นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 124 เมล็ดพันธุ์ ตอนที่ 1
ทุกคนรู้ดีว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้พวกเขาจะต้องเจอกับการต่อสู้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพวกเขาอาจจะต้องกลายเป็นศัตรูของชาวเมืองในเพลนแห่งนี้ ดังนั้นทุกคนจึงพากันแยกย้ายเพื่อหาทางรับมือให้กับตัวเองหลังจากที่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยต่างพากันยุ่งอยู่กับตัวเองราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยคริสตัลเวทมนตร์
โฟลว์แซนด์เริ่มทำการตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานทั่วไปภายในที่แห่งนี้ ประภาคารแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งก่อสร้างเวทมนตร์และได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากมังกรนิรันดรโดยตรง ซึ่งส่วนหนึ่งของมันถูกเชื่อมต่อกับรอยแยกระหว่างมิติ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเดินทางสามารถเดินทางเข้ามายังเพลนแห่งนี้ได้โดยผ่านรอยแยกของมิติ ถึงแม้ว่าเพลิงในที่แห่งนี้ดับลงไปแล้ว แต่เวทมนตร์ของที่นี่ก็ยังคงเชื่อมต่อฐานเหล่านี้กับรอยแยกของมิติอยู่ สิ่งสำคัญคือการระมัดระวังไม่ให้รอยแยกนี้ฉีกออกไปเพราะมันอาจทำให้ฐานแห่งนี้ถูกกลืนเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าได้
นอกจากนี้การไหลของกาลเวลาที่ยุ่งเหยิงดูเหมือนว่าจะยังคงกระจายไปทั่วทุกมุมของฐานแห่งนี้ ซึ่งนี่เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับคนสามัญธรรมดา ทว่าสำหรับเคลริคของมังกรนิรันดรอย่างโฟลว์แซนด์แล้ว นางสามารถใช้พลังเหล่านี้เติมเต็มให้กับตัวเองได้ รวมไปถึงการค่อย ๆ เพิ่มมานาให้กับตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกัน
นางคำนวณอยู่ในใจเงียบ ๆ พลางคิดว่าหากตัวนางเองสามารถล้างพลังแห่งกาลเวลาออกจากฐานทั้งหมดนี้ได้ นางก็จะสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าสู่ระดับ 9 ได้ทันที ถึงแม้ว่าในตอนนี้นางจะยังไม่สามารถร่ายคาถาระดับ 5 ได้ แต่แหล่งพลังงานของนางก็สามารถที่จะเพิ่มให้มากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งนั่นจะทำให้นางได้รับผลประโยชน์อย่างมาก
ในเวลาเดียวกันเหล่าไนท์ต่างกำลังหมกมุ่นอยู่กับการจัดเก็บอาวุธและเกราะที่โฟลว์แซนด์คัดออกมา อุปกรณ์เหล่านี้มีประโยชน์มากและดูเหมือนจะมีคุณภาพมากกว่าอุปกรณ์ที่พวกเขานำติดตัวมาเสียอีก ถึงแม้อุปกรณ์มากมายที่พวกเขานำมาจะมีการลงอาคมเอาไว้ ทว่าหลังจากที่พวกเขาได้เข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของรูนมาสเตอร์อย่างริชาร์ดแล้ว อาวุธและเกราะเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีพลังมากมายอย่างที่พวกเขาคิด
พวกเขาเก็บทุกอย่างขึ้นมาพร้อมทั้งนำร่างเพื่อนร่วมเดินทางของพวกเขาที่ต้องจบชีวิตลงจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ตรงเข้าไปไว้ที่ด้านข้างของฐานด้วย หากวันใดวันหนึ่งพวกเขามีชีวิตรอดกลับบ้านได้ พวกเขาก็จะนำเถ้าถ่านของคนเหล่านี้กลับไปยังนัวแลนด์ด้วยเพื่อที่พวกเขาจะได้จากไปในที่เดียวกันกับที่พวกเขาเกิดมา
ศพของศัตรูถูกเผาไฟเพื่อกำจัดออกไปให้หมดสิ้น ธรรมเนียมแห่งความกล้าหาญของนัวแลนด์คือการให้ความเคารพต่อศัตรูที่เสียชีวิต แต่พวกเขารู้ดีว่าการจากไปของศัตรูเหล่านั้นคือความน่าอับอายและความไม่น่าไว้วางใจที่เกิดขึ้นจากตัวของพวกเขา อาวุธและเกราะทุกชิ้นที่ติดตัวมากับศัตรูเหล่านั้นแม้ว่าจะเป็นของที่ทำให้เกิดสงคราม ทว่าหลังจากที่ศัตรูตายไปแล้ว อาวุธเหล่านั้นล้วนสามารถที่จะฟื้นฟูกลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง
วอเตอร์ฟลาวเวอร์และแกงดอร์ออกเดินสำรวจไปรอบ ๆ ซึ่งในตอนแรกโอล่าเองก็อยากจะไปด้วยทว่ามีบางเหตุผลจึงทำให้เขาตัดสินใจอยู่ที่เดิมโดยไม่ติดตามพวกเขาไป แกงดอร์ที่อยู่ด้านซ้ายมือของนางหันกลับไปมองเอลฟ์ที่อยู่ด้านหลังของเขาด้วยท่าทางเสียใจ
แน่นอนว่าที่เอลฟ์บาร์ดเลือกยังอยู่ที่เดิมนั้นเขาไม่ได้ทำไปโดยไร้เป้าหมาย เพราะในเวลานี้ริชาร์ดได้สั่งให้เขาสอบปากคำนักโทษที่ยังมีชีวิตรอดอยู่เพื่อสอบถามความจริงที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขารู้จากปากคนเหล่านั้นคือโคโจเป็นเพียงทหารที่อยู่ใต้คำสั่งของบารอนที่หนุนหลังเขาอยู่ และคำถามที่อยากรู้มากไปกว่านั้นคือแล้วใครอยู่เบื้องหลังของบารอนอีกที ? เพราะเป็นไปได้ยากที่บารอนคนหนึ่งจะรู้ถึงการมาของพวกเขาแล้วมาดักรอได้
โอเกอร์ 2 ตนวิ่งออกมาที่ด้านนอกของฐานก่อนจะย่อตัวลงเพื่อแอบงีบหลับ ด้วยธรรมชาติของพวกมัน มันมักจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้จากการกินและการนอน ลูกธนูที่เกือบคร่าชีวิตของโอล่าก่อนหน้านี้ได้สร้างความบาดเจ็บให้กับพวกมันด้วยเช่นกัน ซึ่งบาดแผลเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาถึง 2 วันจึงจะฟื้นฟูให้หายเป็นปกติได้
โฟลว์แซนด์ได้ตรวจสอบทุกอย่างภายในฐานทัพตลอดทั้งวันจนกระทั่งฟ้ามืดลง ต้องขอบคุณที่นางไม่พบรอยแยกส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ในมิติแห่งนี้อีก ทันทีที่พลังแห่งกาลเวลาถูกล้างออกไปจนหมด ฐานแห่งนี้ก็ยังสามารถกลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง อาวุธ เกราะ และเสบียงอื่น ๆ กลายเป็นทางออกให้กับสถานการณ์อันสิ้นหวังของพวกริชาร์ด และดูเหมือนว่ามันมีเพียงพอสำหรับทหารร้อยกว่าชีวิตด้วย
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่สั่งไว้ ริชาร์ดก็เดินจากจุดนั้นไปเพื่อมองหาพื้นที่ว่างเปล่าสำหรับนำ ‘เมล็ดพันธุ์’ มาปลูกไว้ใต้ดิน สถานที่ที่เขาเลือกเป็นจุดที่อยู่สูงกว่าปกติซึ่งเป็นจุดที่เขาสามารถมองมาจากฐานทัพได้ พื้นที่นี้มีระยะเหมาะสมมากพอที่จะทำให้เขาสามารถมาได้ทันเวลาหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นหลังจากที่เขาปลูกมัน
ริชาร์ดถือเมล็ดพันธุ์ไว้ในมือ เปลือกไข่ของมันสั่นไปมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่ด้านในและพร้อมที่จะฟักตัวออกมาได้ตลอดเวลา ริชาร์ดเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์เป็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษเพราะพลังชีวิตของพวกมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ราวกับว่ามันดูดซึมพลังบางอย่างในขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านเพลนมายังที่นี่ ยิ่งเขาถือมันไว้ใกล้ตัวมากเท่าไหร่ แรงชีพจรของมันก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
‘อะไรคือสิ่งที่อยู่ในไข่ใบนี้ ?’ อาจเป็นอาวุธที่น่ากลัว ? สัตว์มายา ? อะไรคือสิ่งที่สามารถทำให้ไฮพรีสเทสเฟอร์ลินต้องสูญเสียพรในทันทีหากเปิดเผยข้อมูลของมันออกมา ? และดูเหมือนว่ามันคงจะมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรระดับต่ำเสียอีก
เปลือกไข่ของมันเป็นดั่งป้อมปราการที่แข็งแกร่งและสามารถช่วยปกป้องมันจากการเผชิญหน้าและการโจมตีได้เป็นอย่างดี ไข่ในมือของริชาร์ดทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย เพราะเมล็ดพันธุ์นี้ไม่มีการตอบสนองต่อมานาของเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเขาพยายามจ้องมองมันด้วยจิตเพื่อมองดูการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของมัน จิตสำนึกของเขาก็ถูกดึงเข้าไปภายในเมล็ดนั้นราวสายน้ำที่กำลังหลั่งไหลพัดพาเขาไป มันสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขาอย่างมาก เขารู้สึกราวกับว่าหัวของตัวเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และจิตวิญญาณของเขาก็เหมือนกำลังถูกพลังอันยิ่งใหญ่ทำให้ฉีกขาด หากไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นที่เขามีอยู่ในตอนนี้เขาคงจะหมดสติไปแล้ว และการไหลของจิตสำนึกของเขาก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงด้วย
เขาตระหนักได้ว่าความล้มเหลวในการหยุดสิ่ง ๆ นี้จะทำให้จิตวิญญาณของเขาหลุดลอยออกไปในทันที แรงดึงที่อยู่ด้านในเมล็ดพันธุ์นี้เป็นแรงที่มากซะจนทำให้ความพยายามของเขาแทบจะไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้เขาเป็นอัมพาตและไม่สามารถขยับร่างกายได้ นอกจากที่เขาจะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แล้ว แม้แต่สิ่งง่าย ๆ อย่างการโยนเมล็ดพันธุ์ออกจากมือของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากเช่นกัน
แม้ว่าจิตของริชาร์ดจะแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถควบคุมแรงมหาศาลตรงหน้าเขาได้เลย ทันทีที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมาน พลังที่แข็งแกร่งของเขาก็ค่อย ๆ ลดลงจนทำให้เขาอ่อนล้าภายในชั่วพริบตาเดียว และพลังอันแรงกล้านั้นก็ดึงจิตวิญญาณของเขาให้พุ่งตรงไปยังเปลือกที่หุ้มมันและในขณะนั้นแสงได้กระจายออกมาจากสัญลักษณ์เวทมนตร์จำนวนมากภายในทะเลแห่งจิตใต้สำนึกของเขาซึ่งเป็นตำแหน่งของสัญญาแห่งวิญญาณและสัญญาแห่งทาสของเขา ทันใดนั้นพลังที่น่าเกรงขามก็ได้จับจิตวิญญาณของเขาไว้อย่างมั่นคงก่อนที่จะดึงจิตวิญญาณของเขาให้กลับมาโดยต้านกับแรงที่เมล็ดพันธุ์ปลดปล่อยออกมา
*แคร่ก ! * ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นภายในจิตสำนึก จิตวิญญาณของเขาถูกฉีกขาดด้วยแรงอันมหาศาลทั้งสองซึ่งตอนนี้มีเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณถูกเมล็ดพันธุ์ดึงเข้าไปแล้ว ทัศนวิสัยของเขาดับมืดลงและเขาก็ล้มหมดสติไปในทันที
ในเวลาเดียวกันนั้นวอเตอร์ฟลาวเวอร์ที่กำลังเดินสำรวจไปรอบ ๆ ก็ล้มตัวลง แน่นอนว่าร่างของนางก็ได้หมดสติไปในทันทีเช่นเดียวกัน
แกงดอร์ที่กำลังวิ่งอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็เงยหน้าก่อนจะเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะจิตใจของเขาเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ สติของเขาในตอนนี้เริ่มจะยุ่งเหยิงจนทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลย เขาวิ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่อย่างแรงจนเกิดเสียงกระแทกดังสนั่นก่อนที่ต้นไม้ต้นนั้นจะหักลงมาเป็น 2 ส่วนในพริบตาเดียว
โอเกอร์ทั้ง 2 ตนที่อยู่ด้านนอกฐานทัพในเวลานี้ก็ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับก่อนที่พวกมันจะใช้มือบีบไปที่หัวของตนเองด้วยความทุกข์ทรมาน และในเวลาเดียวกันเอลฟ์บาร์ดที่กำลังสอบสวนนักโทษอยู่นั้นก็กระอักเลือดออกมาก่อนที่จะหมดสติไปในทันที
……
ไม่นานหลังจากที่หมดสติไป ริชาร์ดก็ฟื้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนงง ความหนักอึ้งที่อยู่ในหัวของเขาทำให้เขาแทบจะไม่สามารถยกศีรษะขึ้นมาจากพื้นได้ เขามองเห็นเมล็ดพันธุ์อยู่ใกล้ ๆ แก้มของเขาซึ่งมันกำลังเปล่งประกายแสงสีฟ้าวิบวับและอ่อนโยน ความเรียบของเปลือกด้านนอกทำให้เขามองไม่เห็นถึงรูขุมขนของมันเลยแม้แต่จุดเดียว ซึ่งนั่นได้สร้างความแตกต่างระหว่างมันกับไข่ใบอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน
และทันใดนั้น ภายในใจของริชาร์ดที่กำลังคลุมเครือกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้รับข้อความจากเมล็ดพันธุ์เมล็ดนั้นก่อนที่เสียงภายในจิตใต้สำนึกของเขาจะดังขึ้นอีกครั้ง ‘เลือด… ต้องการเหลือเกิน… เลือด…’