นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 174 คําสั่งที่วุ่นวาย
นิยาย นครแห่งบาป – City of Sin
เล่ม 2 ตอนที่ 174 คําสั่งที่วุ่นวาย
หลังจากที่ท้องฟ้ามืดลง พระจันทร์ กลมมนก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับส่องแสงสว่างให้กับดินแดนเปื้อนเลือดดวงดาวที่ประดับอยู่บนฟากฟ้าให้ความรู้สึกราวกับว่ากําลังแยกตัวออกจากความไม่สงบที่เกิดขึ้นบนพื้นดินเหล่าดาวทิ้งแสงลงมากระทบหินที่เปล่งแสงระยิบระยับมากมายบนฟากฟ้าสีน้ําเงินยามราตรีเวลานี้เป็นเวลาที่ริชาร์ดได้นัดกองกําลังของเขามาเพื่อประชุมกัน
เมื่อมาถึงจุดรวมพล เขาก็พบว่าเหล่าทหารแนวหน้าของเขาได้รับบาดเจ็บม้าของพวกเขาหายไปแล้วและในเวลานี้เหลือเพียงทหาร 12 คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอดอยู่
โฟลว์แซนด์รีบทําหน้าที่รักษาบาด แผลให้กับเหล่าทหารในทันทีขณะที่ริชาร์ดยืนมองดูบาดแผลของพวกเขาหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตรงไปหาหัวหน้าของเหล่าไนท์และเอ่ยถาม“เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทําเช่นนี้ ?”
เหล่าไนท์บอกว่า “พวกนั้นคือคนของเร้ดคอสแซคซึ่งเกิดสนใจม้าของพวกเราจึงเสนอที่จะให้ราคา 1 เหรียญเพื่อแลกกับมัน แต่พอเราปฏิเสธพวกมันโจมตีพวกเราทันทีโดยใช้กองทัพของพวกมัน ที่มีคนมากกว่า 200 คนและเหล่าไนท์อีก 10 คน ความแข็งแกร่งของพวกมัน เหนือกว่ากําลังของพวกเรามากจึงทํา ให้พวกเราต้องรีบหนีออกมาจนเหลือรอดอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”
ไนท์ผู้นั้นมีรอยบาดลึกบริเวณหลังจนทําให้เกือบจะเห็นกระดูกของเขาตอนที่เขาเดินทางมาเจอกับริชาร์ดนั้นบาด แผลที่อยู่บนตัวของเขายังคงพรั่งพรูออกมาด้วยเลือด และนอกจากนั้นแล้วยังมี บาดแผลอีก 10 กว่าจุดที่ปรากฏอยู่บนตัวของเขามันทําให้ผู้ที่เห็นรับรู้ได้เลยว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงอยู่ไม่น้อย
“เร้ดคอสแซค..” ริชาร์ดทวนชื่อที่ได้ ยินอีกครั้งก่อนถามต่อไป “เจ้าจะจําพวกมันได้หรือไม่ หากได้เจอกับพวกนั้นอีกครั้ง ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง ! หัวหน้าของ พวกมันเป็นไนท์ที่อยู่ระดับไม่ต่ํากว่า 13 สวมใส่เสื้อเกราะสีแดงพร้อมถือดาบในมือทั้ง 2 ข้าง มันง่ายต่อการจดจํามาก”
ริชาร์ดเดินไปมาก่อนที่จะหยุดลงหลังจากที่โฟลว์แซนด์รักษาบาดแผลของคนในกองทัพเสร็จแล้วเขาตบบ่าของไนท์ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “เจ้าทําได้ดีมากที่รอดกลับมาได้เรายังสามารถไปเอาม้าเหล่านั้นคืนมาได้แต่หากเจ้าต้องสละชีวิตบนสนามรบนั่นข้าจะหาคนที่สามารถเชื่อใจได้เช่นเจ้าได้ยังไงกัน ?”
ในเวลานี้ริชาร์ดรับรู้ได้ถึงคุณค่าของเหล่าไนท์ที่เขาได้รับมาจากการอนมากขึ้นกว่าในตอนแรกแล้ว
สีหน้าที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์และภักดีส่งออกมาจากไนท์ผู้นั้นก่อนที่เขาจะแสดงความยินดีออกมา “การได้รับใช้ลอร์ดกาตอนและตระกูลอาเครอนเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของพวกข้าเสมอมา !”
ริชาร์ดแน่ใจว่าไนท์ผู้นี้ไม่เคยเห็นเขาเป็นมาสเตอร์เลยไนท์ยังคงรับใช้การตอนและตระกูลอาเครอนอยู่เสมอสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่ที่เขาเดินทางมายังที่แห่งนี้ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรถึงมันเพราะเขารู้ดีว่าไนท์คนอื่น ๆ ต่างก็มีความรู้สึกเหมือนกับไนท์ผู้นี้เช่นเดียวกัน
ด้วยความเหนียวแน่นของตระกูลและตํานานความยิ่งใหญ่ของผู้นํา ความจง รักภักดีที่พวกเขามีต่อริชาร์ดก็เป็นเพราะคําสั่งจากผู้นําของเขาซึ่งก็คือกาตอนในอนาคตพวกเขาก็จะยังคงจงรักภักดีต่ อบุตรของริชาร์ดเช่นเดียวกันและไม่ว่าใครจะเป็นผู้นําของพวกเขาทว่าไนท์เหล่านี้ก็มีหน้าที่รับใช้ตระกูลอาเครอนราวกับเป็นครอบครัวของตนเองหากกล่าวถึงกาตอนเขาถือเป็นผู้ที่มีบทบาท และความสามารถมากที่สุดในบรรดาตระกูลอาเครอนและมีส่วนทําให้ตระกูลถูกจารึกในประวัติศาตร์อย่างไรก็ตามเขามั่นใจว่าในอีก 10 ปีหลังจากนี้ความสําเร็จของเขาจะสามารถแซงหน้าบรรพบุรุษของเขาได้
ไนท์เหล่านี้ต่างก็ได้รับใช้ตระกูลอาเครอนมาหลายชั่วอายุคนแล้ว และตระกูลอาเครอนก็ได้มอบการฝึกฝนให้กับพวกเขาตั้งแต่วัยเยาว์รวมไปถึงการอบรมสถานะความมั่งคั่งและโอกาสที่จะ ก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขาด้วยหากคนที่เก่งกาจกว่าก็ย่อมจะได้รับการ ป้องกันให้กับครอบครัวญาติมิตรและทีมของพวกเขาได้ดีกว่าพวกเขาเปรียบเสมือนเถาองุ่นบนต้นสนในฤดูหนาวที่จะต้องพึ่งพากันและกันซึ่งนี่เป็นเส้นทางของชีวิตของตระกูลชนชั้นสูงภายในนัวแลนด์
เช้าวันรุ่งขึ้นนี้เต็มไปด้วยลมที่หนาวเย็นแต่สดชื่นริชาร์ดนํากองทัพของเขามุ่งหน้าไปยังค่ายบลัดสโตนแสงแรกของพระอาทิตย์เริ่มส่งความอบอุ่นมาตรงบริเวณทะเลทรายอย่างช้าๆก่อนที่มันจะค่อย ๆ ทําให้หินตรงบริเวณนั้นเดือดและระอุขึ้นมาราวกับกําลังจะลุกไหม้เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาจากหน้าผากของริชาร์ดทว่าในไม่ช้ความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ก็ทําให้เขาค่อย ๆ ชินกับสภาพที่เป็นหลังจากที่เขาเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆโดยในระหว่างที่เขากําลังเดินทางชื่อของคนที่ฆ่าเหล่าทหารกองหน้าและแย่งชิงม้าทั้งหมดของเขาไปก็ผุดขึ้นมาในหัว
“เร้ดคอสแซค”
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังดินแดนเปื้อนเลือดและเป็นเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นโดยนักเดินทางที่ผ่านมาเป็นจํานวนมาก ถนนเส้นนี้จบลงที่ค่ายทางธร รมชาติซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความ เขียวขจีและแหล่งน้ํา มีถนนสายอื่นที่ก่อตัวขึ้นจากขบวนขนสินค้าทว่าเส้นทางเหล่านั้นเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง และ ค่ายที่เคยมีก็มีลักษณะที่แตกต่างออกไปซึ่งขนาบไปกับถนนที่แคบลงเรื่อย ๆจนหายไปในที่สุด
หลังจากที่เดินทางผ่านอากาศที่ร้อนระอุเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง กลุ่มของริชาร์ดก็เดินข้ามถนนเส้นเล็ก ๆ นั้นออกมาพื้นที่แห่งนี้ไม่มีการปูทางและไม่มีการทําสัญลักษณ์ใด ๆ ส่วนพื้นทางเดินก็ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่เคยถูกม้าและยานพาพนะขับผ่านไปก่อนหน้านี้และจากสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนแผนที่ได้บอกว่าพวกเขาว่าจะต้องเดินทางอีกประมาณ 2-3 กิโลเมตรจึงจะไปถึงถนนหลักที่สามารถใช้เดินทางเข้าสู่ค่ายบลัดสโตนได้
ถือเป็นความโชคดีที่ริชาร์ดได้ทําความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องหมายบนแผนที่เอาไว้แล้วเพราะมันทําให้เขาสา มารถเลี้ยวตามเส้นทางที่ระบุได้อย่างแม่นยําซึ่งนั่นให้กองกําลังของพวกเขาเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายได้โดยที่ไม่หลงทาง
ทว่าเส้นทางที่อยู่ด้านหน้าของเขาดูเหมือนว่าจะถูกปิดกั้นเอาไว้ มีต้นไม้สองสามต้นถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อปิดกั้นทางระหว่างหินใหญ่ทั้ง 2 ก้อน มันปิดกั้นเส้นทางเกือบทั้งหมดจนเหลือที่ว่างอยู่เพียงแค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นและตรงด้านหลังของสิ่งกีดขวางมีชายท่าทางดุร้ายสองสามคนเดินไปมาตามจุดต่าง ๆ เพื่อติดธงไว้ตรงจุดที่ถูกกีดขวาง เมื่อถึงช่วง ที่ไม่มีลมกลุ่มของริชาร์ดก็มองเห็นภาพ สัญลักษณ์เคียวแห่งความตาย
ดินแดนเปื้อนเลือดสามารถที่จะใช้เป็นเส้นทางเดินตัดผ่านเพื่อเบี่ยงเบนไปจากถนนสายหลักได้ทว่าข้อเสียของมันคือมีโอกาสสูงที่จะเจอกับอันตรายและเจอกับเส้นทางที่ชวนให้หลงได้ง่าย แม้ว่า เส้นทางตรงหน้าของเขาในเวลานี้จะถูกปิดกั้นแต่ทางอ้อมเส้นเล็ก ๆ ก็ทําให้พวกเขาเดินทางไปยังเป้าหมายได้ทว่าจุดปิดกั้นตรงหน้าในเวลานี้ทําให้เห็นได้ชัดว่ามันคงจะไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายดาย ขนาดนั้นการปิดกั้นเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าหรือออกจากค่ายบลัดสโตน แม้จะซ่อนตัวหรือแอบ ๆ เข้าไปก็ไร้ประโยชน์แอ
ริชาร์ดขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตรงไปยังเส้นทางที่ถูกปิดกั้นนั้นในเวลานี้เขามองเห็นกองทัพที่อยู่ไกลออกไปทันใดนั้นชายผู้หนึ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังสิ่งกีดขวางก็กระโดดขึ้นมาพร้อม ผิวปากเพื่อส่งสัญญาณและไม่นานนักชายหน้าตาดุร้ายจํานวนกว่า 10 คนก็ลุกขึ้นยืนและรีบวิ่งออกมาจากหลังก้อนหินที่อยู่ด้านข้างพร้อมด้วยอาวุธครบมือ !
ชายผู้หนึ่งเดินออกมาด้านหน้าด้วยท่าทางอุกอาจเขากวัดแกว่งขวานที่อยู่ในมือก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมาว่า“นี่ ! เจ้าคนที่อยู่ตรงนั้น ! ออกมาเดี๋ยวนี้ ! ที่นี่เป็นที่ของบลัดไซท์มาร์คใครก็ตามที่ ต้องการเข้าไปยังค่ายบลัดสโตนจะต้องจ่ายค่าผ่านทาง !”
เมื่ออยู่ในระยะห่างจาก ถนนที่ถูกปิดกั้นประมาณ 100 เมตร ริชาร์ดก็หยุดเดินและพูดขึ้น “พวกข้าไม่ได้ต้องการจะเดินทางเข้าไปยังค่ายบลัดสโตน !”
ชายผู้นั้นแสดงท่าทางตกใจเพราะเส้นทางนี้ผู้ที่เดินทางมาก็น่าจะต้องการเข้าไปยังค่ายบลัดสโตนกันทั้งนั้นแต่หากพวกเขาต้องการที่จะเดินทางไปยังดินแดนเปื้อนเลือดพวกเขาก็ไม่น่าที่จะเดินทางมาที่เส้นทางนี้ชายผู้นั้นคิดหนักถึงสถานที่ที่ฝ่ายตรงข้ามกําลังจะเดินทางไปเพราะเขายังคงคิดว่าหากกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการเดินทางมายังค่ายบลัดสโตนก็คงไม่มีที่อื่นที่พวกเขาจะสามารถไปได้แล้ว
ทันทีที่ชายผู้นั้นกําลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองชายอีกคนที่มีความสูงมากกว่าคนอื่น ๆ ภายในกลุ่มของพวกเขาก็เดินออกมาตบข้างหูของคู่หูเขาที่กําลังยืนคิดไตร่ตรองอยู่และด่าเขาด้วยความโมโหว่า “เจ้าโง่ !”
หลังจากที่เขาด่าคู่หูของตนเองแล้วเขาก็หันกลับมาที่หน้าริชาร์ดพร้อมตะโกนออกมาว่า“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเข้าค่ายบลัดสโตนหรือไม่แต่ตอนนี้พวกข้าเห็นเจ้าแล้วเพราะงั้นเจ้าจะต้องจ่ายค่า ผ่านทางให้กับพวกข้าไม่ว่าจะยังไงก็ตามนี่เป็นคําสั่งของหัวหน้ามาร์ค !”