นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 3 เอนไลท์เทนเมนท์
ริชาร์ดพยักหน้ารับและกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่ดูจากความตื่นเต้นของเขาแล้ว เขาอาจจะนอนไม่หลับทั้งคืนก็ได้ เอเลนส่ายหัวเบาๆและเดินไปที่ห้องใต้หลังคาพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ของนาง
เอเลนใช้ห้องใต้หลังคาเป็นห้องเก็บของ ข้างในเต็มนั้นไปด้วยข้าวของเครื่องใช้เก่าๆที่ไม่ถูกใช้งานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นของทุกชิ้นก็ยังถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีไม่มีแม้แต่ฝุ่นเกาะให้เห็น เอเลนขยับฝากล่องไม้ให้เปิดออก ภายในนั้นเผยให้เห็นแท่นบูขาที่ทำจากหิน วงเวทย์ที่พิถีพิถันถูกสลักเอาไว้ที่ฐานของมัน และสิ่งที่หายไปก็คือรูปปั้นที่เอาไว้สำหรับบูชา
เอเลนใช้เวลาเพื่อทำความสะอาดแท่นบูขา แม้แต่ซอกเล็กซอกน้อยก็ถูกเช็ดถูเป็นอย่างดี นางจ้องมองไปที่หนังสือเล่นหนาที่วางอยู่ข้างกล่องไม้นั้น มันดูโดดเด่นตั้งแต่แรกเห็น อย่างน้อยๆก็น่าจะมีประมาณ 1,000 หน้า เท่าที่กะประมาณด้วยสายตาก็น่าจะมีความหนามากกว่าคัมภีร์เวทย์ทั่วๆไปอย่างน้อยก็ 4 เท่า และน้ำหนักคงไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัมอย่างแน่นอน สีบรอนซ์บนผิวของมันส่องประกายออกมาอย่างสดใส ไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียวเกาะอยู่บนหนังสือเล่มนี้ หากดูจากร่องรอยก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันถูกเปิดอ่านอยู่บ่อยๆ และนี่ก็ทำให้เอเลนประหลาดใจ นางไม่ได้แตะต้องหนังสือเล่มนี้มานานจนจำไม่ได้แล้ว ดังนั้น แน่นอนว่าคนที่อ่านมันก็คือริชาร์ด นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าลูกชายของนางจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง
เอเลนเดินเข้าไปใกล้และใช้นิ้วเรียวบอบบางเปิดมันออก นิ้วที่สวยและบอบบางของนางไม่สัมพันธ์กับใบหน้านี้เลยสักนิด นี่เป็นเรื่องที่ผู้ชายในหมู่บ้านเคยวิจารณ์กันอยู่บ่อยๆ
ปกของหนังสือเล่มใหญ่ทำมาจากสัมฤทธิ์ มันดูหนักอึ้งและเย็นเยียบ ขณะเดียวกันก็แผ่รังสีที่เคร่งขรึมออกมา ภายในหนังสือมีลูกปัดแก้วเล็กๆที่จะสามารถรวมตัวกันสร้างเป็นแท่นบูชาเล็กๆขึ้นได้เมื่อมันถูกใช้งาน ซึ่งนั่นก็เพื่อให้ผู้คนได้รับฟังเสียงของอลูเซียเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
บทกวีภาษาเอลฟ์โบราณถูกสลักเอาไว้บนหน้าแรกของหนังสือ ใจความของบทกวีกล่าวสรรเสริญเกียรติศักดิ์ของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เอเลนยังคงจดจำบทกวีนี้ได้อย่างเด่นชัดในทุกถ้อยคำและท่วงทำนอง นางเปิดหนังสืออย่างนุ่มนวล หน้าหนังสือพลิกผ่านนิ้วเรียวอย่างลื่นไหลราวสายน้ำ เนื้อหาในหนังสือส่วนมากเต็มไปด้วยภาษาของเอลฟ์ที่พรรณนาเรื่องราวต่างๆเอาไว้ราวกับมีชีวิต คำสอนของอลูเซียนั้นแตกต่างจากคำสอนทั่วไปในหมู่มนุษย์ แต่ทว่าคำสอนของเทพธิดาก็ครอบครองพื้นที่เพียงส่วนเล็ก ๆ ของหนังสือ เนื้อหาส่วนใหญ่กลับบันทึกเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆของอลูเซียที่นางเคยประสบพบเจอมา รวมไปถึงบันทึกเหตุการณ์อื่นๆและรายละเอียดของพื้นที่นอกทวีปนัวแลนด์ทั่วทั้งโลก ริชาร์ดคงจะอ่านมันเหมือนกับเขาอ่านหนังสือภูมิศาสตร์หรือประวัติศาสตร์
นอกจากน้ำหนักและขนาดของมันแล้วก็ยากที่จะสัมผัสถึงความพิเศษของหนังสือเล่มนี้ด้วยสายตา แต่ทว่านี่คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดที่เป็นดั่งอัญมณีของปราสาทซิลเวอร์มูน หนังสือศักดิ์สิทธิ์แห่งอลูเซีย’ เป็นบันทึก 7 คาถาเวทย์ลับเฉพาะของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์รวมถึงสิ่งอื่นๆที่เป็นสิ่งมีค่าสำหรับนาง ในอดีตเอเลนสามารถใช้เวทย์เหล่านี้ได้ถึง 5 คาถา นางคือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการใช้เวทย์ลับเฉพาะเหล่านี้ที่นอกเหนือจากเกรทดรูอิดที่ได้ครอบครองพลังและได้รับการถ่ายทอดความรู้จากเทพธิดาโดยตรง แล้วในตอนนี้ล่ะ? คงจะยากมากหากนางจะใช้ให้ได้สักคาถา แม้จะทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีก็ตาม
คาถาทั้ง 7 ปรากฎขึ้นในส่วนลึกภายในจิตใจของเอเลน
…………………………………………………..
5 คาถาที่นางเคยใช้
– ชะตาแห่งอลูเซีย : เอนไลท์เทนเมนท์
– พรแห่งอลูเซีย : ฮีลลิ่ง
– ความโกรธแห่งอลูเซีย : พูนิชเมนท์
– ดาบแห่งอลูเซีย : มูนไลท์
– เจตจำนงแห่งอลูเซีย : ไทรอัล
และอีก 2 คาถาที่เอเลนจำได้ว่านางไม่สามารถใช้ได้ซึ่งก็คือ
-จิตใจแห่งอลูเซีย : โพรเฟซี่
-โทสะแห่งอลูเซียแห่งอลูเซีย : ดาร์กมูน
…………………………………………………..
ซึ่งสำหรับ — ดาร์กมูน — ในยุคนี้ยังไม่เคยมีใครสามารถใช้คาถานี้ได้เลย
เอเลนทาบฝ่ามือลงบนปกหนังสือเบาๆ เพื่อซึมซับเศษเสี้ยวของออร่าแห่งพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ลำแสงอันเยือกเย็นแห่งดวงจันทร์ดวงที่ 5 สาดส่องผ่านช่องหน้าต่างบนหลังคาลงมาอาบร่างกายของนาง พลังศักดิ์สิทธิ์ของแสงจันทร์เล็ดลอดเข้าสู่กายของนางอย่างลับๆ ขณะที่นางกำลังเริ่มหลอมรวมพลังสำหรับพิธีกรรมที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นี่จะเป็นของขวัญสำหรับริชาร์ดในวันเกิดครบ 10 ปี ของเขา ‘คาถาศักดิ์สิทธิ์ — เอนไลท์เทนเมนท์’…
ริชาร์ดถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืนของวันเกิดของเขา เขาขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาและคุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชาหนังสือที่ถูกเปิดรอไว้เรียบร้อยแล้ว บนหน้าหนังสือมีบทสวดหรือบทอธิฐานที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
นี่คือภาษาโบราณของเอลฟ์ เป็นภาษาที่ยากมากและยังเต็มไปด้วยความลึกลับ แต่ถ้าหากสามารถใช้มันได้คล่องเหมือนกับคนพื้นเมืองเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะสามารถอธิษฐานต่อเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ แต่ในขณะที่ริชาร์ดกำลังท่องบทสวดภาษาเอลฟ์โบราณอยู่นั้น ในหัวใจของเขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไป คล้ายกับมันโปร่งใส และเขายังรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ามาหาเขาและพยายามแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา ริชาร์ดรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบภายในท้อง และมันค่อยๆกระจายไปตามแขนขาและส่วนอื่นๆของร่างกาย แม้มันจะเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาก็สามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน นี่ไม่นับว่าแปลกนัก มันถือเป็นปรากฎการณ์ทั่วไปที่มักเกิดขึ้นในระหว่างที่บูชาหรือทำพิธี ริชาร์ดรู้ดีว่าพิธีกรรมหลายๆอย่างอาจจะมีผลลัพธ์เป็นความเจ็บปวดและทรมาน ดังนั้นเขาจึงเลือกอยู่เงียบๆและทำตามที่มารดาบอกเพื่อชำระล้างจิตใจของเขาจากสิ่งรบกวนต่างๆ
“ริชาร์ด…เจ้าจะเข้าไปในวิหารของเทพธิดาอลูเซีย ในที่แห่งนั้นเจ้าจะได้รับพรจากเอนไลท์เทนเมนท์ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า ถ้าเจ้าได้รับทางเลือก เจ้าอาจจะเลือก….”
เอเลนหยุดไปกลางคัน นางส่ายหัว สูดลมหายใจแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “สุดที่รักของแม่ เลือกสิ่งที่เจ้าต้องการ แค่ฟังเสียงจากเทพธิดาและทำตามหัวใจของเจ้า”
ริชาร์ดพยักหน้ารับ แม้ว่าเขาจะยังคงสับสนอยู่ เขารู้สึกว่าสติของเขาค่อยๆเลือนลางไปอย่างช้าๆขณะที่แม่ของเขากำลังอธิษฐานบางอย่างด้วยเสียงที่นุ่มนวล ริชาร์ดรู้สึกราวกับว่าตนเองหลุดลอยออกไปจากโลก เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าวิหารแห่งหนึ่งที่งดงามอลังการ
จุดที่ริชาร์ดยืนอยู่เป็นบริเวณลานกว้าง ตัววิหารอยู่ห่างออกไปอีกประมาน 1000 เมตร แต่ถึงแม้วิหารนั้นจะอยู่ค่อนข้างห่าง แต่ความยิ่งใหญ่อลังการก็ทำให้ริชาร์ดรู้สึกเกรงขามราวกับเขาเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ตัววิหารส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีเทาเงินที่มีแสงสีอ่อนๆสะท้อนออกมาตลอดเวลา ริชาร์ดมองดูรอบๆ และเขาก็แทบช็อคเมื่อเห็นดวงดาวจำนวนมากมายที่อยู่บนท้องฟ้า ภาพของดวงดาวเหล่านั้นชัดเจนและเหมือนอยู่ใกล้มาก จนเขาคิดว่าสามารถเอื้อมไปหยิบมันมาได้หากเขายื่นมือออกไป ราวกับว่าวิหารแห่งนี้กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
พื้นที่ที่กว้างใหญ่ทำให้ริชาร์ดรู้สึกกดดันเล็กน้อย มันทำให้หัวใจของเขาเต้นอย่างควบคุมไม่ได้ ริชาร์ดไม่กล้ามองไปรอบๆให้มากกว่านี้ เขารีบมุ่งหน้าตรงไปที่วิหาร ข้ามผ่านทั้งลานกว้าง และบันไดหินนับพันขั้นเพื่อไปให้ถึงทางเข้า ต้องขอบคุณความแข็งแกร่งและความอดทนของขาที่ได้รับการฝึกฝนมาเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆในภูเขา แม้เส้นทางจะยาวไกลแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับริชาร์ด เขาไม่หยุดเลยตั้งแต่ที่เริ่มออกวิ่ง แต่ทว่าเขารู้สึกคล้ายกับว่าทั่วทั้งสนามสามารถเคลื่อนไหวได้ และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเขาก็กำลังเคลื่อนที่ตามเขาไปด้วย มันรู้สึกเหมือนกับว่าพื้นที่ทั้งหมดนี้จะล่มสลายลงไปหากเขาหยุด แล้วเขาก็จะตกลงไปสู่ความมืดมิดที่ไม่มีสิ้นสุด
เมื่อริชาร์ดไปถึงทางเข้าวิหาร ลมหายใจของเขาก็เริ่มติดขัดด้วยความเหนื่อย หัวใจของเขาเต้นรัวแรงราวกับข่มขู่ว่ามันจะกระโดดออกมาจากหน้าอกของเขาแล้ว และต้องใช้เวลาสักครู่ใหญ่ๆกว่าที่มันจะสงบลงได้ เขาพยายามนึกถึงคำพูดของเอเลนขณะที่เงยหน้ามองไปที่วิหาร
วิหารนี้ไม่ใช่โดม มันไม่ได้ถูกล้อมไปด้วยหลังคาเก่าๆกลมๆ แต่มันถูกล้อมรอบไปด้วยเสาหินสีขาวราวกับหยก ตรงกลางวิหารมีแท่นบูชาที่มีรูปปั้นเทพธิดา 3 องค์อยู่ด้านบน ซึ่งแต่ละองค์ก็จะมีลักษณะการยืนและท่าทางที่ต่างกันออกไป
ที่จริงแล้ว รูปปั้นเทพธิดามีอยู่ทั้งหมด 6 องค์บนแท่นบูชา และเทพแต่ละองค์จะแสดงถึงอบิลิตี้ที่ต่างกันออกไป ยิ่งริชาร์ดสามารถมองเห็นรูปปั้นเทพธิดาได้มากเท่าไหร่ อบิลิตี้ที่เขาสามารถจะปลุกขึ้นมาได้ก็จะมีมากขึ้นด้วย และด้วยความจำและความรู้ที่ไม่ธรรมดาของเขา ริชาร์ดสามารถนำพาเทพธิดาให้ปรากฎออกมาได้ถึง 3 องค์
แอ็กซ์ตร้าออดินารี่ (เทพผู้โดดเด่น ) –– ให้ความแข็งแกร่งทางร่างกาย
เคอเรนท์ออฟไลฟ์ (กระแสแห่งชีวิต ) –– มอบพลังแห่งการรักษา
วินด์สวิฟเนส (ความเร็วแห่งสายลม ) –– เพิ่มความเร็วและความคล่องแคล่ว
ทว่าสิ่งที่ปรากฎออกมาทำให้ริชาร์ดผิดหวังเล็กน้อย เขาพยายามอธิฐานว่าอยากจะได้รับ — พรวิสดอม(สติปัญญา) — จากหัวใจของเขา เขามีความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่าลูกผู้ชายจะต้องมีสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีที่มีตัวเลือกให้เขามากถึง 3 ตัวเลือก เนื่องจากเอเลนต้องการให้เขามีตัวเลือกมากกว่าหนึ่ง นางจึงไม่ได้บอกหนุ่มน้อยผู้นี้เลยว่า โดยปกติแล้วผู้ที่เข้าสู่พิธีกรรมนี้ มีมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มองเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่าในวิหารแห่งนี้
หนุ่มน้อยริชาร์ดเดินตรงเข้าไปที่แท่นบูชา เขาพยายามอย่างสุดความที่จะเบิกตาให้กว้างเพื่อมองหาคำอวยพรแห่งสติปัญญา แต่ทุกอย่างในวิหารแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ของจริง ถึงจะพยายามมองหาอย่างไรก็คงไร้ผล ในขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น ภาพของรูปปั้นเทพธิดาทั้ง 3 ก็เริ่มเลือนลางไปอีกครั้ง
“เจ้าต้องการอบิลิตี้ที่มากกว่านี้ใช่หรือไม่?” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของริชาร์ด มันทำให้เขาตกใจจนแทบกระโดด และมองไปรอบๆอย่างลนลาน แต่เขากลับไม่เห็นสิ่งใด เสียงนั้นดังขึ้นอย่างกระทันหัน เป็นเสียงติดจะทุ้มต่ำที่ฟังดูเยือกเย็นจนทำให้หนุ่มน้อยรู้สึกหวาดกลัวและหนาวเหน็บไปทั้งตัว
“ใคร– เจ้าคือใคร?” ริชาร์ดพยายามรวบรวมความกล้า ตะโกนออกไปด้วยเสียงสั่นๆ เสียงของเขาสะท้อนไปมาดังก้องอยู่ภายในวิหาร และเสียงสะท้อนที่รุนแรงนั้นก็ทำให้เขาตกใจอีกครั้ง
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ยังไงข้าก็จะไม่ปรากฎตัว” เสียงฟังดูเคร่งขรึมขึ้น “ข้าคืออีกครึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเจ้า” เสียงนั้นตอบ
“เป็นไปไม่ได้!” ริชาร์ดปฎิเสธอย่างแน่วแน่ ครั้งหนึ่งแม่ของเขาเคยบอกว่าจิตวิญญาณของเขาบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรจะสามารถแปดเปื้อนได้ ความสับสนในใจในตอนแรกและความประหลาดใจกำลังจางหายไปพร้อมกับความกล้าของเด็กหนุ่มแห่งภูเขาที่ค่อยๆชัดเจนขึ้น
เสียงนั้นไม่สนใจความเห็นของเขา และพูดต่อ “ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว เลือกสิ่งที่เจ้าต้องการ”
แท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้าริชาร์ดส่องแสงขึ้นมาอีกครั้ง เผยให้เห็นรูปปั้นอีก 3 องค์ นอกจากคำอวยพรแห่งสติปัญญาแล้วก็ยังมี
— เอเลเมนทัลคอมแพทิบิลิตี้ (ความสอดคล้องกันแห่งธาตุทั้งปวง) และเนเชอร์แอดโวเคท (ผู้สนับสนุนแห่งธรรมชาติ) —
พรอันแรกจะทำให้เขาสามารถสื่อสารกับธาตุต่างๆในธรรมชาติที่อยู่รอบตัว มันช่วยเติมพลังอันบริสุทธิ์ในยามที่เขาอ่อนล้าหรือขาดพลัง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้รับพรสามารถร่ายคาถาที่มากกว่านักเวทย์คนอื่นๆในระดับเดียวกัน และเสริมสร้างความก้าวหน้าให้กับคนคนนั้น พรต่อมาจะทำให้เข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการพลางตัวและความเร็วไม่ว่าจะเคลื่อนที่ไปในพื้นผิวที่ซับซ้อนมากแค่ไหน ในขณะเดียวกันก็เพื่อความแข็งแกร่งของคาถาสายธรรมชาติ ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้รับพรสามารถต้านพิษได้ดีด้วย
–เอนไลท์เทนเมนท์มอบตัวเลือกให้กับริชาร์ดทั้งหมด 6 ตัวเลือก–
“นี่….นี่มัน–” ริชาร์ดพูดไม่ออก ในหัวน้อยๆของเขาเต็มไปด้วยความสับสน มีคำอธิบายดีๆเพียงอย่างเดียวก็คือทุกสิ่งๆเป็นเพียงภาพลวงตา มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ทุกอย่างจะต่างออกไปจากที่แม่และหนังสือบอก?
แต่ถึงแม้ว่าทุกอย่างมันจะต่างออกไป แต่หนุ่มน้อยก็ไม่ลืมเลือนจุดประสงค์เดิมของเขา เขาเดินไปที่รูปปั้นแห่งสติปัญญา(วิสดอม)อย่างมุ่งมั่น เดินเข้าไปสัมผัสเท้าของเทพธิดา นี่คือพิธีกรรมที่สำคัญ ต้องบูชาเทพธิดาด้วยความนอบน้อม
ในตอนที่มือของริชาร์ดสัมผัสไปบนรูปปั้น เขาก็รู้สึกคล้ายกับมีอะไรบางอย่างแตกออกในจิตใจ มันเหมือนกับว่าโลกทั้งใบกลายเป็นแจ่มแจ้งและชัดเจนขึ้นสำหรับเขา ริชาร์ดเข้าใจถึงความหมายของข้อความที่เขาเคยอ่านได้ในตอนนี้เอง ‘สติปัญญาทำให้คนเห็นโลกแจ่มชัดขึ้น…’
รูปปั้นอื่นๆทั้งหมดหายไปในทันทีที่เขาสัมผัสรูปปั้นแห่งสติปัญญา พิธีกรรมสำหรับเขาควรจะจบลงเพียงแค่นี้ แต่วิหารกลับยังไม่หายไป ริชาร์ดเริ่มกังวลใจ เขามองไปรอบๆอย่างหวาดวิตก ไม่นานนักเขาก็เห็นรูปปั้นเทพธิดาองค์ใหม่ปรากฎขึ้นมาบนแท่นบูชา
รูปปั้นนี้ยืนกอดอก ศีรษะหันไปทางด้านข้าง ใบหน้าดูบึ้งตึงแต่ก็หนักแน่นจริงจังทำให้นางดูแตกต่างจากรูปปั้นเทพธิดาองค์อื่นๆ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสัมผัสจับต้องรูปปั้นนั้นได้ ดูแล้วคล้ายจะสร้างขึ้นมาจากเงามากกว่า
‘หรือนี่จะเป็นอบิลิตี้อีกอย่าง?’ ริชาร์ดพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะนึกทบทวนเนื้อหาในหนังสือที่เขาอ่านมา แต่เขาก็ยังคิดไม่ออกว่ารูปปั้นนี้คือตัวแทนของสิ่งใด เขาจำได้ว่าแม้แต่หนังสือศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีเรื่องราวของรูปปั้นนี้่บันทึกเอาไว้เลย แต่เขารู้สึกคับคล้ายคับคลาว่านางเป็นหนึ่งเดียวกับอลูเซีย
“เจ้าไม่ต้องการอบิลิตี้อีกอย่างเหรอ?” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
“มันคืออะไร?” ริชาร์ดนิ่งไป จากนั้นเขาก็ประกาศกร้าว “ข้าไม่ต้องการสละพรแห่งสติปัญญา!”
“เจ้าจะเรียกมันว่า ‘ทรูธ(ความเป็นสัจธรรม )’ ก็ได้ มันจะช่วยให้เจ้ามองโลกแตกต่างออกไปจากมุมมองปกติ และ ณ จุดหมายปลายทางเจ้าอาจจะมองเห็นสิ่งอื่นๆ ด้วย”
“สิ่งอื่นๆ? มันคืออะไรกัน?” ริชาร์ดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่สิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมามีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น
ริชาร์ดต้องการจะกลับออกไป เขารู้ว่าเขาสามารถออกจากที่นี่และกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ตลอดเวลา ออกจากโลกนี้พร้อมกับพลังแห่งเอนไลท์เทนเมนท์ ในตอนนี้พิธีกรรมสิ้นสุดลงแล้ว วิหารบรรลุจุดประสงค์ที่จะมอบพรสวรรค์ให้กับคนคนหนึ่งเพื่อเพิ่มอบิลิตี้ของเขา และลิขิตเส้นทางแห่งอนาคตเรียบร้อยแล้ว
ตามความรู้ที่บรรยายไว้ตำรา สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีอยู่อย่างจริงแท้ วิหารที่ลอยอยู่ถูกค้ำจุนด้วยพลังอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดาอลูเซีย และอบิลิตี้ทั้ง 6 ก็จะถูกอำนวยพรด้วยตัวขององค์เทพธิดาเอง แต่เสียงและรูปปั้นปริศนาลำดับที่ 7 ที่ริชาร์ดพบ กลับล้มล้างทุกสิ่งที่เขารู้มา และนั่นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกยั่วยุจากปีศาจที่น่าหวาดกลัวอยู่
‘แต่พลังของปีศาจจะมาปรากฎในพิธีกรรมของเทพธิดาแห่งจันทราได้ยังไง?’ ริชาร์ดลังเลใจอย่างหนักขณะที่มองไปที่รูปปั้นที่ 7 มีเสียง 2 เสียงถกเถียงกันอยู่ในหัวของเขา ‘จะรับหรือจะปฎิเสธ’
แม้ว่ามโนธรรมภายในใจจะพยายามต่อสู้สุดชีวิตเพื่อให้เขาปฏิเสธมัน แต่ร่างกายของริชาร์ดกลับไม่ฟัง เขาเดินตรงเข้าไปหารูปปั้นนั้น โลกรักษาสมดุลเสมอและมีกฎแห่งความเท่าเทียมกำกับอยู่ ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดที่ได้มาฟรี ทุกสิ่งทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย นี่คือหลักความสมดุล หนึ่งในหลักคำสอนแห่งอลูเซีย แล้วเขาจะต้องจ่ายอะไรในการรับอบิลิตี้ที่ 2 นี้มา?
เป็นครั้งแรกที่ริชาร์ดตกอยู่ในความสับสนอย่างหนัก แต่ในที่สุดเขาก็ยื่นมือออกไป แม่ของเขาบอกให้เขาเลือกตามที่ใจต้องการ และเขาก็จะไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้แม้จะมีราคาค่างวดก็ตาม ริชาร์ดคือหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญ เขายินดีที่จะต่อสู้เพื่อผลตอบแทนที่ไม่คาดคิด ยิ่งไปกว่านั้น อีกสิ่งที่เขามีคือความชาญฉลาด เขารู้ว่าแม่ของเขาหวังให้เขากลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นบุคคลสำคัญ
คนที่ยิ่งใหญ่กว่าบารอนทักเกอร์