นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 158 ความศรัทธา
นครแห่งบาป – City of Sin เล่ม 2 ตอนที่ 158 ความศรัทธา
แค่ความจริงที่ว่ากระดาษแผ่นนี้สามารถทนทานต่อความเสียหายมากมายได้ และการที่ต้องปิดวิหารเพื่อทําพิธีกรรมโดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลาง – ก็แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่ามันต้องเป็นวัตถุที่ล้ําค่าอย่างแน่นอน
ริชาร์ดคว้าแผ่นกระดาษออกมาจากแท่นบูชาโดยไม่ลังเล และรีบพับมันก่อนส่งให้คนของเขาเก็บไว้ ทว่าเมื่อเขาปล่อยมือออกจากแผ่นกระดาษ มันก็คลี่ออกมาในทันที แต่ที่น่าแปลกก็คือมันกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่มีรอยพับใดๆ
กระดาษแผ่นนี้มีขนาดใหญ่กว่าหน้าหนังสือแห่งกาลเวลาของโฟลว์แซนด์ถึง 2 เท่า อีกทั้งมันยังใหญ่และกว้างกว่าหน้าใดๆ ของหนังสือแห่งอลูเซียที่เขาเคยเห็นเมื่อตอนยังเด็กเสียด้วยซ้ํา ดังนั้นการจะพกมันไปไหนมาไหนจึงเป็นไปได้ยาก หากไม่พับมันไว้สุดท้ายริชาร์ดจึงเลือกม้วนมันไว้เหมือนกับม้วนกระดาษก่อนจะเก็บมันได้ในที่สุด
เมื่อริชาร์ดเดินทางถึงวิหารเขาก็พบว่าเหล่าพาลาดินได้ถูกกําจัดไปเกือบหมดแล้ว เสียงคํารามที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงดอร์ดังขึ้นจากระยะไกล ขวานอันหิวโหยของเขาสามารถทําให้พาลาดินเหล่านั้นเกิดความหวาดผวาได้ และหากเป็นขวัญกําลังใจของเหล่าสไควร์แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ริชาร์ดเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างของแกงดอร์เคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสนามรบอันแสนหดหู่ ขณะที่เขาทําลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มมากขึ้นจากการต่อสู้ครั้งที่ผ่านมา มัดกล้ามเนื้อที่ชัดเจนขึ้นบ่งชี้ว่าเขากําลังใช้พละกําลังทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้ และเห็นได้ชัดว่าความสามารถทั้งทางด้านโจมตีและการป้องกันของเขาพัฒนาขึ้น แม้แต่อาวุธที่แข็งแรงของพาลาดินก็สร้างบาดแผลให้เขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในทางกลับกันการเหวี่ยงขวานทุกๆครั้งของเขา ล้วนแล้วแต่ทรงพลังมากจนไม่มีใครสามารถต้านทานแรงฟันนั้นได้เกินกว่า 3 ครั้ง
นี่คือความสามารถที่แท้จริงในสนามรบของแกงดอร์ ความสามารถนี้เคยปรากฏมาก่อนในระหว่างสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กับเซอร์เมนต้าซึ่งแข็งแกร่งกว่าเขามาก และหลังจากนั้นยังไม่เคยมีศัตรูคนใดที่สามารถดึงเอาพลังที่แข็งแกร่งนี้ของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่เลย เขาจึงไม่เคยมีโอกาสได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาอีก
ส่วนโอเกอร์ทั้งสองก็เป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารในแบบของพวกมันเช่นกัน พวกมันไม่ได้ใช้อบิลิตี้พิเศษใดๆ แต่สามารถจัดการกับขวัญกําลังใจของคู่ต่อสู้ได้โดยใช้พละกําลังล้วนๆ นี่เป็นจริงอย่างมากโดยเฉพาะกับมีเดียมแรร์ผู้ซึ่งสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่งมากจนตัวเขาเปรียบเสมือนเป็นป้อมปราการเหล็กที่เคลื่อนที่ได้ ในทางกลับกัน เหล่าพาลาดินไม่ได้เตรียมความพร้อมใดๆมาก่อน และการต่อสู้นั้นก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนพวกเขายังไม่ทันได้ทําอะไร มันเรียกได้ว่าในทันทีทีพวกเขาลุกขึ้นจากเตียงพวกเขาก็ต้องรีบมุ่งหน้ามายังวิหารแบบไม่ได้เตรียมความพร้อม พวกเขาทุกคนไม่มีชุดเกราะสวมใส่ ในขณะที่บางคนไม่มีอาวุธเลยด้วยซ้ํา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่เป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารถึง 3 เครื่อง พวกที่ไม่มีความพร้อมจึงถูกสังหารหมู่ โดยขวานขนาดใหญ่และค้อนอันหนักแน่น เลือดและเศษเนื้อกระจัดกระจายไปทั่ว ทุกการเคลื่อนไหวของอาวุธขนาดใหญ่นั้นฉีกแยกชิ้นส่วนร่างกายของเหล่าพาลาดินออกมาทําให้เลือดสีแดงเข้มจํานวนมากสาดกระจาย
เมื่อเหล่าพาลาดินที่เหลืออยู่รู้ว่านั่นเป็นกับดักแห่งความตาย พวกเขาจึงล่าถอยกลับไปที่ค่ายก่อนพยายามคว้าชุดเกราะที่อยู่ด้านนอกที่หลบภัยมาสวม ทว่าวอเตอร์ฟลาวเวอร์และโอล่าไปถึงที่นั้นก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าบาร์ดสายเลือดเอลฟ์จะไม่ได้ มีทักษะในการต่อสู้ระยะประชิดมากนักแต่สําหรับวอร์เตอร์ฟลาวเวอร์ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าค่ายแห่งนี้เสมือนจะเป็นยิ่งกว่าสถานที่ที่ “คุ้นเคย” ของหญิงสาวผู้ไม่เคยสวมชุดเกราะใดๆ
สําหรับเหล่าสไควร์เองก็ไม่ได้เตรียมตัวเช่นกัน ในหมู่พวกเขานั้นไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่กล้าเผชิญหน้ากับแร็พเตอร์โดยตรง ถึงแม้ว่ากองกําลังของริชาร์ดจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบแต่ในท้ายที่สุดการที่จะเอาชัยชนะมาให้ได้กลับ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลําบาก เพราะเหล่าพาลาดินมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้มากกว่ากองทัพของบารอนซึ่งนั้นเป็นผลมาจากจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขาแม้ว่าจะเผชิญกับความพ่ายแพ้ก็ตาม กระทั่งในช่วงเวลาที่ลมหายใจใกล้จะดับสูญ พวกเขาก็ยังสามารถหาช่องทางในการทําร้ายศัตรูของพวกเขาได้จนนาทีสุดท้าย
ในเวลาที่การต่อสู้สิ้นสุดลง แกงดอร์และทีรามิสุได้รับบาด เจ็บพอสมควร แม้แต่วอเตอร์ฟลาวเวอร์ก็ยังมีบาดแผลลึกอยู่ บริเวณต้นขาของนาง และถึงจะมีโฟลว์แซนด์อยู่ด้วย แต่ก็ยังมีทหารนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือแร็พเตอร์ 2 ตัวได้ถูกกําจัดไปแล้วในระหว่างการต่อสู้
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่มีพาลาดิน 30 คนรวมถึงอีก 6 คน ที่อยู่ภายในอาคารของวิหารได้ตายไปทั้งหมด สไควร์กว่าครี่งหนึ่งถูกกําจัดไป ในขณะคนที่เหลือส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเพียงแค่ 5-6 คนเท่านั้นที่หมดกําลังใจที่จะสู้ต่อและยอมจํานน
ในที่สุดการต่อสู้ที่ค่ายก็จบลง โฟลว์แซนด์ร่ายคาถาอย่างต่อเนื่องนับครั้งไม่ถ้วนราวกับมีสายน้ําไหลออกมาจากมือทองสองข้างของนาง มันช่วยฟื้นคืนชีวิตให้กับเหล่าทหารที่ใกล้
ตายและนางก็ยังร่ายคาถาในการรักษาวอเตอร์ฟลาวเวอร์จนไม่หลงเหลือแม้กระทั่งรอยแผลเป็น ถึงแม้ว่าโฟลว์แซนด์จะมีมานาเป็น 3 เท่าของเคลริคในระดับเดียวกันแต่นางก็ยังคงมีสี หน้าซีดเซียวหลังจากที่ร่ายคาถารักษาให้กับทุกคนจนครบ
เมื่อได้เห็นภาพรวมของบริเวณที่เกิดการต่อสู้ทั้งหมด ริชาร์ดก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบ เขารู้สึกประหลาดใจกับการที่ไนท์และสไควร์เหล่านี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้แม้อยู่ในสภาวะสิ้นหวัง มันนับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่ง
จากการคาดการณ์ในตอนแรกของเขา เหล่าพาลาดินที่อยู่ในระดับ 8-9 จะไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือนี่เป็นการบุกโจมตีอย่างกะทันหันจนพวกเขาต้องรีบร้อนลุกออกจากเตียงโดยไม่ได้สวมชุดเกราะด้วยซ้ํา เนื่องจากชุดเกราะของพาลาดินนั้นมีความซับซ้อนมาก ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพในการป้องกันของมันจะยอดเยี่ยมแต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงในการสวมใส่ ไนท์ที่สวมและไม่สวมชุดเกราะนั้นจึงต่างกันราวกับกลางวันและกลางคืน
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์สุดท้ายของการต่อสู้มันต่างจากสิ่งที่ชาร์ดคาดไว้มาก หากไม่ใช่เพราะความไม่ย่อท้อในการต่อสู้ของแกงดอร์ วอเตอร์ฟลาวเวอร์ และโอเกอร์ทั้ง 2 ตนร่วมกับความสามารถของโฟลว์แซนด์ในฐานะเคลริค คนของเขาก็คงจะบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้ และความเสียหายก็คงจะมีมากอย่างเลี่ยงไม่ได้
–
ขณะมองดูศพที่เกลื่อนอยู่บนพื้นรอบๆ ตัวโฟลว์แซนด์ ริชาร์ดก็พบว่าไม่มีพาลาดินคนใดเลยที่ยังมีอวัยวะอยู่ครบ เขาถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง “ช่างเป็นการต่อสู้ที่ยากลําบากจริงๆ”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาสําหรับเหล่าผู้มีศรัทธาอันแรงกล้า” โฟลว์แซนด์อ่อนแรงมากจนนางแทบยืนไม่ไหว นางจึงเอนตัวไปพิงที่ร่างของริชาร์ดก่อนพูดต่อไปอย่างเฉยเมย “คนที่มีศรัทธาแรงกล้าจะไม่รู้จักความเหนื่อยล้าและไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
การต่อสู้ที่วิหารสิ้นสุดลงและตัวเมืองก็ได้กลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง เมืองทั้งเมืองดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นอกเหนือจากจากเปลวไฟบนยอดวิหารที่ดับลงเท่านั้น
ผู้คนส่วนใหญ่ตื่นตระหนกจากเสียงระฆังของเมือง พวกเขาต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านและล็อกประตูกับหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนา แม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะไม่ถูกโจมตีมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ข่าวมากมายที่แพร่สะพัดมาจากแหล่งที่มาต่างๆ ทําให้ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาหายไปจนหมด ประชาชนทั่วไปหวังพึ่งกําลังเสริมจากผู้คุ้มกันของเมือง ในขณะที่เหล่าผู้คุ้มกันที่กระจัดกระจายต่างก็หวังพึ่งกําลังเสริมจากทหารชั้นดีของบารอน
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ซ่าก็ยังคงเก็บตัวเงียบในหอคอยงา ช้างของเขา สะพานได้ถูกดึงขึ้นนานแล้วและประตูก็ถู กปิดลงตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น การกระทําเหล่านี้แสดง ให้เห็นถึงกลยุทธ์ของเขาอย่างชัดเจน – นั่นก็คือเขาไม่มีแผ นการที่จะโจมตีผู้บุกรุกหรือช่วยปกป้องวิหารเลย
ในเวลานี้ทหารทุกคนต่างเตรียมพร้อม ทหารหลายร้อยนาย รวมตัวกันตรงจุดรวมพลซึ่งทุกคนล้วนติดอาวุธ ทว่าไนท์ที่มียศกลับนั่งอยู่ที่อาคารบัญชาการโดยไม่มีวี่แววว่าจะสั่งการให้พวกเขาออกไป ในทางกลับกันเขากลับออกคําสั่งให้ทหารเหล่านั้นรอต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เขาก็ทําการเกาะติดสถานการณ์จากหน่วยข่าวกรองต่างๆ ดังนั้นใครก็ตามที่เสนอแนะให้เขาเร่งความพยายามส่งกําลังเสริมออกไปก็จะถูกส่งออกไปดูลาดเลาสถานการณ์ของฝ่ายศัตรูทันที
ทหารกลุ่มแรกที่ถูกส่งออกไปได้กลับมาแล้วแต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนที่น้อยนิดเท่านั้นและส่วนใหญ่ไม่ได้รอดชีวิตกลับมา ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเสนอแนะเรื่องนั้นอีก เมื่อถึงเวลาที่ทหารเกือบ 200 คนพร้อมที่จะออกศึก สัญญาณเตือนของวิหารก็ดังขึ้นเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง เปลวไฟเริ่มลุกไหม้และลามไปทั่วกระจายเป็นบริเวณกว้างอย่างรวดเร็ว ไฟที่ลุกโชนเปลี่ยนพื้นที่ของเมืองท่าเรือแห่งนี้มากกว่าครึ่งให้กลายเป็นทะเลเพลิงที่คละเคล้าไปด้วยควันไฟจํานวนมากลอยขึ้นไปในอากาศ
บารอนฟอร์ซ่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของปราสาท และมองไปในระยะไกลในขณะที่เปลวไฟลุกท่วมวิหาร ใบหน้าของเขามืดมนเมื่อตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ริชาร์ดและกองกําลังของเขารวมตัวกันที่ลานกว้างตรงหน้าวิหารอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขามีม้าศึกมากกว่า 12 ตัวร่วมอยู่ด้วย บางตัวแบกอาวุธส่วนบางตัวแบกชุดเกราะและสิ่งของที่ยึดมาได้จากการสู้รบ โดยสิ่งของทั้งหมดถูกผูกติดกับตัวของพวกมัน
วิหารทั้งหลังถูกตรวจค้นอย่างรวดเร็วและสิ่งของใดที่ดูเหมือนว่ามีมูลค่าก็จะถูกยึดไว้ นอกเหนือจากกระดาษแปลกๆแผ่นนั้นแล้ว การค้นพบที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือคริสตัลมานาเจียระไนจํานวน 50 ก้อน นอกจากนี้ยังมีพลอยสีแดงทับทิบ และไอเท็มเวทมนตร์ที่มีมูลค่าเกือบ 100,000 เหรียญอยู่ด้วย โฟลว์แซนด์ตั้งใจรวบรวมคู่มือที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งความกล้าหาญโดยเฉพาะที่มีอยู่ 2 กล่อง นางวางแผนการที่จะเริ่มศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ในวันถัดไป สิ่งสุดท้ายก็คือม้วนกระดาษคู่มือเวทมนตร์จํานวนมากที่เต็มแน่นอยู่ในกล่อง 3 ใบ
คาถาของเนเลี่ยนเป็นสิ่งที่โฟลว์แซนด์ไม่สามารถเรียกใช้ได้ และข้อความในม้วนกระดาษก็ระบุไว้ว่าพวกมันเป็นเวทมนตร์ ระดับต่ําอย่างชัดเจนจึงไม่มีใครเข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดนางถึงต้องการเรียนรู้และเก็บสิ่งของพวกนั้นไว้ด้วย