นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 162 แขกผู้มาเยือน ตอนที่ 3
นครแห่งบาป – City of Sin เล่ม 2 ตอนที่ 162 แขกผู้มาเยือน ตอนที่ 3
“อะไรนะ ? พวกข้าต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จบงั้นรึ!? ความซื่อสัตย์ของพวกข้าที่มีต่อท่านและเทพแห่งความกล้าหาญมันเกินกว่าที่จะถูกประนามเช่นนี้ !” ไนท์ฝึกหัดทั้งสองตะโกนออกมาด้วยท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินขณะพยายามพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างสุดแรง
พวกเขาเปลี่ยนเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายจนทําให้บารอนฟอร์ซ่าต้องลุกขึ้นยืนและทําท่าทางราวกับจะหลบไปอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของเขา การตัดสินของเขาทําให้ผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ ต่างพากันตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าไนท์ฝึกหัดทั้ง 2 คนเพราะต่างก็ไม่มีใครอยากเชื่อว่าการตัดสินจะเป็นเช่นนี้ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปหยุดไนท์ฝึกหัดที่กําลังโกรธเหล่านั้น มีเพียงผู้คุ้มกันที่ซื่อสัตย์เพียงคนเดียวที่วิ่งเข้ามาปกป้องลอร์ดของเขาไว้ ทว่าเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับไนท์ฝึกหัดที่พร้อมจะเสียสละชีวิตของตนเองเพียงเพื่อแลกกับการได้ฆ่าฟอร์ซ่า
ฟอร์ซ่าอยู่แค่ระดับ 8 เท่านั้นและเขาเองก็สูญเสียเชาว์ปัญญาของเขาไปนานแล้ว เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่รู้ว่าตนเองควรจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี ขณะที่เขาเกือบจะถูกในท์ฝึกหัดทั้งสองจับตัวได้นั้น เขาก็ได้ยินเสียงดาบที่ถูกดึงออกมาจากฝักอย่างรวดเร็ว
อีกเพียงวินาทีเดียวนิ้วของไนท์ฝึกหัดก็จะเอื้อมมาถึงแขนเสื้อของฟอร์ซ่าแล้ว ทว่าร่างของคนเหล่านั้นกลับกระเด็นลอยออกไปก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้นที่อยู่ตรงหน้าผู้เข้าร่วมการไต่สวนในทันที แรงกระแทกและการโจมตีที่รุนแรงทําให้พวกเขาไม่สามารถที่จะดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาได้เลย พวกเขาทําได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมทั้งบิดตัวไปมาตรงพื้นขณะที่มีเลือดไหลออกมาจากขาอย่างต่อเนื่อง
เพียร์เซจเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นทว่าเขากลับสามารถใช้ดาบของเขาทําให้ทุกอย่างสงบลงได้ราวกับกลัวว่าคนอื่น ๆ จะไม่ได้ เห็นคมดาบของเขา ทันใดนั้นเขาก็ใช้ดาบตัดเอ็นกล้ามเนื้อและเส้นประสาทของไนท์ฝึกหัดทั้งสองอีกครั้งจนทําให้พวกเขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวร่างกายได้อีก
“กล้าดียังไงถึงคิดโจมตีสอร์ดของเจ้า ?” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “คนอย่างพวกเจ้าสมควรที่จะกลายเป็นเนื้อสับ”
ทุกสายตาจับจ้องไปที่บารอนฟอร์ซ่าที่มีชื่อเสียง ในเวลานี้คงมีแค่เขาคนเดียวที่สามารถท้าทายความเผด็จการของเพียร์เซจได้
ใบหน้าของฟอร์ซ่าเปลี่ยนเป็นสีขาวปนเขียวราวกับว่าเขากําลังทุกข์ทรมานอยู่ในใจ รังสีสังหารที่ถูกส่งออกมาจากตัวของเพียร์เซจทําให้ฟอร์ซ่ารู้ได้ทันทีว่าเขาไม่สามารถจัดการกับบารอนที่อยู่ตรงหน้าของเขาได้อย่างแน่นอน และหากเขาอยู่ในอารมณ์ที่กําลังพลุ่งพล่าน ชายตรงหน้าก็สามารถฆ่าทุกคนที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้ได้โดยเพียงแค่อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้บุกรุก
ฟอร์ซ่ากัดฟันแน่นก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยท่าทางที่อึดอัดว่า “บารอนเพียร์เซจพูดถูก เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับปีศาจและเจ้าก็โจมตีลอร์ดของตนเอง ความผิดทั้ง 2 ข้อนี้เพียงพอที่เจ้าจะถูกแขวนคอ ! ลากพวกมันออกไปยังพื้นที่แขวนคอนักโทษเดี๋ยวนี้ !”
ระหว่างที่ไนท์ฝึกหัดทั้ง 2 คนถูกลากออกไป พวกเขาก็ยังคงส่งเสียงร้องออกมาพร้อมทั้งสาปแช่งฟอร์ซ่าไม่หยุดปาก หลังจากที่ทั้ง 2 คนออกไปแล้ว ฟอร์ซ่าก็กลับไปยังตําแหน่งเดิมของตนเอง ความทรมานที่เกิดขึ้นในเวลานี้ทําให้เขารู้สึกอ่อนแอและแทบอยากหยุดหายใจไปชั่วขณะ เก้าอี้ที่เขานั่งนั้นร้อนระอุและให้ความรู้สึกราวกับว่านั่งอยู่บนเปลวเพลิงจนทําให้เขาไม่สามารถนั่งอย่างสงบสุขได้ สายตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความเยือกเย็นจนแทบจะแช่แข็งหัวใจของเขาได้ ต่อไปนี้คงไม่มีใครกล้ามาอยู่ใต้บารมีของเขาอีกแล้วเพราะสิ่งที่แย่ต่อชื่อเสียงของผู้เป็นลอร์ดมากที่สุดก็คือการที่ไม่สามารถปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองได้
และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เพียร์เซจต้องการให้มันเกิดขึ้น
เพียร์เซจหัวเราะออกมาก่อนที่จะกระซิบกับฟอร์ซ่าด้วยเสียงต่ำ “เซอร์เมนต้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้าในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ข้าสามารถเรียกเขาว่าเพื่อนได้เลย และการที่เขาต้องตายด้วยน้ำมือของผู้บุกรุกเหล่านั้นมันก็เป็นเรื่องที่ข้าจะต้องทําอะไรเพื่อเขาเช่นกัน ข้าหวังว่าจะเห็นภรรยา น้องสาว และบุตรสาวของเขาไปที่ห้องของข้า”
ฟอร์ซ่าพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ท่าทางของเขาแข็งทื่อจนเขายังแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
เพียงครู่เดียว ภรรยา น้องสาว และบุตรสาวทั้งสองของเมนต้าก็ถูกส่งตัวมาที่ห้องตรงมุมของปราสาท ผู้คุ้มกันที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนของฟอร์ซ่าแต่เป็นทหารของเพียร์เซจ
บุตรสาวของเมนต้าอายุ 12 และ 14 ปี ทั้งคู่ต่างมีใบหน้าที่สวยงามเหมาะสมกับวัย หลังจากที่เกิดอาการหวาดกลัวกับการตัดสินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกนางจึงกังวลระหว่างที่เดินทางมายังห้องแห่งนี้แม้ว่ามันจะไม่ได้เหมือนห้องของนักโทษก็ตาม
ทันทีที่ประตูเปิดออกเพียร์เซจก็ก้าวเท้าเข้ามา เขายืนตรงประตูทางเข้าเพื่อถอดถุงมือของเขาออกอย่างช้า ๆ และกวาดสายตามองไปที่หญิงสาวเหล่านั้น ภรรยาของเมนต้าก้าวเท้ามาข้างหน้าด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง “ท่านลอร์ด ! ท่านมาช่วยพวกเราอย่างนั้นรึ ?”
บุตรสาวคนเล็กของเมนต้าพุ่งตัวไปที่แขนของเพียร์เซจและเปล่งเสียงเรียกเบา ๆ ว่า “ท่านลุง” ทว่าทันใดนั้นนางก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมทั้งรีบหนีออกมาขณะที่มือก็จับไปที่อกของตนเอง ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะหน้าอกของนางถูกบีบอย่างแรงจากชายตรงหน้า
ภรรยาและน้องสาวของเมนต้าใบหน้าซีดเผือดและมีสีหน้าหวาดผวาอย่างถึงที่สุด “ท่านลอร์ด…นี่ท่าน…”
เมนต้าเคยเป็นคนสนิทกับเพียร์เซจก่อนหน้านี้ ทว่าในเวลานี้
เสียงกรีดร้องดังมาจากหญิงสาวที่อยู่ภายในห้อง ทว่าหลังจากที่มีเสียงแส้ดังขึ้น เสียงของพวกนางก็ค่อย ๆ หายไปจนกลายเป็นเสียงร่ำไห้ปนสะอึกสะอื้น และเพียงครู่เดียวเสียงคํารามและเสียงหายใจที่รุนแรงของเพียร์เซจก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ไนท์ฝึกหัด 2 คนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูต่างยืนนิ่งราวกับรูปปั้นเหล็กตรงทางเดินด้านนอกที่เต็มไปด้วยความมืดพร้อมด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกของพวกเขา และดูเหมือนว่าในเวลานี้พวกเขาก็พร้อมกําจัดทุกคนที่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้พื้นที่แห่งนี้
หลังจากที่เดินทางกลับมาที่ฐานทัพแล้ว ริชาร์ดก็สอดเข็มที่เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์เข้าไปที่ตัวล็อกไดอารี่ของเอสเซียนอย่างระมัดระวัง เขาแทรกมานาเข้าไปในเข็มนี้จนทําให้มันเกิดประกายแสงสีเขียวขึ้นก่อนที่จะค่อย ๆ เลือนรางลง เสียงแหลมดังขึ้นก่อนที่ตัวล็อกจะถูกปลดออกในที่สุด
เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ทันทีเพราะรู้ว่าในเวลานี้เขาแก้ไขทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการสร้างวงเวทย์ขั้นพิเศษมากมายของเขาได้สําเร็จแล้วและเขาเองก็เข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับพื้นฐานเวทมนตร์ภายในเพลนแห่งนี้ เขาพยายามทําความเข้าใจ ความแตกต่างระหว่างเพลนแห่งนี้กับหัวแลนด์เพื่อให้สามารถสร้างรูนโดยใช้วัสดุจากเพลนแห่งนี้ในอนาคตได้
ภายในไดอารี่ไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าไหร่นัก ในหน้ากระดาษของไดอารี่มีเพียงการจดบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สําคัญที่สุดในชีวิตของเอสเซียน การเขียนของเขาเต็มไปด้วยพลังและความฮึกเหิม ที่ทําให้ผู้อ่านสามารถสัมผัสได้และยิ่งไปกว่านั้นทุกสิ่งที่เขาเขียนล้วนเต็มไปด้วยความกตัญญและความซื่อสัตย์ที่เขามีต่อเทพเจ้า
เขาบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เขาเข้าร่วมกับวิหารเป็นครั้งแรกเมื่อ 15 ปีก่อน โดยได้เขียนถึงเคลริคเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในระดับ 5 ในช่วงเวลาที่เคลริคผู้นั้นเข้ามายังที่แห่งนี้ เขาถูกล่อลวงโดยเดวิลที่ชั่วร้ายแต่เขาก็ได้ร่ายคาถาต้องห้ามเพื่อช่วยบุตรนอกสมรสของเขาเอาไว้ก่อนจะสร้างแท่นบูชาให้กับเดวิลในห้องใต้ดินของเขาเอง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลังจากที่เขาเพิ่งจะแลกเปลี่ยนวิญญาณกับเดวิลในเวลานั้นเขาก็ถูกวิหารจับได้ ซึ่งนั่นส่งผลให้เขาถูกจับตัวไปแขวนคอเพื่อประหาร ในเวลาเดียวกันบุตรนอกสมรสและมารดาของเขาถูกส่งไปยังคุกมืดของลอร์ดเพื่อรับความทรมานจนต้องจบชีวิตลงในที่สุด
มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาพยายามทําลายแท่นบูชา เดวิลที่ถูกอัญเชิญโดยเคลริคเฒ่าผู้นั้นกลับกลายเป็นทรงพลังมากยิ่งขึ้น และแม้ว่าร่างกายหลักของมันจะไม่สามารถผ่านประตูมิติเข้ามาได้ ทว่ามันก็สามารถที่จะส่งอิมป์ 2 ตัวออกมาซึ่งพวกมันแข็งแกร่งมากและเพื่อที่จะกําจัดอิมป์ทั้ง 2 ตัวที่ถูกส่งมา วิหารจึงต้องส่งไนท์ 6 คนเพื่อมาสู้และสังหารมัน ในตอนนั้นเอสเซียนถูกมันกัดเข้าที่ตัว ทว่าโชคดีที่เขามีม่านพลังป้องกันจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เพียงพอจึงทําให้สามารถปัดเป่าพลังการกัดเซาะวิญญาณจากพวกมันได้และเขาก็สามารถที่จะหลบหลีกจากการรับบาปไปได้ในที่สุด
เอสเซียนได้บันทึกข้อกังวลของเขาในตอนท้ายของเหตุการณ์นั้นไว้ด้วยโดยระบุไว้ว่า อิมป์เหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นพื้นฐานที่อยู่ในนรก ทว่าแม้จะถูกยับยั้งพลังไว้โดยกฎแห่งเพลนแต่ก็ยังทําให้ชนชั้นสูงของวิหารต้องจ่ายเงินเป็นจํานวนมากเพื่อกําจัดพวกมัน หากในอนาคตมีคนที่สามารถสร้างประตูมิติที่มีความมั่นคงต่อตรงมาจากนรกได้ ถึงเวลานั้นเพลนแห่งนี้จะต้องถึงจุดที่เป็นหายนะแล้วใช่หรือไม่ ?
เทพเจ้าไม่สามารถดูแลผู้ที่ศรัทธาได้ทั้งหมดและก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนทุกคนได้เช่นกัน ซึ่งเคลริคเฒ่าในไดอารี่ของเอสเซียนคือหนึ่งในตัวอย่างที่ทําให้ทุกคนได้เห็น
ทว่าเอสเซียนก็รู้ดีว่ามีผู้คนจํานวนมากที่ยอมขายวิญญาณเพื่อแลกกับสุขภาพ พลังและเงินทอง รวมไปถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของตนเอง นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้และตัวเขาเองก็เช่นกัน ความรู้ของเขาในฐานะที่เป็นเคลริคทําให้เขารู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าสามัญชน จากสิ่งที่เกิดขึ้นทําให้เขารู้ว่าเดวิลเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ และเมื่อมันเป็นเช่นนั้นพวกมันจะมอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้กับสิ่งมีชีวิตได้อย่างไรกัน ? สิ่งเดียวที่จะทําให้ทุกคนเข้าถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ได้คือการที่ผู้เคารพสักการะเทพเจ้าสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพวกเขาได้หลังจากความตายเท่านั้น