นทางที่ริชาร์ดมุ่งหน้าไปยังมีคนของเขาดักรออยู่ ทว่าตัวเขาเองก็ไม่คิดที่จะปล่อยริชาร์ดไป เพราะตามข้อตกลงแล้ว หากใครที่สามารถฆ่าริชาร์ดให้ตายได้ คน ๆ นั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้รับเงินค่าจ้างทั้งหมด เมื่อคิดได้เช่นนั้น แอสซาซินก็รีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเพื่อตามประชิดริชาร์ดอีกครั้ง
อาจจะเป็นเพราะความเร่งรีบจึงทำให้ริชาร์ดสะดุดล้มลงกับพื้น เขารีบคว้าแท่งเหล็กที่อยู่ด้านข้างตรอกเอาไว้เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า แอสซาซินที่อยู่ห่างจากริชาร์ดเพียงเล็กน้อยก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจเพราะเห็นถึงช่องทางที่จะจู่โจมฝ่ายตรงข้าม และดูเหมือนว่าตัวเขาจะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ริชาร์ดมากที่สุดด้วย นั่นหมายความว่าเขาสามารถที่จะฆ่าริชาร์ดได้ก่อนคนอื่น ๆ และจะฆ่าได้ก่อนที่ริชาร์ดจะหลบหนีออกจากที่แห่งนี้ไป และแม้ว่าริชาร์ดจะคิดหาทางหลบหนี แต่มันก็ยากเกินกว่าจะทำได้แล้วในตอนนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่ามันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเช่นกันที่จะคว้าริชาร์ดไว้ก่อนที่อีกคนจะลงมือฆ่า แอสซาซินจึงรีบใช้กริชของเขาแทงไปที่ชายโครงของริชาร์ดอย่างรวดเร็ว
ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าริชาร์ดจะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในตัวของเขาออกมาแล้วด้วยแท่งเหล็กที่อยู่ในมือ เขาใช้เหล็กท่อนนั้นวาดเป็นครึ่งวงกลมในอากาศโดยใช้ร่างของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง อย่างไรก็ตาม แอนซาซินรีบเข้าโจมตีจนเสียงอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับฝาผนังดังขึ้นอย่างรุนแรงทว่าความพยายามในการโจมตีของแอสซาซินกลับไม่เกิดผลใด ๆ และเป็นเพราะพลังที่แข็งแกร่งที่เขาใช้แทงริชาร์ดเข้าไปนั้น มันแรงมากเกินไปจนทำให้เขาไม่สามารถที่จะควบคุมทิศทางของมันเอาไว้ได้ ร่างกายของมือสังหารเอนไปด้านข้างของริชาร์ดอย่างควบคุมไม่อยู่และในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการเผยจุดอ่อนทั้งหมดบนร่างกายของเขาให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นแล้ว แต่โชคยังดีที่ริชาร์ดเป็นเพียงแค่เมจ หากเขาเป็นแอสซาซินเช่นเดียวกันล่ะก็ คงจะเกิดเรื่องน่ากลัวกับแอสซาซินตัวจริงอย่างเขาไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ความโชคดีของแอสซาซินที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนว่าจะมีอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเขาสังเกตเห็นมือขวาของริชาร์ดที่บิดลงพร้อมด้วยการดึงเอาแท่งเหล็กที่ยาวกว่า 3 ฟุตออกมาจากกำแพงเพื่อใช้มันให้เป็นเสมือนมีดนั้น เขาก็หน้าซีดไป แต่ริชาร์ดก็ไม่รอช้า เขาแทงแท่งเหล็กเข้าไปยังซี่โครงของแอสซาซินอย่างรวดเร็วก่อนหมุนแท่งเหล็กยาวที่ในตอนนี้เสียบอยู่ในร่างกายของแอสซาซินคนนั้นเล็กน้อยเพื่อให้มันทะลุผ่านซี่โครงไปยังกระดูกสันหลังของเขา
ริชาร์ดต้องการทำลายเส้นประสาทในกระดูกสันหลังนั้นอย่างเลือดเย็น ! การโจมตีของเขาทำให้เกิดช่องโหว่ตรงหน้าท้องของแอสซาซิน และเขารู้ดีว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ถึงตายได้ การถูกจู่โจมเช่นนี้แม้แต่เหล่าเคลริคระดับสูงก็ยังรับมือกับมันได้ยาก วิธีการต่อสู้ของริชาร์ดนั้นถือเป็นเทคนิคอันแสนโหดเหี้ยมและงดงามที่ถูกใช้กันของเหล่าคนในโลกมืดซึ่งในตอนนี้เทคนิคที่ว่ากำลังช่วยให้เขาเอาชนะการต่อสู้ได้อย่างน่าพึงพอใจ