นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 34 ตะกอนแห่งความทรงจำ
ร่างของมินนี่กระแทกเข้ากับกระจกสไตล์ฝรั่งเศสอย่างรุนแรง มาถึงตอนนี้กระจกคลาสสิคเคิลไฟรด์ดานูป ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันคู่ควรกับราคา 1,000 เหรียญต่อตารางเมตรอย่างไร การกระแทกอย่างแรงเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้มันได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้มินนี่ดูไม่ต่างจากตุ๊กตาไร้ชีวิตที่ถูกกระทำอย่างไร้ความปราณี นางเซล้มลงจนศีรษะกระแทกเข้ากับพื้น ร่างของนางหยุดนิ่งไม่ไหวติงไปชั่วขณะ เลือดจากศีรษะไหลรินลงสู่พื้นที่แวววาวราวกับมันคือสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงค่อยเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง นางใช้มือยึดพื้นไว้ก่อนที่จะพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก เลือดยังคงไหลลงมาอาบแก้มที่อมชมพูของนาง ไม่เพียงแต่หน้าผากเท่านั้น มุมปากและจมูกของนางก็มีเลือดไหลลงมาด้วย มินนี่ใช้มือสัมผัสบนใบหน้าของนางเองขณะรับรู้ถึงความอุ่นของเลือดที่ไหลรินลงมา เมื่อเห็นว่ามือเต็มไปด้วยเลือดสีแดง นางก็รีบเอามือป้ายเข้าที่เสื้ออย่างรวดเร็วก่อนจะรีบฉีกกระโปรงของตนเองมาซับเลือดบริเวณหน้าผาก นางใช้ผ้าที่เปื้อนเลือดผืนนั้นมัดผมเข้าด้วยกันแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
สตีเว่นยังคงยืนอยู่อย่างนั้น หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วตามจังหวะการหายใจที่หนักหน่วง และด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุนั้นทำให้กล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้ผิวหนังของเขากระตุกอย่างรุนแรงจนเห็นได้ชัด หมัดที่กำไว้แน่นทำให้เกิดเสียงกระดูกดังลั่นขึ้นจนน่าหวาดกลัว ดราก้อนวอล็อคมีร่างกายที่ทรงพลัง หากไม่เทียบกับเหล่าวอริเออร์ก็ถือว่าร่างกายของเขามีความแข็งแกร่งกว่าเมจระดับปกติอย่างมาก ซึ่งนั่นทำให้การโจมตีที่เกิดจากความโมโหมีความรุนแรงและทรงพลังกว่าเดิมหลายเท่า
มินนี่เดินกะเผลกไปยืนตรงหน้าสตีเว่น นางหลับตาลงพร้อมรับการทารุณจากสตีเว่นอีกครั้ง ชุดกระโปรงขาวที่สวยงามของนางก่อนหน้านี้ บัดนี้ถูกเติมแต่งไปด้วยเลือด ใบหน้าที่งดงามซีกหนึ่งก็ถูกแทนที่ด้วยเลือดที่ไหลลงมาจากหน้าผากอย่างน่าเวทนาเช่นกันทว่านางก็ยังคงนิ่งเฉยด้วยความสงบและไม่เปล่งเสียงร้องหรือวิงวอนขอความเมตตาใด ๆ นางรู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นจะสร้างความโกรธให้กับฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการปล่อยให้ความเงียบครอบงำ
หางตาของสตีเว่นกระตุกขึ้น ทันใดนั้นเขาก็กระชากคอเสื้อของมินนี่พร้อมกับฉีกส่วนบนของเสื้อออกเป็น 2 ส่วน เขาผลักนางและกระชากเสื้อชั้นในของนางออกจนเผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่เปลือยเปล่า
ร่างตรงหน้าที่เขาเห็นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย เพราะผิวพรรณขาวผ่องที่เคยเปล่งปลั่งก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นซีดเซียวและมีรอยฟกช้ำไปทั่วซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับแจกันหยกแกะสลักที่ถูกทุบจนแตกไปทั่วทุกส่วน
เขาหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง เวลาผ่านไปประมาณ 2–3 นาทีก่อนที่เขาจะกลับเข้าสู่โหมดปกติได้อีกครั้ง ทว่าสายตาที่แดงก่ำของเขายังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม เขาจ้องมองมินนี่และเอ่ยกับนางว่า “ช่วงสองสามวันนี้เจ้าไม่ต้องเข้าเรียน พักผ่อนและฟื้นตัวอยู่ที่นี่ ข้าจะเรียกเคลริคมาเพื่อรักษาบาดแผลบนใบหน้าให้กับเจ้า”
สตีเว่นหยุดพูดและได้แต่ก้าวเท้าเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง และเมื่อเขาหยุดการเคลื่อนไหว กำปั้นของเขาก็แกว่งไกวชกเข้ากลางอากาศอย่างรุนแรงราวกับว่านั่นจะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเครียดในครั้งนี้ไปได้ และเขาก็กล่าวขึ้นมาอีกหน “ถึงเวลาที่จะต้องจัดการทุกอย่างแล้ว สถานการณ์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป หลังจากที่ใบหน้าของเจ้าหายดีแล้ว เจ้าจงไปหาเอรินซะ ในเวลานี้นางมีประโยชน์แล้ว ข้ารู้ดีว่าเจ้ารู้ว่าต้องจัดการกับมันยังไง !”
มินนี่พยักหน้ารับคำสั่งจากเขา สตีเว่นโบกมือให้นางเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นมินนี่จึงลากร่างที่บอบช้ำของตนไปยังห้องนอนก่อนที่จะเริ่มล้างเลือดที่เกรอะกรังบนใบหน้าออกอย่างช้า ๆ ในขณะเดียวกันสตีเว่นกำลังสวมใส่เสื้อผ้าของเขาอย่างประณีตพร้อมทั้งหมุนแหวนทับทิมขนาดใหญ่บนนิ้วมือ ทับทิมเม็ดงามเปล่งแสงออกมาก่อนที่จะค่อย ๆ จางหายไป ข้อความข้อความหนึ่งปรากฏขึ้น มันลอยผ่านสิ่งกีดขวางมากมายก่อนที่จะส่งไปยังทุกมุมของดีพบลูอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นาน ชายที่ดูมีความสามารถ 2 คนก็มาปรากฏกายตรงหน้าเขา หนึ่งในนั้นคือวอริเออร์ในขณะที่อีกคนเป็นเคลริค ทั้งสองฟังคำสั่งของเขาอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานทั้งหมดแล้ว วอริเออร์ก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเคลริคก็แยกตัวออกไปเพื่อรักษาบาดแผลให้มินนี่
เคลริคใช้มือประสานเข้าที่กลางอกเพื่ออธิษฐานก่อนที่จะเริ่มสวดคาถา เกิดแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงมือของเขา แสงเหล่านั้นค่อย ๆ ลอยไปยังศีรษะของมินนี่ราวกับสายน้ำ และก็ลอยไปตามผิวหนังของนาง นั่นช่วยให้บาดแผล รอยฟกช้ำ รวมถึงรอยบวมตามร่างกายที่เคยมีก่อนหน้านี้ค่อย ๆ เบาบางลง
แม้ว่าบาดแผลของมินนี่จะดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ทว่ามันก็เป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น มันไม่ได้มีอาการร้ายแรงแต่อย่างใด บาดแผลของนางไม่จำเป็นต้องเยียวยามากมายนักก็สามารถที่จะฟื้นตัวกลับสู่สภาพปกติได้แล้ว ทว่าสตีเว่นกลับรู้สึกกังวลใจมากกับบาดแผลบนตัวของนางเขาจึงกำชับให้เคลริคใช้ถึง 3 คาถาเพื่อรักษาให้ผลลัพธ์ต่าง ๆ ออกมาดีและหายเร็วมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่การรักษาเสร็จสิ้นแล้ว บาดแผลบริเวณศีรษะของมินนี่ก็เหลือเพียงรอยเล็ก ๆ เท่านั้น ภารกิจที่นางได้รับก่อนหน้านี้ทำให้นางเกิดความร้อนใจจนต้องรีบสวมเสื้อคลุมและออกจากห้องพักไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่หยุดพักฟื้นแม้แต่นาทีเดียว ส่วนเคลริคที่รู้สึกอ่อนล้าจากการต้องรักษามินนี่เมื่อครู่ก็ได้ออกจากห้องพักของสตีเว่นไปทันทีที่เขาปฏิบัติหน้าที่เสร็จ ในเวลานี้จึงเหลือเพียงสตีเว่นอยู่ตามลำพังในห้อง เขาเกิดความกังวลกับหลาย ๆ อย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างขณะที่ปากก็กล่าวสาปแช่งอากาศด้านนอกอย่างหงุดหงิด
ในที่สุดวอริเออร์ที่เพิ่งออกไปก็กลับเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของเขาก่อกระซิบข้างหูเขา “ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว เราจะทำยังไงกันต่อไป ?”
สตีเว่นกัดฟันกรอด เขาซัดหมัดของเขาไปข้างหน้าอย่างแรงและพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ทำในสิ่งที่เจ้าทำได้ !”
วอริเออร์ตัวสั่นงันงกหลังจากได้เห็นใบหน้าที่โหดเหี้ยมของสตีเว่น ซึ่งเมื่อได้ยินคำสั่งที่สตีเว่นเอ่ยออกมาแล้ว เขาก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
หลาย ๆ สิ่งถูกเปลี่ยนแปลงไปในวันแห่งโชคชะตา ทว่าริชาร์ดยังคงทำงานอย่างหนักเพื่ออนาคตของเขา ความก้าวหน้าของเขาไต่ระดับไปทีละน้อยราวกับการปีนหน้าผาหินเพื่อหวังที่จะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใด เขาจะพยายามทำมันอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ เช้าและทุก ๆ ค่ำคืนด้วยความมุมานะเสมอ ๆ
ค่ำคืนหนึ่ง เขาเดินกลับไปยังที่พักอาศัยของตนเองหลังจากที่รู้สึกเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน ทันทีที่เขาก้าวมาถึงหน้าประตูทางเข้านั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงซอยลึกข้าง ๆ ที่พักอาศัย เสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงที่คุ้นเคย และพรีซิชั่นของเขาก็บอกเขาในทันทีว่านี่เป็นเสียงของเอริน
เอริน… ชื่อที่หายไปจากชีวิตของเขาไประยะหนึ่งแล้ว ทว่าในตอนนี้มันกลับมาย้ำความทรงจำของเขาอีกครั้ง ดูเหมือนว่านางกำลังเจอกับปัญหาบางอย่างที่เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้ามาสร้างปัญหาในบริเวณนี้ บริเวณรอบ ๆ นี้ค่อนข้างจะเงียบสงบ แสงจากตะเกียงเวทมนตร์ก็สาดส่องไปทั่วพื้นที่สาธารณะ ในละแวกนี้นอกจากจะเป็นที่พักของริชาร์ดแล้วก็ยังมีเหล่าแกรนด์เมจ บุตรของเหล่าขุนนาง หรือแม้แต่จักรพรรดิก็อาศัยอยู่ด้วย นับได้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ค่อนข้างแข็งแรงและทั่วถึง นอกจากนี้ในทุก ๆ ที่ยังมีตาวิเศษคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา หากมีใครเข้ามารุกรานหรือสร้างปัญหาที่นี่ คนเหล่านั้นก็จะถูกรายล้อมด้วยผู้คุมกฎจำนวนมากอย่างแน่นอน
เสียงร้องนั้นดังมาจากซอยโค้งลึกที่อยู่ด้านข้าง นั่นทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เขารีบเดินตรงไปยังซอยนั้นอย่างรวดเร็วและหันไปมองทุกมุมเพื่อหาที่มาของเสียงที่ดังอยู่ในตอนนี้ และทันทีที่พบต้นตอของเสียง คำถามภายในใจของเขาก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วว่าเขาคิดถูก เสียงร้องที่เขาได้ยินเป็นเสียงของเอรินจริง ๆ และในตอนนี้นางกำลังถูกกลุ่มชาย 3 คนรุมล้อมไว้จนนางจนมุม ชายที่อยู่ด้านหลังของนางมีร่างกายสูงใหญ่ และดูเหมือนว่าจะสูงกว่านางถึง 3 เท่า มือใหญ่ๆของเขาจับข้อมือของนางไว้แน่นก่อนจะยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอย่างไร้ความปราณี
ในขณะเดียวกันชายร่างสูงและผอมบางอีกคนกำลังกอดอกมองอยู่ด้านข้าง ชายผู้นี้กวาดสายตาไปตามร่างกายของนางตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะจ้องมองไปยังหน้าอกและหน้าท้องของนางด้วยสายตาหื่นกระหาย ส่วนชายอีกคนตรงหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาโหดเหี้ยมที่กำลังใช้มือลูบคลำไปตามร่างกายของนาง เขากำลังควานหาอะไรบางอย่างบนตัวของนางอยู่ แต่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ทว่ามือของเขาก็ไม่ได้อยู่ห่างจากจุดสำคัญบนร่างกายของนางเลยแม้แต่น้อย
เอรินเตะขาไปมาเพื่อหลบหนีจากการจับกุม ชายร่างใหญ่คว้าต้นขาของนางไว้พร้อมประสานมันไว้ใต้รักแร้ของเขา มือของเขาค่อย ๆ เลื่อนไปตามขาอ่อนของนาง เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเกือบลืมไปแน่ะ ว่ายังมีอีกส่วนหนึ่งตรงนี้ที่สามารถซ่อนเงินได้ มาดูซิว่าเจ้าเก็บเงินไว้ตรงนี้เท่าไหร่กัน เจ้าจึงประหม่าได้ถึงเพียงนี้ !”
“ปล่อยข้านะ ! ข้าจะคืนเงินให้ แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาคืนเลยนะ !” เอรินเปล่งเสียงร้องออกมา ทว่าชายหนุ่มร่างใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนางก็ใช้มือซ้ายปิดปากนางไว้เพื่อไม่ให้นางเปล่งเสียงร้อง
ในขณะที่ชายหนุ่มตรงหน้าของนางยังคงใช้มือควานหาของที่เขาต้องการอยู่อย่างต่อเนื่อง รอยยิ้มหื่นกามของเขาก็ยังคงปรากฏบนใบหน้าซึ่งทำให้คนที่ถูกมองรู้สึกขยะแขยงอย่างมาก “ยังไม่ถึงเวลา แต่มันก็อีกแค่สองสามวันหลังจากนี้แล้ว พวกข้าต้องการมันล่วงหน้า หากเจ้าไม่มีเงินจริง ๆ งั้นเจ้าก็คงจะต้องนอนกับพวกข้าสักคืนสองคืนเพื่อจ่ายหนี้แล้วล่ะ ! อย่ามาทำเป็นเล่นตัวไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเอาตัวเข้าแลกกับผู้ชายเพื่อเงินมาก่อน…”
ขณะที่ชายทั้งสามกำลังกล่าวข่มขู่เอรินอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกถึงรังสีความเดือดดาลที่พุ่งเข้ามาปิดกั้นบริเวณรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น เสียงของริชาร์ดก็ดังขึ้น “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้ !”
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเอรินหยุดการเคลื่อนไหวของเขาทันทีทว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากนาง มือของเขายังคงจับอยู่ที่ตัวของนางขณะใช้สายตาจ้องมองไปยังเครื่องหมายบนปกเสื้อของริชาร์ดที่ยืนยันความเป็นตัวตนของเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไร ทว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นต่างเกิดอาการหวาดกลัวคือไฟร์บอลที่ขยับขึ้นลงบนมือขวาของริชาร์ด พวกเขารู้ดีว่าบุคคลผู้นี้จะต้องเป็นเมจ เพราะการปรากฏตัวด้วยภาพลักษณ์ที่หรูหราเช่นนี้เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยเขาก็ถือเป็นผู้ที่ร่ายคาถาได้ สำหรับคนอย่างพวกเขาซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกขอบชายแดน บุคคลเช่นริชาร์ดนั้นเป็นเสมือนเป็นพระเจ้าที่พวกเขาไม่สามารถสู้ได้เลย
ริชาร์ดขมวดคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เขากวาดสายตามองชายทั้งสามก่อนจะรับรู้ว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนในพื้นที่นี้ และดูเหมือนจะไม่ได้เป็นผู้อยู่อาศัยอย่างเป็นทางการของดีพบลูด้วย เพราะหากพวกเขาเป็นคนภายในนี้ คนเหล่านี้จะต้องเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์บนปกเสื้อของเขาเป็นอย่างดี
และเมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นมองเห็นท่าทางของริชาร์ด หนึ่งในนั้นก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากถามขึ้น “ข้าขอทราบว่าท่านคือใคร…”
“ริชาร์ด… ริชาร์ด อาเครอน”
ชายทั้งสามเกิดอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต่างรีบแสดงความเคารพอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อาศัยอยู่ตามขอบแดนภายในดีพบลูต่างรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเหล่านักเรียนและเหล่าแกรนด์เมจของชารอนเป็นอย่างดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำในการอยู่รอดของพวกเขา ภายในพื้นที่นี้พวกเขาไม่กล้าที่จะทำความเลวใด ๆ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ามีตาวิเศษที่จับตามองอยู่ในทุก ๆ ที่ ซึ่งสิ่งนี้เป็นคำเตือนสำหรับสาธารณชนเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มีความกระตือรือร้นและไร้ความรู้มาทำร้ายผู้อยู่อาศัยในพื้นที่หรูหราเช่นนี้ นอกจากนี้ ที่พักอาศัยละแวกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงแต่เมจที่ทรงพลังเท่านั้น เพราะยังมีบุตรของเหล่าชนชั้นสูงบางส่วนที่ไม่ได้มีพลังที่จะต่อสู้กับการรุกรานอยู่ด้วยจึงทำให้ที่นี่ต้องรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ชายทั้งสามรีบปล่อยเอรินออกจากการรัดกุมทันที และนางก็รีบวิ่งมาหลบที่ด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าปลายเสื้อคลุมของเขาไว้ราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นตระหนก
หัวหน้ากลุ่มของคนเหล่านั้นมองไปยังเอรินก่อนส่งยิ้มประจบประแจงไปยังริชาร์ด “ท่านลอร์ดริชาร์ด หญิงคนนี้ยืมเงินพวกข้าเป็นจำนวนมาก และเป็นเพราะนางไม่สามารถใช้หนี้พวกข้าได้ นางจึงหนีมาอยู่ภายในดีพบลูโดยไม่ยอมออกมาปรากฏตัวให้พวกข้าเห็น พวกข้ามายังดีพบลูก็เพราะไม่มีทางเลือก ตอนนี้พวกข้าเจอนางแล้ว แต่นางก็ยังไม่ยอมคืนเงินที่เคยยืมพวกข้าไป”
“แต่ก่อนจะถึงกำหนดคืนเงิน มันยังเหลืออีกตั้ง 3 วันนะ !” เอรินเปล่งเสียงร้องออกมาจากด้านหลังของเขา