นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 165 ความบังเอิญ ตอนที่ 1
นครแห่งบาป – City of Sin เล่ม 2 ตอนที่ 165 ความบังเอิญ ตอนที่ 1
ริชาร์ดสร้างเครื่องหมายใหม่บนแผนที่ของเขา เพื่อระบุตําแหน่งที่เขาคาดเดาว่าเป็นจุดที่ผู้บุกรุกกลุ่มใหม่ปรากฏตัว แม้จะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมาจากเพลนใด แต่เขาเชื่อว่าพวกนั้นจะต้องเป็นกองกําลังที่ไม่เป็นมิตรกับเขาอย่างแน่นอน ซึ่งมันคงจะเป็นอันตรายอย่างมากหากเขาเข้าร่วมกับกองกําลังของผู้บุกรุกเหล่านั้นในการทําสงคราม และอาจจะเป็นอันตรายมากยิ่งกว่าการเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับชนพื้นเมืองเสียด้วยซ้ํา
เมื่อได้ข้อสรุปถึง “ตัวเลือก” ของเส้นทางที่เป็นไปได้แล้วเขาก็เกิดการลังเลเกิดขึ้น เพราะในตัวเลือกทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหนต่างก็มีผลกระทบต่อฐานทัพของเขาทั้งสิ้น ตําแหน่งที่ตั้งของฐานในตอนนี้เป็นตําแหน่งที่เปิดเผย และการจะใช้พื้นที่ตรงจุดนั้นเป็นฐานที่มั่นต่อไปในทุกกรณีก็ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยง คนที่อาศัยอยู่ในฐานที่สุ่มเสี่ยงก็จะมีโอกาสสูญเสียชีวิตของพวกเขาได้ตลอดเวลา
การกลับไปที่ฐานทัพของเขามีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือเพื่อกลับมาเก็บยุทโธปกรณ์และของส่วนตัวอื่น ๆ เท่านั้น ทว่าสิ่งที่เขาลังเลและเกิดความสงสัยในเวลานี้คือพวกเขาสามารถอาศัยอยู่ภายในดินแดนของฟอร์ซ่าไปได้อีกนานแค่ไหน หากเขาสามารถรับมือกับกองกําลังเสริมของเจย์ลีออนได้เขาก็น่าจะอยู่ในดินแดนของฟอร์ซ่าได้นานเท่าที่ต้องการ เพราะไม่ว่าอย่างไรตัวบารอนก็คงทําเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ในปราสาทเท่านั้นโดยไม่กล้าออกมาหยุดยั้งเขาและกองกําลังของเขา
ทว่าการพักอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ก็มีความเสี่ยงที่สูงมากเช่นกัน เพราะสําหรับการทําสงครามแบบกองโจร ข้อห้ามที่สําคัญที่สุดคือห้ามไม่ให้ปักหลักอยู่ในที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปเพราะมันจะทําให้ศัตรูสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ ในตอนนี้ริชาร์ดยังคงเป็นเพียงผู้บุกรุกในเฟเลอร์แม้ว่าเขาจะมาจากเพลนที่แข็งแกร่งกว่า มีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า และมีพลังอํานาจที่สูงกว่า แต่เวลานี้เขาก็ยังไม่มีพันธมิตรมากพอที่จะรับมือกับกองกําลังขนาดใหญ่ได้
และตอนนี้สิ่งสําคัญที่สุดที่เขาต้องทําคือการตรวจสอบความแข็งแกร่งของกองกําลังที่เข้ามาช่วยฟอร์ซ่า เขานําแผนที่อีกแผ่นขึ้นมา ซึ่งด้านบนของแผนที่แผ่นนี้บอกข้อมูลที่ค่อนข้างละเอียด เกี่ยวกับระบบอํานาจในอาณาเขตไวท์ช็อคดัชชี่ ภายในอาณาเขตนี้นอกจากจะมีดยุกไวท์ร็อคแล้ว ก็ยังมีมาร์ควิส 1 คน เกรทเทอร์เอิร์ล 3 คน เลสเซอร์เอิร์ล 1 คน และบารอนอีกมากกว่า 50 คน ส่วนในเขตอิทธิพลของเจย์ลีออนนั้นมีไวเคานต์ 1 คน บารอน 4 คน ไนท์ที่มีอํานาจ 1 คน และ เกรทเมจอีก 2 คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา
เมื่อริชาร์ดเห็นข้อมูลของเพียร์เซจแล้วสายตาของเขาก็หรี่แคบลง บารอนเพียร์เซจมีสิ่งที่คล้ายกับเซอร์เมนต้าคือพวกเขาทั้งคู่เป็นบุคคลผู้มีอํานาจ และพลังในการต่อสู้ที่สามารถเป็นผู้นํากองทัพได้ เพียร์เซจเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางทั้งหมดและหากเขาเป็นผู้นําในกองทัพใดแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่กองทัพนั้นจะได้รับความพ่ายแพ้กลับมา
สําหรับกองกําลังของริชาร์ดนั้นดูเหมือนว่าเขาจะเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่น้อย แม้จะตัดเหล่าทหารชั้นสามัญออกไปแล้ว แต่กองทัพของเพียร์เซจก็ยังมีกลุ่มคนชั้นยอดที่เป็นแกนหลักอยู่ดี
ถ้าหากกลุ่มของเขาต่อสู้กับบารอนผู้นั้นแล้วและแม้จะได้รับชัยชนะมาก็คงจะเป็นชัยชนะที่ขมขื่น เพราะเต็มไปด้วยความสูญเสียอย่างแน่นอน ดังนั้นวิธีการที่จะทําให้เขาได้เปรียบศัตรูคือการที่เขามีสิทธิ์ในการเลือกสมรภูมิรบที่เหมาะสมกับการต่อสู้ของกองกําลังของเขาเอง ทว่าอย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ของเรื่องที่ว่ามาก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น และเพียร์เซจก็เป็นผู้นําที่เก่งกาจกว่าฟอร์ซ่าเป็นอย่างมาก โดยรวมแล้วก็หมายความว่าริชาร์ดเสียเปรียบทั้งในเรื่องของ ความสามารถของผู้นํารวมไปถึงการที่กองกําลังของเขาไม่ได้มีคนชั้นยอดอยู่ด้วยเหมือนที่กองทัพของเพียร์เซจมี
ริชาร์ดถอนหายใจออกมาขณะตัดเรื่องที่จะครอบครองปราสาทของฟอร์ซ่าออกไปจากสมอง ถึงแม้ว่าบารอนจะมีความมั่งคั่งจากทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมานานหลายปี ทว่าไม่ว่าเขาจะคิดหาวิธีใด ก็ไม่คิดว่าเขาจะมีโอกาสประสบความสําเร็จในการต้านทานกองกําลังเสริมเหล่านั้นได้ และหากเพียร์เซจเป็นผู้นํากองกําลังเสริมนั้นแล้วโอกาสที่เขาจะได้ครอบครองปราสาทของฟอร์ซ่าจริง ๆ ก็คงจะเท่ากับศูนย์
เขายกแผนที่ขึ้นแล้วเพ่งมองไปยังส่วนของพื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วเรียวยาวไล่ไปตามเส้นทางที่ถูกวาดไว้ไปด้วย เขาสังเกตเห็นบริเวณทางแยกระหว่างดินแดนแห่งความโกลาหลและอาณาจักรของดยุกไดร์วูล์ฟ ก่อนที่จะไล่ไปจนถึงบริเวณของดินแดนเปื้อนเลือด ซึ่งเป็นสถานที่รกร้างทว่ากลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ดินแดนเปื้อนเลือดเป็นสถานที่ที่มนุษย์ บาร์บาเรียน และมนุษย์ทะเลทรายอาศัยอยู่ปะปนกัน ดินแดนแห่งนี้มีภูมิประเทศค่อนข้างแปลกประหลาด มันมีทั้งพื้นที่ที่แห้งแล้งและอุดมสมบูรณ์สลับกันไปอีกทั้งที่แห่งนี้ยังมีเนินเขาอยู่เป็นจํานวนมาก และเนื่องจากพื้นหลายส่วนของที่นี่เป็นพื้นที่แห้งแล้งจึงทําให้ดินแดนเปื้อนเลือดค่อนข้างขาดแคลนอาหาร ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอด ไม่เว้นแม้กระทั่งการใช้วิธีการที่โหดร้ายปาเถื่อนในการเอาชนะความแร้นแค้นที่คอยทารุณพวกเขา ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณแห้งแล้งนั้นจึงมักจะเป็นเหล่าหัวขโมย อาชญากร รวมไปถึงฆาตรกร และดูเหมือนว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นฝันร้ายของคนที่อยู่ภายในดินแดนเปื้อนเลือดไปโดยปริยาย ซึ่งโดยปกติแล้วหัวโจกอาชญากรและผู้ค้าทาสจํานวนมากก็มักจะเดินทางออกไปนอกสถานที่เพื่อที่จะออกล่าราวกับฝูงไฮยีน่า
ถึงแม้พื้นที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและเรื่องราวของการนองเลือด ทว่าริชาร์ดกลับคิดว่ามันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับกลุ่มของเขาในเวลานี้ สําหรับดินแดนฟอร์ซ่านั้นเป็นเหมือนกับเมล็ดที่รับการบ่มเพาะจนเจริญเติบโตกลายเป็นพืชพันธุ์ที่สมบูรณ์แล้วเหลือแต่เพียงรอเวลาให้เขาเก็บเกี่ยวเท่านั้น และเมื่อใดที่เขาต้องการก็สามารถเข้ามาเก็บเกี่ยวมันได้ตามที่ใจปรารถนา และดูเหมือนว่าคงจะใช้เวลาอีกไม่นานแล้วที่โอกาสการลงมือเก็บเกี่ยวพืชผลจากเมืองแห่งนี้จะมาถึง
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ริชาร์ดกําลังหมกมุ่นอยู่กับแผนที่ของเขานั้น เขากลับไม่ได้รับรู้เลยว่ามีการสู้รบที่รุนแรงเกิดขึ้นอยู่ไม่ไกล และมันเป็นบริเวณเดียวกับจุดที่ริชาร์ดทําสัญลักษณ์ของผู้บุกรุกไว้บนแผนที่ก่อนหน้านี้
ห่างออกไป 10 กว่ากิโลเมตรจากดินแดนเปื้อนเลือด มีประตูมิติลักษณะแปลกประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ บริเวณของการเคลื่อนย้ายวัตถุยังคงส่องแสงเรืองรองสว่างเจิดจ้า และแรงโน้มถ่วงที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติทําให้ก้อนหินและก้อนกรวดเล็ก ๆ จํานวนมากลอยอยู่กลางอากาศราวกับแรงโน้มถ่วงที่กระทําต่อมันหายไปทั้งหมด ในทางกลับกัน ก้อนหินขนาดใหญ่กลับถูกฝังเข้ากับพื้นอย่างแน่นหนาเสมือนจมลงไปในดินด้วยแรงโน้มถ่วงมหาศาล แสงและภาพจํานวนมากพวยพุ่งอ อกมาจากรอยแยกของประตูมิติ ซึ่งภาพเหล่านั้นเป็นภาพของสิ่งมีชีวิตคล้ายสัตว์มายา ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่ปรากฏภาพเหล่านั้นก็เกิดความบิดเบี้ยวและหายวับไปกลายเป็นเพียงภาพลวงตาในที่สุด
ประตูมิตินั้นมีขนาดใหญ่มาก นอกจากนี้มันยังมีรอยแยกสีดําลอยอยู่ทั่วพื้นที่ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความอันตรายและความน่ากลัวของมัน ว่ามันอันตรายมากพอที่จะฉีกแยกร่างของเซนต์วอริเออร์ที่มาจากหัวแลนด์ได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
ประตูมิติเกิดการยืดขยายและหดตัวครั้งหนึ่งก่อนที่ในท์ในชุดเกราะสีดําใหญ่จะกระโจนออกมาจากจุดที่มีแสงสว่าง ไนท์แต่ละคนที่ออกมาจากประตูมิตินั้นมีรูปร่างกํายําและดูโหดเหี้ยมมาก ซึ่งนอกจากไนท์เหล่านั้นแล้วสัตว์ที่เป็นพาหนะของพวกเขาต่างก็สูงใหญ่และมีสีดําสนิททั้งตัวจนสั่นคลอนความกล้าหาญของผู้คนที่พบเห็นได้ ขนของสัตว์พาหนะพวกนั้นทั้งยาวและหนาและที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือสัตว์พาหนะทุกตัวมีเขี้ยวยาว 2 ซี่ยื่นออกมาจากบริเวณกรามของพวกมัน
บริเวณรอบประตูมิติเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมที่เกิดจากการปะทะกันของการต่อสู้และเสียงตะโกนโหวกเหวกในสมรภูมิรบ ในเวลานี้เหล่าวอริเออร์และพาลาดินมากมายที่อยู่ในเมืองต่างนํากําลังเข้าล้อมประตูมิติเอาไว้ พวกเขาพยายามที่จะกําจัดไนท์เกราะดําที่มาบุกรุกพื้นที่ของ พวกเขาโดยที่พื้นที่ด้านหลังของเหล่าวอริเออร์ก็มีพรีสต์และเคลริคอีก 10 กว่าคนที่กําลังร่ายคา ถากันอยู่ไม่ขาด แสงอันศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูออกจากมือของพวกเขา เพื่อส่งต่อพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าเข้าคุ้มครองเหล่าวอริเออร์ในฝั่งของตนเอง
วอริเออร์ที่ได้รับพรจากคาถานั้นจะมีพลังในด้านต่าง ๆ ที่พุ่งสูงขึ้น คําสรรเสริญเทพเจ้าของพวกเขาดังพอ ๆ กับคําสาปแช่งที่มีต่อศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะมีวอริเออร์บางส่วนที่ถูกดาบของศัตรูแทงเข้าไปในร่างกายจนทําให้รู้สึกได้ถึงใบมีดที่ตัดอวัยวะภายในและร่างกายก็เย็นเฉียบไปในวินาทีนั้น ทว่าพวกเขาก็ยังยืนหยัดที่จะใช้อาวุธของตนเองสู้กับไนท์เกราะดําอย่างสุดกําลัง พวกเขาคิดเสมอว่าทุกอย่างจะคุ้มค่าตราบใดที่พวกเขาสามารถทําให้คู่ต่อสู้เหล่านี้บาดเจ็บ
พวกเขามีความกล้าหาญมากกว่าความกลัวที่จะต้องสละชีวิตของตนเอง และแน่นอนว่าความกล้าหาญเป็นสิ่งที่มีผลในการต่อสู้เป็นอย่างมาก เหล่าไนท์เกราะดําถูกโจมตีจนตกลงมาจากอานม้าก่อนที่จะถูกสังหารโดยกลุ่มวอริเออร์ที่อยู่ด้านล่าง แต่กว่าที่ไนท์แต่ละคนจะตายลงไป พวกเขาก็ล้วนลากพวกศัตรูที่อยู่ข้างตัวอีกสิบกว่าคนให้ตายพร้อมกันไปด้วย นอกจากความดุเดือดของเหล่าไนท์เกราะดําแล้ว สัตว์พาหนะของพวกเขาก็มีความดุร้ายไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าในเวลานี้มันจะไม่ได้ถูกควบคุมโดยเหล่าไนท์ทว่าตราบใดที่มันยังมีชีวิตอยู่มันก็จะวิ่งรอบ ๆ ไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งใช้เขี้ยวที่แหลมคมของมันกัดและฉีกศีรษะของศัตรูอย่างไร้ความปราณี !
ฉากที่สยองขวัญเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็นอยู่ไม่น้อยกว่าภายในความหวาดกลัวก็ยังมีคนจํานวนมากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น พาลาดินตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งพุ่งชนเข้ากับสัตว์พาหนะและแทงดาบในมือเข้าไปที่หัวใจของมัน สัตว์พาหนะสีดํามีขนปกคลุมที่หนาแน่นเพื่อป้องกันการโจมตี ทว่าการโจมตีในครั้งนี้ดูเหมือนว่าขนหนาของมันไม่สามารถที่จะป้องกันได้อีกต่อไป ทันทีที่อาวุธปักเข้าสู่หัวใจของมัน มันก็เปล่งเสียงร้องออกมาดั่งสัตว์ที่ดุร้าย นอกจากส่วนที่ปักเข้ากลางหัวใจของมันแล้วยังมีอาวุธอีกนับสิบที่ถูกฝังเข้าไปในร่างกายของมัน แต่ก็มีความลึกเพียงจุดละ 10 เซนติเมตรเท่านั้น ทว่าถึงอย่างไรมันก็ถือว่าสร้างบาดแผลที่แสนสาหัสให้กับสัตว์พาหนะตัวนี้
สัตว์พาหนะบิดตัวไปมาขณะพยายามใช้พลังเฮือกสุดท้ายของมันเคลื่อนตัวไปข้างหน้า พร้อมอ้าปากและกัดพาลาดินที่อยู่ตรงหน้าของมันอย่างรุนแรง ขากรรไกรของสิ่งมีชีวิตตัวนี้น่ากลัวอย่างมาก ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเพียงพอที่จะทําให้เกราะของวอริเออร์เสียรูปทรงจนทําให้เขี้ยวคม ๆ สามารถที่จะกัดทะลุเข้าไปยังไหล่และอกของฝ่ายตรงข้ามให้ยุบลงไปได้อย่างโหดเหี้ยม ทันทีที่ถูกสัตว์พาหนะจู่โจม วอริเออร์ผู้นั้นก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ในเวลานี้ถึงแม้ว่าเหล่าวอริเออร์แต่ละคนจะยอมเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อต่อสู้กับผู้บุกรุกที่เข้ามา ทว่านั้นก็ไม่ได้ทําให้ในท์เกราะดําที่ออกมาจากประตูมิติลดน้อยลงเลย คนเหล่านั้นยังคงกระโจนออกมาจากประตูมิติอย่างต่อเนื่องราวกับว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด แนวหน้าของพวกเขากระจายออกเป็นแถวกว้างเพื่อสร้างเป็นแนวป้องกันในการโจมตี หลังจากที่เวลาผ่านพ้นไป กองกําลังที่อยู่แถวแรกก็เริ่มเคลื่อนตัวไปด้านหน้าแล้วในตอนนี้